ตุงแดงข้างทาง เรื่องเล่าสยองขวัญ

เมื่อปี พ.ศ. 2539 ตอนที่ผมเรียนอยู่ ปวช. ปี 1 พอสอบกลางภาคเสร็จ ช่วงเดือนตุลาคม ผมก็ได้กลับไปอยู่บ้านพ่อแม่ที่จังหวัดสมุทรปราการ ที่นั่นมีพี่ผู้ชายคนหนึ่งที่สนิทกับครอบครัวผมมาก เป็นคนจังหวัดตาก แกกำลังจะพาครอบครัวกลับไปเยี่ยมบ้าน 1 สัปดาห์ แกเห็นผมว่างๆ อยู่ เลยชวนผมไปเที่ยวด้วย ผมเองไม่เคยไปเที่ยวภาคเหนือก็เลยตอบตกลง เราเดินทางไปโดยรถปิคอัพของพี่เขา พี่เขาเป็นคนขับ มีภรรยาแกนั่งหน้า และมีลูกชายชื่อ น้องบอย อายุประมาณ 6 ขวบนั่งแค็บหลังกับผม น้องบอยมีเป้ใบหนึ่งสะพายหลัง ในเป้มีหุ่นยนต์และหนังสือการ์ตูน พวกเราเดินทางไปเรื่อย แวะปั๊ม จอดกินข้าวบ้าง จนถึงเวลา 6 โมงเย็น เหลืออีกไม่กี่กิโลเมตรจะถึงที่หมาย พี่เขาเกิดปวดท้องหนักขึ้นมา แต่แถวนั้นมันไม่มีปั๊ม แล้วสองข้างทางมีแต่ป่า แกเลยตัดสินใจจอดรถลงไปปลดทุกข์ในป่า ผมเลยขอลงไปปัสสาวะด้วย ซึ่งน้องบอยก็ขอลงมาเหมือนกัน พี่เขารีบวิ่งเข้าไปในป่า ส่วนผมก็ยืนทำธุระไป โดยหางตาผมเห็นน้องบอยเดินไปที่ต้นก้ามปูที่อยู่ใกล้ๆ พอผมทำธุระเสร็จก็เรียกน้องบอย น้องบอยก็เดินออกมาจากหลังต้นก้ามปู ส่วนพี่เขาก็ออกมาจากป่าพอดี เลยพากันขึ้นรถออกเดินทางต่อ ตอนที่ขับรถออกมาแล้ว ผมสังเกตว่าพี่เขามองกระจกหลังอยู่ 3-4 ครั้ง จนแกบอกผมที่นั่งอยู่ข้างหลังแกว่า ลองหันไปดูกระบะหลังหน่อย […]

