เทวรูปกินคน ตำนานอาถรรพ์รูปปั้นผีสิง

เรื่องนี้เป็นตำนานที่เล่าสืบต่อกันมา เรื่องมีอยู่ว่า ชายคนหนึ่งได้ใช้เงินเก็บทั้งชีวิตของเขาซื้อที่ดินห้าไร่ท้ายหมู่บ้านแห่งหนึ่งเพื่อจะปลูกผลไม้ขาย เขาสร้างบ้านเล็ก ๆ ไว้ในสวนและอยู่อย่างสันโดษ หลังจากจัดแจงทุกอย่างเสร็จสรรพเขาก็ไม่รอช้า คว้าจอบเสียมขุดหลุมปลูกกล้วยน้ำว้า ในขณะที่ขุดไปได้สักพัก อยู่ ๆ จอบก็กระแทกกับบางอย่างเสียงดัง แกร๊ง! เขาเอามือเกลี่ยดินบริเวณนั้นออกก็ได้พบกับบางอย่างคล้ายรูปปั้นสีดำ เขาจึงขุดมันขึ้นมา ลักษณะรูปปั้นเป็นชายหัวล้าน อ้วนลงพุง มือสองข้างแตะอยู่ที่ท้อง สีดำทมิฬ ดวงตาสีแดงก่ำ แต่ที่ชวนสยองสุด ๆ คือ ใบหน้าที่ยิ้มแย้มแต่กลับชวนให้ขนลุก ในปากคล้ายมีเขี้ยวซี่เล็ก ๆ เรียงรายอยู่ มีคราบสีออกน้ำตาลที่มุมปากคล้ายเลือดที่แห้งกรัง มันทำให้ชายหนุ่มรู้สึกกลัวขึ้นมา เขาเลยรีบนำมันไปให้พระที่วัด พอหลวงพ่อรูปหนึ่งเห็นรูปปั้นประหลาดนั้นก็มีอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด รีบตะโกนเรียกเด็กวัดให้ตามพระรูปอื่นมาทันที ชายหนุ่มสงสัยเลยถามออกไปว่า รูปปั้นนี้มันมีอะไรรึเปล่าครับ หลวงพ่อจึงตอบด้วยเสียงที่สั่น ๆ ว่า เดี๋ยวเสร็จพิธีแล้วอาตมาจะเล่าให้ฟังทีหลัง ตอนนี้ต้องรีบแล้ว ชายหนุ่มเริ่มใจไม่ดีเลยยอมทำตามที่หลวงพ่อบอกและเก็บความสงสัยไว้ในใจ เวลาประมาณห้าโมงเย็น พระท่านขอช่วยให้เขาเอารูปปั้นใส่เข้าไปในเมรุเผาศพ แล้วพระท่านก็เริ่มทำพิธี ลักษณะดูคล้ายงานศพแต่บทสวดมันฟังดูแปลก ๆ พิกล เวลาผ่านไปชั่วโมงกว่า ๆ หลวงพ่อก็มาเล่าทุกอย่างให้เขาฟัง รูปปั้นนี้มันเป็นของเขมรโบราณ ชาวบ้านเขาเรียกกันว่า เทวรูปกินคน! ไม่มีใครเจอมาหลายสิบปีแล้ว โยมนี่มันซวยจิง ๆ […]

