เรื่องจากรายการตีสิบ ประสบการณ์ลี้ลับที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ไปเจอมาที่ภูกระดึง
เรื่องเกิดขึ้นจากการที่พวกเขานัดกันไป ท่องเที่ยว พักแรม ที่ภูกระดึง ตอนก่อนเดินทางไปเที่ยว คุณยายของรุ่นพี่ในกลุ่มท่านก็ได้เตือนให้ไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ตามประสาผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงหลาน แต่พอมาถึงภูกระดึงในตอนเช้าที่ เขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลย
พวกเขาไปกันทั้งหมด 10 คน และไม่เคยมีใครมาเที่ยวภูกระดึงมาก่อนเลย หนึ่งในนั้นชื่อ บอย เป็นคนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องอาถรรพ์และเป็นคนโผงผาง พูดจาไม่ค่อยดีนัก ตามสไตล์วัยรุ่นห่ามๆ ทั่วไป หยาบคายบ้าง ท้าทายบ้าง เพื่อนๆ ห้ามก็เหมือนยิ่งยุ (เพื่อนๆ บอกว่าเขาพูดหยาบมากๆ จนไม่สามารถพูดออกอากาศได้)
ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงวันแรก บอยก็พูดจาแบบคะนองปากไปเรื่อยๆ แล้วกลุ่มของพวกเขาก็หลงป่า หาทางออกไม่เจอเป็นเวลานาน พี่ใหญ่ของกลุ่มเริ่มไม่สบายใจ (คนเดียวกับที่ยายบอกให้ไหว้เจ้าที่) เขาจึงไปยกมือไหว้ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น ด้วยความเข้าใจเองว่าจะต้องขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง
พอหลังจากที่ขอขมาแล้วเดินต่อซักพักเขาก็เห็นไม้สีแดง ลักษณะเป็นไม้ปลายงอม้วนเข้าคล้ายไม้เท้า เขาก็เข้าใจเองอีกว่าปลายไม้ชี้บอกทางออก และตัดสินใจเดินตามทางนั้นโดยเก็บเอาไม้ชิ้นนั้นมาด้วย ซักพักก็เดินพ้นออกมาจากป่าจริงๆ
เมื่อพ้นออกมาจากป่าได้แล้ว ก็เดินเที่ยวต่อเพื่อไปที่ผาหล่มสัก เมื่อถึงผาหล่มสัก ยังไม่เย็นมากจึงนั่งๆ นอนๆ พักผ่อนรอชมพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนั้น กลุ่มพวกเขาไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไป มีเพียงโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปได้
ในตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ อีกหลายกลุ่มที่มีจุดประสงค์เดียวกัน บ้างก็ถ่ายรูป บ้างก็พักผ่อน ด้วยความที่เป็นผู้ชายล้วน และด้วยความคึกคะนองของบอย เขาได้ตะโกนเสียงอันดังว่า คอ…วอ…ยอ… ออกไปที่ผาเพื่อฟังเสียงสะท้อนกลับมา ในตอนนั้นบอยก็รู้สึกเหมือนมีคนจ้องมองมาที่เขาอย่างเคืองๆ เขาเข้าใจว่าเป็นวัยรุ่นกลุ่มอื่นๆ บริเวณนั้น เขาจึงถามเพื่อนๆ ว่ามีกลุ่มไหนมองเขามั๊ย เพื่อนๆ ต่างก็บอกว่าไม่มีใครมอง