บ่อร้างท้ายสวน เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

สวัสดีเพื่อนๆ ทุกคนนะคะ ค่ำคืนนี้ก็มีเรื่องมาเล่ากันอีกเช่นเคย บอกก่อนเลยนะคะ ว่าเรื่องนี้อาจต้องใช้วิจารณญาณในการอ่านเพราะเป็นประสบการณ์อันเหลือเชื่อและเป็นความเชื่อส่วนบุคคลค่ะ คุณย่าจำรัส ในวัยแปดสิบเจ็ดปี ได้ถ่ายทอดประสบการณ์ตรง ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในครอบครัวของท่านให้เราฟัง คุณย่าจำรัสพื้นเพท่านเป็นคน อ.เสาไห้ จ.สระบุรี แต่ไปแต่งงานมีครอบครัวอยู่ที่ จ.พิจิตร พ่อแม่สามียกบ้านพร้อมที่ดินให้ผืนหนึ่ง อยู่ในอำเภอที่มีเขตติดต่อกับจังหวัดเพชรบูรณ์ ที่ดินผืนนี้มีอาณาเขตประมาณสามไร่ ตัวบ้านปลูกอยู่บริเวณด้านซ้ายของที่ดิน ส่วนด้านขวาจะปลูกต้นกล้วยตานีเรื่อยลงไปจนติดเชิงเขา ด้านหลังสวนกล้วยตรงตีนเขา มีบ่อน้ำอยู่บ่อหนึ่ง เป็นบ่อน้ำลึกหลายสิบเมตร ไม่ได้ใช้มาหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่ไฟฟ้าน้ำประปาเข้าถึง บ่อน้ำท้ายสวนกล้วยก็หมดบทบาทลงไป ที่ตีนเขามีกระท่อมอยู่หลังหนึ่ง มีพี่สาวของสามีคุณย่าจำรัสอาศัยอยู่ ชื่อว่า คุณย่าเจียม ย่าเจียมแกสติไม่ดี วันๆ แกเอาแต่หัวเราะ บางทีก็ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร บางทีก็กรีดร้องแล้ววิ่งไปเกาะขอบบ่อน้ำ บางทีก็พร่ำเพ้อถึงแต่ผีสาง คุณย่าแกก็กลัวไม่อยากไปยุ่งด้วย เห็นแต่สามีคอยเอาข้าวเอาน้ำไปส่งให้ตอนเช้ากับเย็น แกเคยถามสามีถึงเรื่องที่ทำให้ย่าเจียมแกต้องเสียสติแบบนี้ สามีแกก็เลยเล่าให้ฟังว่า ตอนย่าเจียมเป็นสาว ย่าเจียมเป็นคนสวย มีผู้ชายมาติดพันมากหน้าหลายตา ล้วนแล้วแต่เป็นคนมีฐานะดีทั้งสิ้น แต่ด้วยเหตุผลใดไม่อาจทราบได้ ย่าเจียมแกกลับมิได้ทำตัวให้มีคุณค่าสมกับรูปลักษณ์หน้าตาอันงดงามเพียบพร้อมของแก แกกลับทำตัวตกต่ำคบแต่นักเลงสุรา นักเลงหัวไม้ คบพวกอันธพาลคอยเกะกะระรานเขาไปทั่ว ย่าเจียมในวัยสาวแรกรุ่น ต้องหมดคุณค่าลงเพราะทำตัวเกกมะเหรกเกเร กินเหล้าเมายา ไม่ผิดกับนิสัยของผู้ชาย ต่อมาไม่นานย่าเจียมก็ท้อง ท้องโดยมิรู้ว่าใครเป็นพ่อของเด็ก แต่ย่าเจียมแกก็ไม่ได้เป็นเดือดเป็นร้อน แกก็ยังคบเพื่อนกินเหล้าสรวลเสเฮฮา ดูเหมือนแกมิได้ยินดียินร้ายกับหนึ่งชีวิตอันบริสุทธิ์ที่กำลังจะเกิดมา […]

“บึงผีหลอก” จังหวัดศรีสะเกษ | เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

ลุงโฮม เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบึงมรณะ สมัยเด็กผมอยู่บ้านหนองคู อำเภออุทุมพรพิสัย จังหวัดศรีสะเกษ ซึ่งเคยเรียกกันว่าจังหวัดขุขันธ์ อันเป็นจังหวัดชายแดนติดกับกัมพูชา คำว่า หมอเขมร ก็เกิดขึ้นที่นี่แหละครับ เป็นที่รู้กันว่าหมอเขมรน่ะหมายถึงหมอไสยศาสตร์ ที่ช่ำชองเรื่องไสยดำ อาถรรพณ์ เวทอันเร้นลับน่าสยดสยอง แน่ล่ะครับ ว่าต้องหนีเรื่องภูตผีปีศาจไปไม่พ้น พูดถึงเรื่องผีๆ สางๆ นี่ไม่ว่าเด็กคนไหนก็ชอบฟังทั้งนั้น ถึงจะไม่เคยโดนผีหลอก แต่ก็กลัวผีกันทุกคน พวกผู้ใหญ่เขาว่ามันก็ดีไปอย่าง เด็กๆ กลัวผีจะได้ไม่ไปซุกซนที่เปลี่ยวๆ หรือตกน้ำตกท่าเพราะลับหูลับตาพวกผู้ใหญ่ ขอเล่าถึงหมู่บ้านหนองคูของผมซะก่อน พูดก็พูดเถอะ ที่นั่นน่าจะเรียกว่า ดงตาล มากกว่าครับ เพราะนอกจากจะมีต้นไม้ใหญ่น้อยร่มครึ้มไปทั้งหมู่บ้านแล้ว ยังมีต้นตาลขึ้นเรียงรายเป็นแนว ดกดื่นไม่รู้ว่ากี่ร้อยต้น ต้นตาลนี่ใช้ได้สารพัดประโยชน์ ลูกตาลกินได้ทั้งอ่อนและแก่ ลูกตาลอ่อนๆ กินแล้วชุ่มคอชื่นใจดีนัก ที่เขาเรียกว่า หวานฉ่ำเหมือนลูกตาลเฉาะ นั่นปะไร! ส่วนลูกแก่ก็เอามาทำขนมตาลกิน เม็ดที่มีขนฟูก็เอามาให้เด็กๆ เล่นสางผมกันเพลิดเพลินดีไม่หยอก จะบอกให้ใบตาล ต้นตาล นำมาใช้ประโยชน์ได้ทั้งต้น ลุงเหลือกับลุงใสชอบชักชวนกันไปทอดแหที่หนองน้ำใหญ่นั้นบ่อยๆ ส่วนมากจะไม่ผิดหวัง ได้ปลาตัวโตๆ มากินเป็นประจำ จนกระทั่งวันหนึ่งก็เจอเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา วันนั้นสองสหายหาปลาแทบไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าเหล่ามัจฉาน้อยใหญ่มันหลบหนีไปซุกซ่อนอยู่ที่ไหนหมด มีแต่ปลาเล็กปลาน้อยมาติดแหเท่านั้น ต่างคนต่างบ่นพึมเป็นหมีกินผึ้งไปตามๆ […]