เรือผีหลอก เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

สมัยเด็กผมอยู่แถวคลองแสนแสบ ไม่ว่ามีนบุรี หนองจอก หัวตะเข้ ลาดกระบัง คลองหลวงแพ่ง สมัยก่อนยังเป็นเรือกสวนไร่นา ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวผมเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าที่คลองแสนแสบนี่เอง! ตอนเย็น ๆ ใครนั่งเรือผ่านไปมาจะรู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจชอบกล ต้นไม้ใหญ่ ๆ ยืนทะมึนอยู่สองฟากฝั่ง กอไผ่โน้มลงมาเรี่ยผิวน้ำ ต้นไทรที่มีผ้าเหลืองผ้าแดงเก่า ๆ ขาดวิ่นพันอยู่โคนต้น ห้อยลงมาตามกิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม โดยเฉพาะรากห้อยระย้าลงมาเกือบถึงพื้น แกว่งไกวไปมาตามสายลมที่หวีดหวิวคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน มองเผิน ๆ เหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาจากหลังม่านไทรย้อยก็ไม่รู้ ยิ่งยามพลบค่ำ ท้องฟ้าสีหมากสุกสะท้อนเงาอยู่ในสายน้ำ หันไปมองข้าง ๆ ก็เห็นพงอ้อกอหญ้าค่อนข้างสูงมืดครึ้ม ไหนจะมีศาลเพียงตาโย้เย้ เอียงกระเท่เร่จะล้มมิล้มแหล่มาลัยแห้ง ๆ หลุดล่อนเกือบหมดทุกพวง แถมศาลที่ว่านี่ยังค่อนข้างหนาตาอีกต่างหาก เขาว่ามีคนตายโหงก็ตั้งศาลเพียงตาที ให้วิญญาณอยู่ที่นั่นซีครับ! เท่านั้นยังไม่พอผ่านไปอีกหน่อยยิ่งน่าวังเวงใจสุด ๆ เพราะจะถึงป่าช้าเก่าที่ทิ้งร้างมาหลายสิบปีแล้ว พวกผู้ใหญ่หลายคนเล่าว่าเคยถูกผีหลอกตอนพายเรือคดเคี้ยวไปตามลำคลอง ถ้าเป็นหน้าน้ำบางแห่งจะมองเห็นรวงข้าวเหลืองอร่ามไปสุดลูกหูลูกตา แต่เย็น ๆ ค่ำ ๆ อย่าได้ริอ่านไปพายเรือเล่นกินลมเข้าเชียว มีหวังโดนผีหลอกไม่รู้ตัว ตามุด อายุเกือบหกสิบเล่าว่าเคยโดนผีหลอกสาหัส ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง? เย็นนั้นตอนปลายปี ตามุดได้ข่าวว่าลูกสาวเจ็บท้องจะคลอดลูก อารามดีใจที่จะได้หลานก็ลงเรืออีแปะพายอ้าวไปทันทีปรากฏว่าได้หลานชายน่า รักน่าชัง ตามุดก็เชยชมหลานแกจนเลยค่ำถึงได้พายเรือ […]

แม่มาอีกแล้ว เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

ดิฉันเป็นครูประจำชั้นประถมปีที่ 6 ของโรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง ในกรุงเทพฯ นี่เองค่ะ เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นกับลูกศิษย์คนหนึ่ง ดิฉันก็จำเป็นต้องเชิญผู้ปกครองมาพบ ที่จริงดิฉันคุ้นเคยกับคุณแม่ท่านนี้เป็นอย่างดี จึงเสียใจและเสียขวัญเป็นอย่างมาก เมื่อมีเรื่องไม่คาดฝันอุบัติขึ้น นั่นคือ การเชิญของดิฉันเป็นต้นเหตุสำคัญที่ทำให้เธอถึงแก่ความตๅย! เด็กนักเรียนห้องที่ดิฉันรับผิดชอบอยู่ มีทั้งหมด 45 คน พวกแกเป็นกลุ่มเด็กเรียนอ่อน แต่พวกแกน่ารักนะคะ หลายคนขี้เล่นและมีอารมณ์ขันค่ะ บอกตรงๆ ว่าดิฉันรักเด็กกลุ่มนี้มากกว่ากลุ่มที่เรียนเก่งเป็นเลิศ เพราะเด็กพวกนั้นน่ะถึงจะสอนง่าย มีระเบียบ เก่งไปซะทุกอย่าง ทว่าส่วนมากจะเครียดๆ ดูแววตาแกสิคะ ไม่แจ่มใสตามวัยซน แต่จะมีแววมาดมั่นเกินตัว! น่าสงสารค่ะ ชีวิตวัยเยาว์ของแกถูกพรากไปหมด เพราะต้องแข่งเรียนให้ดีเด่นกว่าคนอื่นๆ จะได้สอบเข้าโรงเรียนมัธยมที่ดีๆ ได้ วัยสิบขวบอย่างแกต้องมีแต่เรียนเท่านั้น เรียนกันอย่างหัวปักหัวปำ พ่อแม่ที่ห่วงอนาคตของลูกก็พาไปเรียนพิเศษทุกคน เรียนมันทุกเย็น เสาร์อาทิตย์ยังต้องเรียนทั้งวันอีกเฮ้อ! ส่วนเด็กห้องดิฉันน่ะ บางคนก็ตามสบายจนเกินไป ไม่เห็นความสำคัญของการเรียน แบบนี้ดิฉันก็ไม่ชอบเพราะอ่อนใจน่าดู มิหนำซ้ำยังโดนผู้ปกครองตำหนิติเตียนว่าครูไม่รู้จักสั่งสอนให้ลูกเขาได้ดีโลกนี้ไม่มีอะไรสมดุลเสียเลย เด็กๆ ที่ดิฉันรักและสงสารคือประเภทที่นิสัยดี ตั้งใจเรียน ขยันทำการบ้านมาส่ง แต่จนแล้วจนรอดก็เรียนไม่เก่งกับเขาสักที ระดับสติปัญญาสู้ใครเขาไม่ได้ แต่นิสัยดีกว่าคนอื่นๆ หลายต่อหลายคน น้องเอก-ลูกศิษย์คนโปรดของดิฉันก็จัดอยู่ในประเภทนี้ เอกอายุ 11 ขวบ […]