เมื่อชมพระอาทิตย์ตกแล้ว พวกเขาก็ใช้เส้นทางเลียบผากลับที่ทำการฯ ด้วยเหตุที่พวกเขาไม่มีใครเตรียมไฟฉายไปด้วย และไม่เคยมาจึงพยายามเดินเป็นกลุ่มตรงกลางเพื่อหวังจะอาศัยแสงไฟ และเดินตามกลุ่มอื่นๆ แต่เมื่อเดินไปเรื่อยๆ แสงไฟจากนักท่องเที่ยวกลุ่มหน้าก็ค่อยๆ ห่างออกไปทุกที พวกเขาก็เร่งฝีเท้าเพื่อตามให้ทัน ปรากฎว่าตามไม่ทันแสงจากกลุ่มหน้าหายไปแล้ว
เมื่อหันไปด้านหลังก็ไม่เห็นกลุ่มอื่นๆ ที่ตามมาเลย มีเหลือพวกเขาอยู่กลุ่มเดียว จึงรีบเดินให้เร็วขึ้น เดินจนถึงร้านค้าระหว่างทางจึงถามทางกลับ และขอซื้อเทียนได้เพียงแค่ 2 เล่ม เพราะที่ร้านเหลือแค่นั้นและที่ร้านค้าก็แนะนำให้เดินทางลัดเพราะเห็นว่าดึกแล้ว (เข้าใจว่าเป็นเส้นทางผานาน้อย – องค์พุทธเมตตา) เขาก็เดินกันต่อ
ตอนแรกพวกเขาเดินเรียงหน้ากระดาน 4 คน พอเดินๆ ไปทางก็แคบลงๆ จนพวกเขาต้องเดินเรียงเดี่ยว โดยให้คนแรกถือเทียน 1 เล่ม และคนสุดท้ายถืออีก 1 เล่ม บอยเป็นคนที่อยู่รั้งท้ายสุด ตลอดทางพวกเขาจะนับ 1 ถึง 10 เป็นระยะๆ เพราะมืดมากเผื่อใครหายจะได้รู้
เส้นทางค่อยๆ ลาดต่ำลง หญ้าสองข้างทางสูงเกือบจะท่วมหัวหมอกก็ลอยต่ำเลียดพื้น มองไปข้างหน้าเห็นเพียงท้องฟ้าที่มืดมิด มองต่ำกว่ายอดไม้เห็นเพียงสีดำสนิท ระยะการมองเห็นเพียงรัศมีแสงเทียน
ในระหว่างที่เดินอยู่ ทุกคนรู้สึกมีสิ่งไม่ปกติเกิดขึ้นตลอด บ้างรู้สึกเหมือนมีคนวิ่งเอามือระต้นหญ้าข้างทางผ่านพวกเขาไป แต่ไม่มีใครกล้าทัก พอเดินๆ ไปเพื่อนที่เดินอยู่หน้าบอย กระซิบว่าเห็นคน บอยก็ตบหัวเพื่อนพร้อมบอกว่า คนที่ไหนไม่เห็นมีเลย (แต่หลายคนเล่าว่า เห็นเหมือนคนตัวดำตัวใหญ่มากๆ นั่งยองๆ กอดเข่ามองพวกเขาอยู่ข้างทางห่างไปไม่ไกลมาก ระยะเพียงพ้นแสงเทียน จะเห็นจากหางตาเพราะไม่กล้าหันไปมอง)
เดินไปได้ซักพักบอยรู้สึกเหมือนมีคนมาหายใจรดต้นคอ และรู้สึกแน่นที่หน้าอกมากๆ พวกเขาเดินไปถึงทาง 3 แพร่ง ปรึกษากันว่าจะเลี้ยวซ้ายหรือขวาดี และเริ่มนับเพื่อให้ตรวจสอบเพื่อนว่าครบหรือเปล่า นับได้ 9 แล้วเงียบไป ไม่มีเสียงขานของบอย
ตอนแรกก็นึกว่าบอยแกล้ง แต่พอมองหาไม่เจอ พวกเขาส่วนหนึ่งจึงรีบวิ่งย้อนกลับไปเส้นทางเดิม และพบบอยนอนอยู่ข้างทางในลักษณะที่ตั้งแต่ส่วนเอวลงไปอยู่ในป่า ส่วนท่อนบนอยู่บนทางเดิน เหมือนมีคนกำลังลากโดยดึงขาเขาเข้าไปในป่า เพื่อนๆ ก็ช่วยกันดึงไว้ และร้องเรียกพวกที่เหลือ พวกที่ตามมาก็วิ่งเตะรากไม้ได้แผลไปคนนึง
ตอนนั้นบอยมีอาการกระตุก ตาเหลือก ตัวแข็ง พวกเพื่อนๆ ก็ตกใจ ช่วยกันบีบนวดแขนขา เขาต่างก็รู้สึกว่าตัวบอยแข็งมาก แข็งไปทั้งตัวเลย บีบไม่ลงไม่ยุบเลย พวกเขาจึงพยายามหามบอยโดยการพยุงแขนสองคน ส่วนอีกคนยกขา ตอนแรกยกไม่ขึ้นรู้สึกหนักมาก