เพื่อนเฮี้ยน เรื่องเล่าสยองขวัญ ทำไมไม่ไปงานศwกู!

เรื่องราวของเราเกิดขึ้นมาได้ประมานสามปีกว่าแล้ว มันเป็นประสบการณ์สุดสยอง แถมยังเคยเป็นข่าวหน้าหนึ่งของหนังสือพิมพ์ชื่อดังอีกด้วย เรื่องก็คือ เพื่อนสนิทของเรา เขาได้จมน้ำตายพร้อมกันสองคน วันนั้นเราก็เกือบจะไปเล่นน้ำด้วย แต่บังเอิญว่าวันนั้นต้องขนของย้ายบ้านช่วยแม่ พอประมาณหกโมงเย็น เพื่อนเราก็โทรมาหาด้วยเสียงสะอื้นว่า เอ กับ บี (นามสมมติ) จมน้ำตายแล้ว พอวันต่อมาเราก็รีบไปโรงเรียนแต่เช้า เพราะอยากรู้ว่าเพื่อนเราตายได้ยังไง บรรยากาศวันนั้นมันครึ้มจนน่ากลัว ทุกคนในห้องร้องไห้โฮรวมทั้งเราด้วย เพราะสองคนที่ตายคือเพื่อนสนิทที่เรารักมากที่สุด และเราไม่คิดว่าเพื่อนเราจะไปไวขนาดนี้ พอถึงตอนบ่ายสามโมง ครูก็นิมนต์พระมาที่โรงเรียน ช่วงที่เขาให้นั่งสมาธิเราก็นึกถึงแต่หน้าเพื่อนทั้งสองคนที่ตายไปจนสมาธิไม่อยู่กับเนื้อกับตัว แล้วจู่ๆ เราก็ได้ยินหลวงพ่อพูดขึ้นมาว่า มาหาเพื่อนหรือโยม วินาทีนั้น เราอดทนที่จะไม่ลืมตาเพราะกลัวครูด่า แต่หลวงพ่อท่านมาพูดอยู่ใกล้เรามาก จากนั้นหลวงพ่อก็พูดต่ออีกว่า  ไม่ต้องร้องไห้หรอกโยม เพื่อนทุกคนเขาต่างก็รักโยมทั้งนั้น วินาทีนั้นเราอดใจไม่ไหวเลยลืมตาดูว่าหลวงพ่อพูดกับใคร พอลืมตาขึ้นมา เราก็งง เพราะเราเห็นหลวงพ่อยืนพูดกับพื้นที่ว่างเปล่าข้างๆ เรา เหมือนท่านพูดคนเดียว ตอนนั้นหลวงพ่อหันมาเห็นเราลืมตา เลยบอกกับเราว่า ไม่มีอะไรหรอกโยม เพื่อนโยมเขาแค่อยากมาหาน่ะ พอได้ยินแบบนั้นก็ทำเอาเราขนลุกซู่ทันที พอเลิกเรียนเสร็จ เราและเพื่อนในห้องก็ไปงานศพกัน พวกเราไปงานศพของเอก่อน เพราะงานศพเอจัดสามวัน ส่วนงานศพบีจัดเจ็ดวัน งานศพเอก็เป็นไปอย่างปกติ แต่พองานศพบีพวกเราก็ต้องตกใจ เมื่อกรอบรูปหน้าศพ มีคราบน้ำไหลออกมาไม่หยุด เพื่อนเราสลับกันเช็ดก็ไม่หยุดไหล พอฟ้าเริ่มมืด พวกเราก็แยกย้ายกันกลับบ้าน […]