กระท่อมกลางน้ำ เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

แสงแรกของวันส่องผ่านช่องของม่านหน้าต่างรถตู้เข้ามาในห้องโดยสาร ผมลืมตาตื่นพร้อมด้วยอาการปวดเมื่อยตัวเนื่องจากนั่งในท่าเดิมมาตลอดทั้งคืน เอื้อมมือไปเปิดให้ช่องของม่านขยายใหญ่ขึ้นเพื่อมองออกไปสำรวจสภาพบรรยากาศภายนอก รู้สึกแสบตายามเมื่อต้องแสงเพราะนอนไม่ค่อยหลับมาตลอดทั้งคืน อีกไม่กี่อึดใจพวกเราก็จะไปถึงที่หมาย ที่บ่อบำบัดน้ำเสียประจำจังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคอีสาน นับจากนี้ไปอีกแปดวัน มันจะเป็นที่ทำงานของผมและเพื่อนๆ ในคณะเดินทางที่มาด้วยกันอีกเจ็ดคน สถานที่แห่งนี้มีอาณาเขตกว้างใหญ่ไพศาล ทั่วทั้งพื้นที่ประกอบด้วยบ่อบำบัดลักษณะเป็นบ่อพักน้ำธรรมชาติขนาดใหญ่จำนวนมาก กระจายตัวอย่างเป็นระเบียบและมีแบบแผนคล้ายคันนาปลูกข้าว ในส่วนที่ไม่ได้เป็นบ่อก็จะเป็นพื้นดินซึ่งถูกปกคลุมไปด้วยวัชพืชนานาพันธุ์ ด้วยบรรยากาศที่ค่อนข้างสงบ ร่มรื่น และค่อนข้างสบายๆ สวยงาม ในช่วงเวลากลางวันมันสามารถใช้เป็นสถานที่ท่องเที่ยว หรือพักผ่อนหย่อนใจของชาวบ้านแถบนี้ได้เป็นอย่างดี รถเลี้ยวจากตัวถนนสายหลักเข้าไปยังอาณาเขตของบ่อบำบัด ขับเข้าไปอีกประมาณห้าร้อยเมตรก็ถึงบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งพวกเราจะต้องอาศัยเป็นสถานที่สำหรับปฏิบัติงานกัน ข้างของเครื่องใช้ อุปกรณ์ต่างๆ จึงถูกลำเลียงลงมา และจัดเตรียมไว้ที่นี่ หน้าที่ของพวกผมตลอดแปดวันต่อจากนี้นั้นไม่มีอะไรมาก หรือยุ่งยากซับซ้อนแต่อย่างใด เพียงแค่ให้คนใดคนหนึ่งหรือสองคน ถืออุปกรณ์สุ่มตัวอย่างน้ำ เดินลึกเข้าไปอีกในเขตของบ่อบำบัด เปิดฝาท่อตามจุดต่างๆ ที่ถูกกำหนดเอาไว้ในแผนผัง หย่อนอุปกรณ์ลงไป หลังจากนั้นก็นำกลับมาเก็บยังจุดพัก เพื่อรอให้รถมารับส่งตัวอย่างกลับไปยังกรุงเทพฯ เพียงแต่ว่าภารกิจนี้ ต้องทำตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ดังนั้น พวกเราแปดคนจึงถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มละสี่คน เพื่อเก็บตัวอย่างกลุ่มละสิบสองชั่วโมง วันแรกของการทำงาน ผมได้อยู่กะดึก ซึ่งต้องปฏิบัติงานระหว่างเวลาสองทุ่มถึงแปดโมงเช้า ในคืนนี้ ผมได้รับรู้ว่า ที่บ่อบำบัดแห่งนี้ไม่มีหลอดไฟติดเพื่อให้แสงสว่างเลยสักดวงเดียว ในขณะปั่นจักรยานลึกเข้าไป สองข้างทางมีเพียงต้นไม้ใบหญ้าสั่นไหวไปมา สร้างความสั่นคลอนให้แก่ประสาทไม่น้อย แสงไฟจากจักรยานก็ไม่สว่างพอจะทำให้อุ่นใจอะไรได้เลย ขณะจอดจักรยานและก้มตัวลงเปิดฝาท่อที่อยู่ริมคูน้ำ สายตาเหลือบมองไปมาและพบว่า ตรงข้ามคูน้ำเป็นที่ตั้งของฮวงซุ้ยจำนวนมาก […]