พอยกขึ้นและในระหว่างที่เดิน คนที่อยู่หน้าสุดร้องว่าเห็นงูอยู่ข้างหน้า ทุกคนเห็นเป็นงูเหมือนกันหมด 9 คน ยกเว้นบอยที่ไม่รู้สึกตัวแล้ว แต่จากงูกลายเป็นกิ่งไม้ไปต่อหน้าต่อตาพวกเขาซะอย่างงั้น โดยพวกเขายืนยันว่าตอนแรกเป็นงูจริงๆ
คนที่หามบอย 2 คนเริ่มไม่ไหวแล้วทั้งที่บอยตัวนิดเดียว คนหามทั้งสองคนตัวใหญ่กว่าเยอะ ต้องให้เพื่อนมาช่วยกันผลัดเปลี่ยน เขาบอกว่าบอยตัวหนักขึ้นครับ หาม 3 คนไม่ไหว บอยก็หล่นลงมา มีอาการชักอย่างน่ากลัว ตาก็เหลือกด้วย
ในขณะนั้นเองเพื่อนอีกคนก็เห็นแสงไฟเคลื่อนเข้ามา และปรากฏว่าเป็นแสงไฟจากรถมอเตอร์ไซค์ ทั้งๆ ที่ตอนแรกไม่ได้ยินเสียงรถเลย คนขับเป็นชายใส่ชุดทหารพราน สวมโม่ง พวกเขาก็บอกว่ามีคนเจ็บให้ช่วยหน่อย
คนที่ขับรถก็บอกให้เอาคนเจ็บขึ้นรถมา และให้คนขึ้นรถมาอีกคนคอยจับคนที่เจ็บไม่ให้ร่วง รุ่นพี่คนเดิมก็เลยขึ้นไปประคองบอย และได้เอาไม้สีแดงที่เก็บมาด้วยให้รุ่นน้องอีกคนถือไว้ ชายขับมอเตอร์ไซค์ได้แนะนำให้พวกที่เหลือเดินเลี้ยวขวาที่ทางแยกข้างหน้าเพื่อกลับที่ทำการฯ จะถึงเร็วกว่า
รุ่นพี่คนที่นั่งซ้อนรถไปด้วย ก็เล่าว่าเมื่อถึงทางแยกมอเตอร์ไซค์กลับเลี้ยวซ้ายบอกว่าทางสะดวกกว่า และรุ่นพี่ได้เล่าให้คนที่ขับรถฟังว่า เขามาเที่ยวกันแล้วเพื่อนก็เป็นอะไรไม่รู้ ทันใดนั้นคนที่ขับรถอยู่ก็หัวเราะขึ้นโดยมีน้ำเสียงเปลี่ยนไป จากเดิมเสียงใหญ่มากกลายเป็นพูดเสียงยานๆ ชวนขนลุกว่า
“มันไม่เป็นอะไรหรอก…”
ตอนนั้นเขากลัวมากๆ แต่ก็ขับมาส่งจนถึงบริเวณสะพานไม้หลังที่ทำการฯ เจ้าหน้าที่ที่ขับรถก็บอกให้ประคองบอยไปห้องพยาบาล ซึ่งตอนนั้นตัวบอยไม่หนักเหมือนก่อนหน้านั้นแล้ว พอถึงห้องพยาบาล เจ้าหน้าที่พยาบาลก็ให้กินยาและนอนพักก่อน ส่วนตัวรุ่นพี่ก็เดินไปซื้ออาหารอุ่นๆ ที่ร้านค้ามาไว้ให้บอยกิน พอกลับมาถึงบอยก็ฟื้นแล้วแต่ยังงงๆ อยู่
กลับมาพูดถึงเพื่อนอีก 8 คนที่เดินกลับ
ตอนนั้นเทียนดับไปแล้ว พวกเขาก็อาศัยแสงไฟจากโทรศัพท์มือถือ ตลอดเวลาที่พวกเขาเดินไปเหมือนมีคนตามมาตลอด และเพื่อนคนนึงโดนพลักตกหลุมถึง 2 ครั้ง โดยเพื่อนทุกคนยืนยันว่าไม่มีใครแกล้ง แล้วพวกเขาก็เห็นแสงไฟข้างหน้า เป็นแสงไฟตามบ้านอะไรประมาณนี้ พวกเขาก็รีบเดิน แต่ยิ่งเดินยิ่งไกล และแล้วแสงไฟก็หายไป แต่พวกเขาก็ยังเดินต่อไป แต่ก็วนกลับมาที่เดิมตลอด ทุกคนเริ่มกลัว เริ่มลนกันหมด
แล้วก็มีคนยกมืออธิษฐานกับไม้ บนบานเจ้าที่ เจ้าป่า เจ้าเขา ขอให้ถึงที่พักซักที แล้วไม่นานเพื่อนคนหนึ่งก็แหวกหญ้าที่สูงท่วมหัวข้างทางออกมาเจอแสงไฟจากที่ทำการฯ ทั้งๆ ที่ไม่ไกล แต่พวกเขากลับหลงอยู่เป็นเวลานาน