เสกตะปูเข้าท้อง เรื่องเล่าสยองขวัญ

เสกตะปูเข้าท้อง ไสยศาสตร์มนต์ดำ แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่อยู่ควบคู่กับคนไทยมาเนิ่นนานแล้วก็ตาม แต่ก็ยังเป็นศาสตร์เร้นลับที่น้อยคนนักจะเข้าใจ หรือมีโอกาสสัมผัสรับรู้ได้ ไสยศาสตร์เป็นศาสตร์แห่งความเร้นลับน่าอัศจรรย์ใจ ที่เต็มไปด้วยความน่าสะพรึงกลัว ทั้งต่อตัวผู้กระทำและผู้ถูกกระทำ ซึ่งมักจะถูกนำมาใช้ในทางชั่วร้ายมากกว่าทางดี เรื่องราวที่จะนำมาเสนอต่อไปนี้ เป็นผลของศาสตร์แห่งไสยอีกเรื่องหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นจริง โดยผู้ถ่ายทอดคือ คุณมงคล ณ ตะกั่วทุ่ง ได้เล่าถึงเหตุการณ์ที่ท่านได้ประสบมาในครั้งนั้นว่า เมื่อสมัยที่คุณมงคลยังเป็นเด็กอายุได้ประมาณ 9 ปี เกิดล้มป่วยด้วยโรคปอดบวม มีอาการปวดภายในหน้าอกทางขวา การเจ็บป่วยในครั้งนั้นอาการหนักมาก จนถึงขั้นที่เรียกได้ว่าเป็นตายเท่ากัน คุณพ่อของคุณมงคลได้เชิญหมอมาทำการรักษา โดยในครั้งนั้นได้เชิญแพทย์แผนปัจจุบันที่มีชื่อ 2 ท่าน และหมอแผนโบราณอีก 1 ท่าน มารักษาคุณมงคล เนื่องจากอาการเจ็บป่วยที่เป็นอยู่นั้นยิ่งนับวันก็ยิ่งแย่ลงทุกที ในช่วงระหว่างนั้น นายแพทย์แผนปัจจุบันทั้งสองท่านได้พยายามรักษาคุณมงคลอย่างสุดความสามารถ แต่ว่าอาการก็ไม่ได้ดีขึ้นเลย นายแพทย์ทั้งสองท่านจึงปรึกษาหารือกันว่า จำเป็นต้องบอกให้บิดาของคุณมงคลได้รู้ว่าอาการของคุณมงคลในครั้งนั้น แพทย์แผนปัจจุบันไม่สามารถรักษาให้หายได้ นายแพทย์ทั้งสองแจ้งกับบิดาของคุณมงคลว่า คุณมงคลคงจะต้องเสียชีวิตลงภายใน 7 วัน เพราะสภาพร่างกายที่ทรุดโทรมลงทุกที และยาที่ใช้ในการรักษาไม่สามารถเอาอยู่ บิดาของคุณมงคลตกใจมาก เพราะคาดไม่ถึงว่าลูกชายซึ่งป่วยเป็นเพียงแค่ปอดบวมจะถึงขั้นต้องล้มตายจากกันได้ เมื่อแพทย์แผนปัจจุบันหมดทางรักษา บิดาของคุณมงคลจึงขอร้องแพทย์แผนโบราณให้รักษาโดยสมุนไพรแผนโบราณ เผื่อจะได้ผลบ้าง ขณะเดียวกันก็ยังไม่หยุดการรักษาโดยยาแผนปัจจุบัน เรียกว่าเมื่อถึงขั้นนี้แล้วต้องทำทุกวิถีทาง ที่จะสามารถรักษาชีวิตของลูกชายไว้ให้ได้ คุณมงคลจึงได้รับการรักษาจากแพทย์ทั้งสองทางไปพร้อมๆ กันนอกจากนั้น นายแพทย์แผนปัจจุบันท่านหนึ่งได้แนะนำบิดาของคุณมงคลว่า […]