คนกินน้ำมันพราย เรื่องเล่าสยองขวัญ

อิทัง สัพเพเปรตานัง โหตุ สุขิตา โหนตุ สัพเพ เปตา ขอผลบุญนี้จงสำเร็จแก่เปรตทั้งหลายทั้งปวง ขอให้เปรตทั้งหลายทั้งปวงจงมีความสุข นี่เป็นเสียงสวดของหลวงตารอด ซึ่งมักจะท่องบทแผ่ส่วนบุญส่วนกุศลทุกครั้ง หลังจากลืมตาออกจากการเจริญภาวนา ทุกค่ำคืนที่แสนเย็นเยือก ฉันจะได้ยินเสียงท่องบ่นท่ามกลางความมืดที่เงียบสงัด ทำให้ฉันซึ่งนอนซุกตัวอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเก่าภายในห้องของหลวงตา อดที่จะลืมตาขึ้นมองไปยังร่างผอมบางของหลวงตารอดไม่ได้ แว้บหนึ่งที่มองไปเบื้องหน้าของหลวงตารอด ฉันถึงกับขนลุกซู่ไปทั้งตัว ด้วยคล้ายจะมองเห็นหรือสัมผัสบางสิ่งบางอย่างซึ่งอยู่ตรงหน้าโต๊ะหมู่บูชา สิ่งที่ฉันเห็นปรากฏอยู่ในรูปร่างของผู้คน ทั้งเด็กและแก่ กำลังนั่งพนมมือก้มหน้า หมอบลงกับพื้น คล้ายคนกำลังรับศีลรับพร ก่อนที่ฉันจะยกมือขึ้นขยี้ตา เงารางๆ ของผู้คนเหล่านั้นก็หายไปอย่างรวดเร็ว ทำไมไม่นอนล่ะเณร หลวงตารอดหันมามองดูฉันพร้อมยิ้มออกมาน้อยๆ ที่มุมปาก ฉันลุกขึ้นมองฝ่าแสงสลัวของเปลวเทียน ก่อนจะมองรอบๆ ห้องของกุฏิไม้เก่าที่หลวงตารอดอาศัยคุ้มแดดคุ้มฝน มองหาอะไรหรือ ไม่มีอะไรแล้วนอนเถอะ เสียงนั้นอ่อนโยนและเปี่ยมไปด้วยความปราณีจนฉันสัมผัสได้ หลวงตารอดเป็นพระผู้ใหญ่ที่ชาวบ้านให้ความเคารพนับถือ เพราะท่านเป็นนักปฏิบัติ ไม่ยึดติดกับวัตถุและเลือกปฏิบัติ ท่านมีความรู้ความสามารถในการรักษาผู้ป่วยด้วยสมุนไพร และเป็นหมอดูใบพลูที่แม่นยำ กุฏิของท่านจึงไม่ค่อยว่างเว้นญาติโยม พวกเขาล้วนแต่มาพึ่งบารมีของท่าน ตลอดเวลาที่ฉันบวชเป็นสามเณรอยู่ที่วัดแห่งนี้ ฉันได้รับรู้และพบเจอเหตุการณ์หลายอย่างที่ชวนฉงนใจยิ่งนัก บางสิ่งบางอย่างฉันเองก็ไม่สามารถหาคำตอบให้กับตัวเองได้ ยิ่งนานวันทำให้ฉันอดนึกไม่ได้ว่า ในโลกใบนี้ยังมีสิ่งที่ชวนพิศวงซุกซ่อนอยู่มากมาย และรอคอยให้พวกเราได้ค้นหาคำตอบ บ่ายแก่ๆ วันนั้น หลังจากที่ฉันก่อไฟต้มน้ำชาให้หลวงตาเรียบร้อยแล้ว ก็ถือไม้กวาดทางมะพร้าวเดินตรงไปยังหน้าลานวัด แต่ขณะที่กำลังลงมือกวาดเศษใบไม้อยู่นั้น เสียงผู้คนหลายคนที่สาวเท้าวิ่งตรงมายังหน้าวัดก็ดังขึ้น […]