พวกเขาพบกับเจ้าหน้าที่ที่ใส่ชุดทหาร สวมโม่ง 2 คน ส่องไฟมาทางเขา แล้วบอกว่า “เจอพวกมันแล้ว” ตอนแรกเขานึกว่าเพื่อนที่มากับรถ บอกให้คนออกมาตามหาพวกเขา แต่ไม่ใช่ และทหาร 2 คนก็เดินหายไปไหนไม่รู้ แล้วพวกเขาก็มาถึงหลังที่ทำการ
เขามาถึงที่พักกันแล้ว และพวกเขาก็ได้จุดธูปขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง พอปักธูป กำลังเดินกลับ บอยก็ออกมาพอดี โดยที่ไม่มีอาการใดๆ เลย
มาตอนเช้าบอยเล่าหลังจากได้สติว่า ตอนที่ล้มลงนั้นยังรู้สึกตัว เห็นว่ามีคนตัวใหญ่หน้าตาโกรธมาก มาทำให้ล้มและกดหน้าอกเอาไว้ตอนที่เพื่อนๆ พยายามแบกตัวเขาขึ้นมา พวกเขาได้ตามหาเจ้าหน้าที่ ที่มาส่งบอย เพื่อจะขอบคุณ ปรากฏว่าไม่มี และพวกเจ้าหน้าที่บอกว่า ไม่มีใครใส่ชุดเต็มยศขนาดนั้นหรอก
ส่วนแม่ค้าเมื่อได้ยินเรื่องก็ให้ความเห็นว่าเป็นผู้ช่วยองค์พุทธเมตตา ที่ออกมาให้ความช่วยเหลือผู้คนบ่อยๆ เมื่อพวกเขาได้เดินกลับไปดูเส้นทางที่เดินมาเมื่อคืน พบว่าต้นไม้ใหญ่ๆ ที่เห็นเมื่อคืนไม่มีเลย มีเพียงหญ้าเตี้ยๆ สูงไม่ถึงเข่า
มีหลักฐานว่าเป็นเส้นทางเดิมคือ ร่องรอยของเศษพลาสเตอร์ที่เขาใช้กันหล่นอยู่ข้างทาง ทิศที่รถมอเตอร์ไซค์วิ่งมาก็ไม่มีทาง เป็นทุ่งหญ้าและทางสามแยกก็ใช้ได้เพียงด้านขวา เพราะด้านซ้ายที่รถมอเตอร์ไซค์เลี้ยวมาเมื่อคืนนั้นเส้นทางขาด น้ำเซาะทางเป็นร่องลึกใช้งานไม่ได้ จึงเป็นเรื่องแปลกหลายๆ อย่างที่รวมอยู่ในเหตุการณ์เดียว
ก่อนลงจากภูกระดึงพี่ใหญ่รู้สึกขอบคุณไม้เท้า และได้เอาไปพิงไว้หลังต้นสนที่ใหญ่ที่สุดบริเวณกางเต้นท์ เมื่อพวกเขากลับลงมาถึงตีนภูฯ ก็แวะไปไหว้ศาลเจ้าพ่อภูกระดึง ปรากฎว่าในศาลมีไม้เท้าสีแดงอยู่ ลักษณะไม้เท้า เหมือนกับไม้ที่พวกเขาใช้เมื่ออยู่บนภูฯ พวกเขาจึงคิดว่า เจ้าพ่อภูกระดึงคงไปช่วยพวกเขาไว้ (รายการตีสิบไปถ่ายภาพมาเปรียบเทียบกับภาพในโทรศัพท์มือถือมีลักษณะคล้ายกันอย่างมาก)
พอกลับมาถึงบ้าน แม่ของบอยออกมาเปิดประตูหน้าบ้านให้และทักว่าเอาใครมาด้วยอยู่หน้าบ้าน ตัวใหญ่ตาแดงเชียว บอยไม่ได้เล่าให้แม่ฟัง เพราะกลัวโดนดุ แต่ได้เล่าให้พี่สาวฟังแล้วพี่สาวก็เล่าให้แม่ฟัง
ในที่สุดหลังจากได้ยิน แม่เล่าถึงความฝันช่วงที่บอยไปเที่ยวภูกระดึง ว่าได้ฝันเห็นต้นไม้ใหญ่แผ่กิ่งมา เหมือนมือกำลังไล่ต้อนเด็กตัวเล็กๆ อยู่ แม่บอยก็ร้องบอกว่าอย่าไปทำเลย สงสารเด็กมัน ในฝันก็ไม่ได้เห็นเป็นบอยนะ เห็นเป็นเด็กตัวเล็กๆ เท่านั้นเอง และในขณะที่แม่บอยนั่งคุยกับพี่สาวอยู่ เกิดได้ยินเสียงแว่วขึ้นมาว่า
“ให้พวกมันไปขอขมากู!”
ทั้งหมดจึงได้พาบอยไปทำสังฆทาน และอาบน้ำมนต์ในที่สุด
ขอขอบคุณที่มา: www.bloggang.com

กดแชร์บทความ