โรงแรมระนอง เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2530 คุณศักดิ์ได้ไปพากย์หนังที่โรงหนังพูลผลรามา ในจังหวัดระนอง ซึ่งในสมัยนั้นจะใช้วิธีการพากย์หนังกันสดๆ ในโรงหนังเลย ไปถึงช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง ก็ได้เข้าไปเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ได้ห้องพักบนชั้นห้า จังหวะที่คุณศักดิ์เปิดห้องเข้าไป คุณศักดิ์มีความรู้สึกว่าเหมือนเบียดใครบางคนเข้าไป เหมือนมีใครมายืนบังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คุณศักดิ์วางของแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ ในระหว่างที่กำลังอาบน้ำ คุณศักดิ์มีความรู้สึกว่า เหมือนมีใครอยู่ในห้องนอน ก็เลยลองเปิดประตูห้องน้ำออกมาดูสองสามครั้ง ก็ไม่เจออะไร จนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย แต่งตัวเตรียมจะไปโรงหนัง เวลาประมาณหกโมงเย็น คุณศักดิ์เดินออกนอกห้องแล้วปิดประตูและล็อกห้อง แต่ในระหว่างที่กำลังล็อกห้อง มีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนอยู่ข้างในห้อง ก็เลยเปิดเข้าไปดู แล้วเห็นเหมือนเป็นเงาวูบผ่านหน้าคุณศักดิ์ออกมานอกห้อง คุณศักดิ์มีความรู้สึกว่า มันไม่ค่อยจะดีแล้ว แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรมาก ก็เลยปิดประตูล็อกตามเดิม แล้วหันไปทางซ้ายมือเพื่อที่จะเดินลงบันได แต่มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่บันไดแล้วมองมาที่คุณศักดิ์ คุณศักดิ์ก็ยิ้มให้ แต่เค้าก็ไม่ยิ้มตอบ คุณศักดิ์ก็เลยเดินลงบันไดไป แล้วหันกลับมามองอีกที ปรากฏว่าผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว มองหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ คุณศักดิ์ก็เลยหันกลับแล้วเดินลงบันไดต่อ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนไขประตูห้องแล้วเปิดประตู คุณศักดิ์หันกลับไปมอง ก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู คุณศักดิ์ก็เลยเดินลงจนไปถึงข้างล่างแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ห้องที่ผู้ชายคนนั้นเข้าไปมันเป็นห้องของเรานี่หว่า! คุณศักดิ์เลยรีบเดินกลับขึ้นไป เพราะกลัวว่าจะเป็นขโมย พอถึงหน้าห้องก็ไขประตูแล้วถีบประตูเข้าไป ปรากฏว่าภายในห้องไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม คุณศักดิ์ก็เลยเดินไปถามที่เคาน์เตอร์ด้านล่างว่า กุญแจห้องนี้มันมีกี่ดอก แล้วห้องนี้มันเคยมีอะไรหรือเปล่า พนักงานก็ได้แค่ตอบว่า ไม่มีอะไร […]