ตราสังจำเป็น เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เมื่อตอนช่วงเข้าพรรษาในปี 2540 ผมได้บวชเป็นพระอยู่วัดหนึ่งที่ตำบลเขาทราย จังหวัดพิจิตร ซึ่งในปีนั้นผมจำได้ว่ามีพระบวชใหม่จำนวน 5 รูป รวมทั้งตัวผมเองด้วย และเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มันได้เกิดขึ้นในขณะที่ผมบวชเป็นพระนี่เอง ผมยังจำได้ดีถึงวันเกิดเหตุสยองขวัญที่ทำให้ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต มันเป็นวันหนึ่งหลังจากที่ผมบวชได้ประมาณเดือนกว่าๆ วันนั้นได้มีโยมมานิมนต์พระที่วัด เพื่อให้ไปสวดบังสุกุลเป็นบังสุกุลตายหลายราย จนกระทั่งพระในวัดไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากผมเพียงรูปเดียว และได้มีญาติของผู้ป่วยคนหนึ่งเดินทางมานิมนต์พระ พระที่วัดให้ไปช่วยสวดส่งวิญญาณให้กับผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์ซึ่งคิดว่าไม่รอดแน่ๆ ในวันนั้น แม้ว่าผมจะเป็นพระใหม่ แต่ในเมื่อญาติโยมมานิมนต์ผมจึงไม่อาจขัดได้ จึงจำเป็นต้องเดินทางไปทั้งที่ตอนนั้นยังไม่มีความรู้อะไรมากนัก ตอนนั้นก็เพียงสวดได้แค่บังสุกุลเท่านั้น และผมไม่คิดว่าจะต้องเจอกับศึกหนักดังที่จะเล่าต่อไปนี้ เมื่อผมเดินทางไปถึงบ้านของผู้ป่วย ได้พบว่าผู้ป่วยอยู่ในอาการหนักมากเป็นชายอายุประมาณ 25 ปี ซึ่งใครๆ ที่เห็นต่างก็รู้ว่าเขาคงไม่รอดพ้นไปจากคืนนี้แน่ ญาติจึงขอให้ผมช่วยสวดส่งวิญญาณเนื่องจากต้องการให้ผู้ป่วยจากไปในขณะที่พระสวดอยู่ข้างๆ เพื่อวิญญาณจะได้ไปอย่างสงบ แล้วมันก็จริงดังว่า เพราะเพียงไม่นานนักผู้ป่วยรายนี้ก็สิ้นลมจากไปจริงๆ ไปโดยที่มีพระนั่งสวดอยู่ข้างๆ ท่ามกลางญาติพี่น้องที่ร้องไห้กันระงม ตอนนี้แหละครับที่ผมลำบากใจเป็นที่สุดเพราะหลังจากที่ผู้ป่วยสิ้นลมไปแล้ว ญาติๆ ได้ขอร้องให้ผมทำพิธีมัดตราสังพร้อมกับบรรจุศพใส่โลงซึ่งเตรียมไว้เรียบร้อย ผมเองตอนนั้นก็ไม่มีความรู้ในเรื่องพิธีกรรมเหล่านี้เลย แต่เมื่อถูกขอร้องผมจึงจำเป็นต้องทำ อาศัยที่ผมเคยอ่านจากหนังสือเกี่ยวกับการจัดพิธีศพมาบ้าง ผมก็เลยจำต้องลงมือทำพิธีอย่างเสียไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างญาติผู้ตายจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงจำเป็นต้องนำด้ายสายสิญจน์มามัดศพ สวดก็สวดไม่เป็น ได้แต่ท่องบทสวดเท่าที่สามารถสวดได้ไปพลางๆ ขณะทำพิธี ผมเริ่มมัดศพที่บริเวณหัวแม่มือทั้งสองข้างแล้วลากไปมัดที่ข้อเท้า ตามไปด้วยเอวและข้อมือ จนกระทั่งไปจบด้วยการมัดที่บริเวณลำคอของศพ โดยขณะที่มัดนั้นผมก็พยายามสวดเท่าที่สวดได้ กระทำพิธีศพอย่างงูๆ ปลาๆ ทำเท่าที่จำได้จากในหนังสือที่เคยอ่าน แม้รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเลย […]