กุฏิพระเล่นของ เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณเบนและน้องชายได้ไปบวชยังวัดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว พระพี่เลี้ยงที่วัดก็ได้พาคุณเบนและน้องขึ้นกุฏิหลังใหญ่ซึ่งภายในประกอบไปด้วยห้องหลายห้อง ทางวัดได้จัดไว้ให้คุณเบนและน้องอยู่ชั้นสองของกุฏิ พอคุณเบนก้าวเข้าไปในห้อง คุณเบนก็รู้สึกแปลกๆ ห้องของพระทุกห้องน่าจะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ในห้องด้วย แต่ห้องของคุณเบนกลับมีเป็นบาตรพระที่ลงอักขระตั้งไว้แทน หลวงพี่ท่านได้กำชับว่า ห้ามแตะบาตรนี้เด็ดขาด นั่นก็ยิ่งทำให้คุณเบนและน้องชายเกิดความสงสัยขึ้นว่าเพราะอะไร เย็นวันนั้นคุณเบนและน้องชายก็ได้จัดแจงข้าวของและวางที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง พรุ่งนี้ตอนเช้าจะต้องออกบิณฑบาต คุณเบนและน้องชายก็จะต้องท่องบทสวดให้พรเวลาญาติโยมใส่บาตรให้คล่องเสียก่อน จึงนั่งฝึกท่องกันในห้อง คุณเบนได้ลองเดินสำรวจไปทั่วห้อง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างก็สังเกตว่า ตำแหน่งของกุฏิหลังนี้มันอยู่ตรงกับทางสามแพร่งพอดี คุณเบนกลับมานั่งฝึกท่องบทสวดต่อ จนสักพักก็รู้สึกว่าเริ่มท่องไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยแยกกันท่อง โดยพระน้องชายอาสาออกไปฝึกท่องอยู่ที่หน้าห้อง ส่วนคุณเบนก็ฝึกท่องอยู่ด้านใน น้องชายของคุณเบนก็ได้ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่หน้าห้อง หลวงพี่ก็เดินขึ้นกุฏิมาเห็นท่านก็ตกใจ แล้วบอกว่า พระแบล็ค ห้ามนั่งบนเก้าอี้ตัวนี้เด็ดขาด หลวงพี่ลืมบอก คุณเบนได้ยินเสียงก็เลยเดินออกมาดู ก็สงสัยว่าทำไมถึงห้ามแตะนู่นแตะนี่ อะไรก็ห้ามไปหมด คุณเบนก็ชวนพระน้องชายลงไปฝึกท่องข้างล่างแทน พอลงไปข้างล่างแล้ว หลวงพี่ที่อยู่ตรงข้ามกุฏิก็ได้ถามว่า ท่านทั้งสองรูปนอนที่ไหน คุณเบนก็ได้ตอบไปว่า นอนห้องนี้ครับ แล้วชี้นิ้วขึ้นไปยังกุฏิที่พัก หลวงพี่ก็ยิ้ม แล้วหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า ห้องนี้เหรอ ตรงข้ามกับห้องของผมเลยนะ ทำไมต้องหัวเราะแบบนั้นด้วยครับหลวงพี่? คุณเบนถาม อ๋อเปล่าๆ ไม่มีอะไร ห้องนั้นลมพัดเย็นดี หลวงพี่ตอบ คุณเบนรู้สึกผิดปกติและเริ่มรู้สึกกลัว ก็เลยเค้นกับหลวงพี่อีกที หลวงพี่ครับ ห้องนั้นมันมีอะไรกันแน่ บอกผมมาเถอะ เพราะว่าถ้าเกิดผมกับน้องชายผมเจอ ช็อคทั้งคู่เลยนะ! […]