นอนกับผีปอบ กุฏิร้างท้ายวัด จ.สุรินทร์

ย้อนกลับไปเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว น้าส้มและน้าตี๋เป็นเพื่อนสนิทกัน น้าตี๋เป็นสาวประเภทสอง แปลงเพศเรียบร้อย ทั้งสองชอบชวนกันไปปฏิบัติธรรม ตามสถานที่ต่างๆ แล้วแต่สะดวก ทั้งคู่มักไปด้วยกันตลอด มีอยู่วันหนึ่งน้าตี๋ต้องบินกลับต่างประเทศเพราะแฟนไม่สบาย ไม่มีกำหนดกลับ ก่อนหน้านั้นน้าตี๋ได้ชวนน้าส้มไปถือศีลที่สำนึกสงฆ์แห่งหนึ่งในจังหวัดสุรินทร์ หรือเรียกว่าวัดป่าอะไรซักอย่าง จำชื่อไม่ได้  ซึ่งเมื่อเป็นเช่นนั้น น้าส้มได้ตัดสินใจไปคนเดียว พอน้าส้มไปถึงช่วงบ่ายๆ บรรยากาศในวัดเงียบ สงบ และต้นไม้เยอะ พระน้อย ชีน้อย มีคนมาปฏิบัติธรรมไม่ได้เยอะมาก ดูเหมือนพวกเค้าจะเป็นคนพื้นที่เพราะใช้ภาษาส่วยหรือ เขมร อันนี้ไม่ชัวร์ น้าส้มเดินไปขอติดต่อเข้าที่พัก ซึ่งแม่ชีบอกน้าส้มสามารถนอนที่ศาลาได้เลย เพราะที่พักมีคนพักหมดแล้ว น้าส้มเองเกรงว่ากลางคืนยุงน่าจะเยอะ อีกอย่างมาคนเดียวโดยไม่มีน้าตี๋ นางกลัว นางว่างั้น จึงขอแม่ชีพักกุฏิร่วมกับใครก็ได้ แม่ชีก็นึกขึ้นได้ว่ามีแต่เดินไกลหน่อย ห่างจากศาลาและกุฏิพระไกลเอาเรื่องอยู่ จะอยู่ได้ไหม น้าส้มตกลงทันที แม่ชีก็พาเดินมาจนถึงที่พัก พร้อมบอกว่าตอนกลางคืนก็เอาไฟฉายติดมาด้วย ทางนี้งูเงี้ยวเขี้ยวขอมันเยอะ น้าส้มก็ยิ้มรับ จากนั้นแม่ชีก็เดินกลับ บัดนี้หน้าส้มยืนอยู่หน้าประตูพร้อมชุดเครื่องนอน หมอน ของใช้ต่างๆ ตั้งใจมาถือศีลสักเจ็ดวัน ก็อกๆ มีคนอยู่ไหมคะ เงียบ ขอเข้าไปนะคะ ประตูไม่ได้ล็อคกลอน สภาพที่พักไม่ได้กว้างมากเป็นไม้ซะส่วนใหญ่ ข้างในมืดมาก น้าส้มเห็นมีคนนอนอยู่ เป็นคุณป้าอายุน่าจะสักห้าสิบปีได้ […]

เปรตแม่ชี ประสบการณ์ขนหัวลุก

เรื่องเล่าจากคุณแม่ของคุณต้น เล่าว่า เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดบึงกาฬเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นจังหวัดหนองคายอยู่ อำเภอแห่งนี้อยู่ห่างจากอำเภอเมืองบึงกาฬ ในสมัยนั้นเป็นอำเภอบึงกาฬจังหวัดหนองคาย ช่วงเวลานั้นคุณแม่มีอายุ 10 ปีเศษๆ คุณแม่มีพี่น้องทั้งหมด 10 คน คุณแม่เป็นคนที่ 8 คุณตาและคุณยายของคุณต้นเป็นชาวนาและคุณยายของคุณต้นก็ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วย คุณแม่จึงต้องช่วยคุณยายทำเกี่ยวกับไหมหลายอย่าง คุณยายปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไว้ที่นา ห่างจากตัวบ้านประมาณ 3 กิโลเมตรซึ่งนาที่ว่านั้นจะตั้งอยู่ข้างเนินของวัดป่าของหมู่บ้าน ซึ่งถูกแบ่งระหว่างนากับวัดด้วยถนนที่จะไปอีกหมู่บ้านหนึ่งได้ ในสมัยนั้นมีคุณยายคนหนึ่งชื่อว่า ยายจัน เป็นแม่ชีที่บวชอยู่วัดนี้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ยายจันก็เสียชีวิตลงด้วยโรคชราของแกนั่นเอง ขออธิบายลักษณะของวัดป่าสักหน่อย วัดป่าแห่งนี้มีต้นไม้เยอะมาก มีต้นฉำฉาต้นหนึ่งเอนออกมานอกกำแพงวัด มีกิ่งที่แข็งแรงพาดออกมาด้วย และทางนาของคุณตาคุณยายนั้นก็มีต้นประดู่ขนาดใหญ่ที่เอนกิ่งไปขนาบกันพอดีกับต้นฉำฉาต้นนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยายจันเสียชีวิตไปได้ประมาณ 1-2 เดือน วันนั้นคุณแม่ต้องไปช่วยงานคุณยายเก็บไหมเพื่อเอาไหมกลับมาต้มที่บ้าน คุณยายกับคุณแม่ออกจากบ้านไปประมาณสักสี่โมงเย็น ไปถึงก็เก็บไหมใส่กระบุงได้สัก 3-4 กระบุง กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว สมัยก่อนท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปัจจุบัน เนื่องจากยังมีป่าอยู่เยอะ หลังจากทำธุระเสร็จคุณแม่กับคุณยายก็ถือกระบุงเพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน เดินจากเนินวัดป่าเลาะไปตามกำแพงวัดลงมาตามถนน ระหว่างเดินเลาะกำแพงวัดลงมาตามทางนั้น คุณแม่ได้ยินเสียงคล้ายกับคนกำลังใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดลานวัดอยู่ แม่ก็คิดว่าคงเป็นพระหรือไม่ก็แม่ชีกำลังกวาดลานวัดกันตามปกติ แต่เพราะว่าเวลานั้นมันเกือบหกโมงเย็นแล้ว แม่ก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ควรจะเป็นเวลาที่พระต้องไปทำวัตรเย็น แล้วจะมีพระว่างมากวาดลานวัดได้ยังไง คุณแม่กับคุณยายก็เดินลงมาตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินลงมาในทางระดับปกติ เมื่อเดินผ่านประตูวัดคุณแม่ก็เลยมองเข้าไปด้านใน […]