คุณไสยปอบลิ้นดำ เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องราวและเหตุการณ์นี้ เป็นประสบการณ์ตรงสมัยที่คุณพงษ์นั้นบวชเรียนเป็นพระ และก็ได้ติดตามพระอาจารย์ออกเดินธุดงค์ สมัยนั้นเป็นปี พ.ศ.2542 ป่ายังมีอยู่เยอะมากไม่เหมือนกับสมัยนี้ พงษ์ได้เดินตั้งแต่จังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งหน้าไปสู่อิสาน เดินแบบไปกันเรื่อยๆ ค่อยๆ ไป ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น เดินธุดงค์เป็นเวลาสองเดือนเห็นจะได้ จนกระทั่งไปถึงจังหวัดสุรินทร์ในช่วงเวลาค่ำ แล้วพระอาจารย์ท่านก็ได้เลือกทำเลปักกลดซึ่งเป็นวัดร้างแห่งหนึ่ง พอตกค่ำหลังจากที่พระภิกษุทั้งสองรูปทำวัตรสวดมนต์กันเสร็จ ก็มีผู้ใหญ่บ้านมากับลูกบ้านอีกสี่ห้าคน เข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์ แล้วก็พูดขึ้นว่า นมัสการครับพระอาจารย์ทั้งสอง ดีเหลือเกิน แถวนี้ไม่มีพระมาโปรดญาติโยมชาวบ้านนานมากแล้ว เนื่องจากสมัยนั้นทางภาคอีสาน วัดจะร้างกันเยอะ พระก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนสมัยนี้ แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามต่อไปว่า พระอาจารย์นั้นจะมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่สักกี่วัน พระอาจารย์ก็ตอบไปว่า ถ้าสถานที่และบรรยากาศสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมก็จะอยู่สักสองสามวัน เนื่องจากเดินธุดงค์มานานมากแล้วก็อยากพักปฏิบัติสักที ผู้ใหญ่บ้านนั้นก็อนุโมทนาสาธุแล้วก็พูดอีกว่า เดี๋ยวผมกลับไปจะให้ลูกบ้านไปป่าวประกาศบอกกับชาวบ้านคนอื่นๆ ว่ามีพระมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่บริเวณนี้ จะได้มาทำบุญใส่บาตรกัน ว่าแล้วชาวบ้านทั้งหมดก็ขอตัวกราบลากลับไป พระทั้งสองรูปก็ปฏิบัติธรรมกันต่อ ทั้งนั่งสมาธิ แล้วก็เดินจงกรม จนกระทั่งเวลาถึงเที่ยงคืนก็เข้ากลดจำวัดกัน เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาตีสี่ก็จะต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ คืนแรกนั้นก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงตีสี่ก็ตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์และก็ปฏิบัติกันจนเกือบหกโมงเช้า พระภิกษุทั้งสองรูปก็เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาต แต่ว่าพระอาจารย์นั้นบอกว่า วันนี้ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก นั่งรออีกสักพัก ชาวบ้านก็จะมาทำบุญที่นี่เอง แล้วท่านพระอาจารย์ก็พูดต่อไปว่า ท่านจำเอาไว้นะ เดี๋ยวตอนที่ชาวบ้านมาทำบุญใส่บาตรเรานั้น ท่านจงสังเกตเอาไว้ให้ดี จะมีหญิงวัยกลางคนอยู่สองคนที่จะแต่งตัวไม่เหมือนคนในพื้นที่นี้ และกับข้าวที่จะนำมาถวายเรานั้นก็จะไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปบริเวณนี้ พระพงษ์ซึ่งตอนนั้นก็บวชได้แค่เดือนเดียว ได้แต่รับฟังในสิ่งที่พระอาจารย์นั้นบอก และท่านก็ได้บอกต่อไปว่า […]

ถนนเลี่ยงเมือง สยองขวัญทางขึ้นเหนือ!

สวัสดีครับทุกท่าน เรื่องขนหัวลุกจากวงเหล้าในวันนี้ จะเป็นเรื่องของกลุ่มผมเอง เกิดขึ้นเมื่อ 6-7 ปีที่แล้ว พึ่งนึกได้จึงมาเล่าสู่กันฟัง สถานที่น่ะเหรอ เป็นเส้นทางเลี่ยงรถติดช่วงเทศกาล สำหรับขึ้นภาคเหนือครับ เลี่ยงถนนเอเชีย เข้าสุพรรณบุรี แล้วค่อยไปบรรจบกันที่นครสวรรค์ ซึ่งถนนเส้นนี้จะไม่ค่อยมีใครขับผ่านถ้าไม่จำเป็นจริง ๆ เห็นว่าเจอสิ่งลี้ลับมาหลายต่อหลายคนแล้ว เวลาบ่าย 3 โมงของวันเสาร์ มีเพื่อนคนหนึ่งโทรมาหาผมบอกว่า “พรุ่งนี้ไปไหนหรือเปล่า ถ้าว่างไปเที่ยวบึงบอระเพ็ดกัน” “ว่างอยู่แต่ขอเวลาคิดสักแป๊บ” ผมตอบ “ไม่ได้! ต้องมา ตอนนี้ทุกคนอยู่นครสวรรค์หมดแล้ว เหลือมึงคนเดียวเนี่ย” มัดมือชกนี่หว่า ผมไม่มีทางเลือกก็ต้องไปครับ เดอะแก๊งผมส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้แหละ นึกอยากจะไปไหนก็ไปกันเลย แทบไม่ได้วางแผนอะไรล่วงหน้า ตกเย็นผมก็เก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋าโยนขึ้นรถแล้วขับออกไป ขาไปนี่ผมไม่ได้ไปทางเลี่ยงเทศกาลหรอกครับ และไม่ได้คิดจะไปด้วยในตอนแรก ขับ ๆ ไปถนนเอเชียจะเป็นถนนใหญ่ 3-4 เลน ส่วนใหญ่ก็เลยเจอแต่รถขับเร็ว ๆ ส่วนผมขับรถคันเล็กไป เพราะรถคู่ใจเข้าอู่ ก็เลยต้องเจียมตัวขับเลนซ้ายซะส่วนใหญ่ พอถึงนครสวรรค์ก็พาไปเที่ยวกลางคืนต่อ กลับเข้าที่พักไม่ดึกนักเพราะต้องเก็บแรงไว้เที่ยวพรุ่งนี้ต่อ พอรุ่งขึ้นก็ไปเที่ยวบึงบอระเพ็ด ซึ่งทุกวันนี้เปลี่ยนแปลงไปจากเมื่อก่อนเยอะมาก ระหว่างเที่ยว ๆ อยู่เพื่อนในกลุ่มก็บอกว่า ให้เพื่อนอีก 2 […]

“วัยรุ่นหลงป่าบนภูกระดึง” เรื่องจริงชวนสะพรึงในรายการตี10 ออกอากาศในปี พ.ศ. 2547

เรื่องจากรายการตีสิบ ประสบการณ์ลี้ลับที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ไปเจอมาที่ภูกระดึง เรื่องเกิดขึ้นจากการที่พวกเขานัดกันไป ท่องเที่ยว พักแรม ที่ภูกระดึง ตอนก่อนเดินทางไปเที่ยว คุณยายของรุ่นพี่ในกลุ่มท่านก็ได้เตือนให้ไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ตามประสาผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงหลาน แต่พอมาถึงภูกระดึงในตอนเช้าที่ เขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลย พวกเขาไปกันทั้งหมด 10 คน และไม่เคยมีใครมาเที่ยวภูกระดึงมาก่อนเลย หนึ่งในนั้นชื่อ บอย เป็นคนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องอาถรรพ์และเป็นคนโผงผาง พูดจาไม่ค่อยดีนัก ตามสไตล์วัยรุ่นห่ามๆ ทั่วไป หยาบคายบ้าง ท้าทายบ้าง เพื่อนๆ ห้ามก็เหมือนยิ่งยุ (เพื่อนๆ บอกว่าเขาพูดหยาบมากๆ จนไม่สามารถพูดออกอากาศได้) ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงวันแรก บอยก็พูดจาแบบคะนองปากไปเรื่อยๆ แล้วกลุ่มของพวกเขาก็หลงป่า หาทางออกไม่เจอเป็นเวลานาน พี่ใหญ่ของกลุ่มเริ่มไม่สบายใจ (คนเดียวกับที่ยายบอกให้ไหว้เจ้าที่) เขาจึงไปยกมือไหว้ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น ด้วยความเข้าใจเองว่าจะต้องขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง พอหลังจากที่ขอขมาแล้วเดินต่อซักพักเขาก็เห็นไม้สีแดง ลักษณะเป็นไม้ปลายงอม้วนเข้าคล้ายไม้เท้า เขาก็เข้าใจเองอีกว่าปลายไม้ชี้บอกทางออก และตัดสินใจเดินตามทางนั้นโดยเก็บเอาไม้ชิ้นนั้นมาด้วย ซักพักก็เดินพ้นออกมาจากป่าจริงๆ เมื่อพ้นออกมาจากป่าได้แล้ว ก็เดินเที่ยวต่อเพื่อไปที่ผาหล่มสัก เมื่อถึงผาหล่มสัก ยังไม่เย็นมากจึงนั่งๆ นอนๆ พักผ่อนรอชมพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนั้น กลุ่มพวกเขาไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไป มีเพียงโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปได้ ในตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ อีกหลายกลุ่มที่มีจุดประสงค์เดียวกัน […]