เรือลำน้อย เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดลำพูนเมื่อประมาณสี่ปีที่ผ่านมา คุณต้นทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วได้ไปรู้จักกับพวกรุ่นพี่ที่เป็นคนต่างจังหวัด มาทำงานอยู่ในแผนกเดียวกัน ทุกคนตกลงกันว่าจะไปตกปลาที่อ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่ง หลังจากเลิกงานก็ได้ไปซื้อของเตรียมไว้ ตอนเช้าก็ออกเดินทาง ไปด้วยกันทั้งหมดสี่คน รุ่นพี่สามคนชื่อ คุณอ้อย คุณโหน่ง และคุณพล พอไปถึงที่อ่างเก็บน้ำก็ได้เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าสามารถค้างคืนได้ไหม เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า ค้างไม่ได้ครับ เพราะว่ากลางคืนมันอันตราย เจ้าหน้าที่มีไม่เยอะ คุณต้นและรุ่นพี่ก็เดินกันเข้าไปในอ่างเก็บน้ำ จนไปถึงที่โล่งๆ ไว้สำหรับให้คนตกปลา ช่วงนั้นก็จะมีคนอยู่เยอะพอสมควร แต่คุณต้นกับรุ่นพี่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะค้างอยู่ที่นี่หนึ่งคืนอยู่แล้ว ก็เลยเดินลึกกันเข้าไปในป่า จนไปเจอตลิ่งเล็กๆ เป็นพื้นที่โล่งๆ ด้านหลังเป็นป่าทึบ เลยออกไปอีกหน่อยมีเรือเก่าๆ ลอยอยู่ในน้ำข้างขอบตลิ่ง ทั้งหมดจึงเลือกที่จะปักหลักอยู่แถวๆ บริเวณนี้ คุณต้นกับรุ่นพี่นั่งตกปลาไปจนถึงช่วงหัวค่ำ ก็ได้ทานข้าวกันปกติ จนเวลาประมาณตีหนึ่ง คุณอ้อยเกิดปวดปัสสาวะ จึงเดินเข้าไปในป่า หายไปประมาณห้านาที ทุกคนก็ได้ยินเสียงคุณอ้อยกรี๊ด! คุณโหน่งจึงรีบวิ่งเข้าไปดู แล้วสักพักก็กลับออกมาพร้อมกับคุณอ้อย คุณอ้อยบอกว่ามีคนแอบดูอยู่ตรงต้นไม้ข้างๆ ตลิ่ง บริเวณใกล้ๆ เรือลำนั้น ทุกคนจึงได้ส่องไฟฉายเข้าไปดู แล้วตะโกนออกไปว่า ใครอยู่ตรงนั้น! ไม่มีเสียงตอบกลับมา จึงตะโกนออกไปอีกรอบ ใครอยู่ตรงนั้น! แล้วทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งฝ่าดงหญ้าเข้าไปในป่า ทุกคนตกใจมากจึงส่องไฟให้สว่างไปทั่วบริเวณ จนเวลาผ่านไปสักพัก พอเห็นว่าไม่มีสิ่งไหนขยับเขยื้อน คุณต้นกับคุณพลจึงลองเดินเข้าไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรจึงเดินกลับออกมา […]

แม่ระมาด!! มันไต่ขึ้นมาจากเขา

เรื่อง ศาลาริมทางตอนตีสาม สมัยปี 2543 ผมเคยทำงานอยู่ที่ลำปาง แต่บ้านผมอยู่นครสวรรค์ งานผมจะเป็นงานที่ต้องเดินทางไปกลับนครสวรรค์ในช่วงเวลากลางคืนอยู่บ่อยๆ ครับ เส้นทางจาก นครสวรรค์-ลำปาง ตรงจุดที่น่ากลัวสุด เปลี่ยวสุดผมว่าน่าจะอยู่ตรงช่วงออกจาก อ.สบปราบ ถึง อ.เถิน เพราะตรงนั้นในสมัยนั้นมันมีแต่เขาและข้างทางไม่ค่อยมีบ้านคน และยิ่งกลางคืนดึกๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง เปลี่ยวมาก รถกระบะ รถส่วนตัว แทบจะไม่มีวิ่งให้เห็น มีแต่พวกรถทัวร์ รถสิบล้อ ที่เดินทางกัน ผมวิ่งเส้นนี้กลางคืนบ่อยมาก ปกติเวลาจะกลับนครสวรรค์ผมจะกะเวลาให้ไปเช้าที่นครสวรรค์ ซึ่งเวลาในการเดินทางรถส่วนตัว (ผมขับกระบะ) ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ขับสบายๆ ไม่เร็วมาก เพราะผมมันไม่ค่อยกลัวอะไร ชอบขับรถกลางคืนและผมเป็นคนห่ามๆ ชอบขับกลับบ้านคนเดียวด้วยในตอนนั้น ออกจากลำปางประมาณตี 1 มันจะมาถึงช่วงอำเภอเถินประมาณตี 2-3 เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ แล้วมีอยู่คืนหนึ่งบนเส้นทางตรงนั้น ผมไปเจอคนยืนโบกรถข้างทาง ตรงช่วงนั้นเป็นทางลงเนิน ผมเห็นมาแต่ไกลเพราะเปิดไฟสูง ถนนไม่มีรถวิ่งสวนเลยครับเงียบมากเลยเปิดไฟสูงมาตลอดทาง ผมเห็นเป็นลักษณะคนแต่งตัวเสื้อผ้ารุ่มร่าม ในใจผมคิดว่าน่าจะเป็นคนบ้า อะไรประมาณนั้น มายืนโบกรถเล่นเวลานี้ แต่พอขับเข้ามาใกล้ๆ เริ่มเห็นชัดว่าผมยาวกระเซิงปิดใบหน้าหมด เดาว่าเป็นผู้หญิง เสื้อผ้าสีขาวขุ่นๆ […]