เปรตแม่ชี ประสบการณ์ขนหัวลุก

เรื่องเล่าจากคุณแม่ของคุณต้น เล่าว่า เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดบึงกาฬเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นจังหวัดหนองคายอยู่ อำเภอแห่งนี้อยู่ห่างจากอำเภอเมืองบึงกาฬ ในสมัยนั้นเป็นอำเภอบึงกาฬจังหวัดหนองคาย ช่วงเวลานั้นคุณแม่มีอายุ 10 ปีเศษๆ คุณแม่มีพี่น้องทั้งหมด 10 คน คุณแม่เป็นคนที่ 8 คุณตาและคุณยายของคุณต้นเป็นชาวนาและคุณยายของคุณต้นก็ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วย คุณแม่จึงต้องช่วยคุณยายทำเกี่ยวกับไหมหลายอย่าง คุณยายปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไว้ที่นา ห่างจากตัวบ้านประมาณ 3 กิโลเมตรซึ่งนาที่ว่านั้นจะตั้งอยู่ข้างเนินของวัดป่าของหมู่บ้าน ซึ่งถูกแบ่งระหว่างนากับวัดด้วยถนนที่จะไปอีกหมู่บ้านหนึ่งได้ ในสมัยนั้นมีคุณยายคนหนึ่งชื่อว่า ยายจัน เป็นแม่ชีที่บวชอยู่วัดนี้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ยายจันก็เสียชีวิตลงด้วยโรคชราของแกนั่นเอง ขออธิบายลักษณะของวัดป่าสักหน่อย วัดป่าแห่งนี้มีต้นไม้เยอะมาก มีต้นฉำฉาต้นหนึ่งเอนออกมานอกกำแพงวัด มีกิ่งที่แข็งแรงพาดออกมาด้วย และทางนาของคุณตาคุณยายนั้นก็มีต้นประดู่ขนาดใหญ่ที่เอนกิ่งไปขนาบกันพอดีกับต้นฉำฉาต้นนั้น เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยายจันเสียชีวิตไปได้ประมาณ 1-2 เดือน วันนั้นคุณแม่ต้องไปช่วยงานคุณยายเก็บไหมเพื่อเอาไหมกลับมาต้มที่บ้าน คุณยายกับคุณแม่ออกจากบ้านไปประมาณสักสี่โมงเย็น ไปถึงก็เก็บไหมใส่กระบุงได้สัก 3-4 กระบุง กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว สมัยก่อนท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปัจจุบัน เนื่องจากยังมีป่าอยู่เยอะ หลังจากทำธุระเสร็จคุณแม่กับคุณยายก็ถือกระบุงเพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน เดินจากเนินวัดป่าเลาะไปตามกำแพงวัดลงมาตามถนน ระหว่างเดินเลาะกำแพงวัดลงมาตามทางนั้น คุณแม่ได้ยินเสียงคล้ายกับคนกำลังใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดลานวัดอยู่ แม่ก็คิดว่าคงเป็นพระหรือไม่ก็แม่ชีกำลังกวาดลานวัดกันตามปกติ แต่เพราะว่าเวลานั้นมันเกือบหกโมงเย็นแล้ว แม่ก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ควรจะเป็นเวลาที่พระต้องไปทำวัตรเย็น แล้วจะมีพระว่างมากวาดลานวัดได้ยังไง คุณแม่กับคุณยายก็เดินลงมาตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินลงมาในทางระดับปกติ เมื่อเดินผ่านประตูวัดคุณแม่ก็เลยมองเข้าไปด้านใน […]

เรือลำน้อย เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่จังหวัดลำพูนเมื่อประมาณสี่ปีที่ผ่านมา คุณต้นทำงานอยู่ที่บริษัทแห่งหนึ่งในตัวจังหวัด แล้วได้ไปรู้จักกับพวกรุ่นพี่ที่เป็นคนต่างจังหวัด มาทำงานอยู่ในแผนกเดียวกัน ทุกคนตกลงกันว่าจะไปตกปลาที่อ่างเก็บน้ำแห่งหนึ่ง หลังจากเลิกงานก็ได้ไปซื้อของเตรียมไว้ ตอนเช้าก็ออกเดินทาง ไปด้วยกันทั้งหมดสี่คน รุ่นพี่สามคนชื่อ คุณอ้อย คุณโหน่ง และคุณพล พอไปถึงที่อ่างเก็บน้ำก็ได้เข้าไปถามเจ้าหน้าที่ว่าสามารถค้างคืนได้ไหม เจ้าหน้าที่ก็ตอบว่า ค้างไม่ได้ครับ เพราะว่ากลางคืนมันอันตราย เจ้าหน้าที่มีไม่เยอะ คุณต้นและรุ่นพี่ก็เดินกันเข้าไปในอ่างเก็บน้ำ จนไปถึงที่โล่งๆ ไว้สำหรับให้คนตกปลา ช่วงนั้นก็จะมีคนอยู่เยอะพอสมควร แต่คุณต้นกับรุ่นพี่ก็ตั้งใจไว้ว่าจะค้างอยู่ที่นี่หนึ่งคืนอยู่แล้ว ก็เลยเดินลึกกันเข้าไปในป่า จนไปเจอตลิ่งเล็กๆ เป็นพื้นที่โล่งๆ ด้านหลังเป็นป่าทึบ เลยออกไปอีกหน่อยมีเรือเก่าๆ ลอยอยู่ในน้ำข้างขอบตลิ่ง ทั้งหมดจึงเลือกที่จะปักหลักอยู่แถวๆ บริเวณนี้ คุณต้นกับรุ่นพี่นั่งตกปลาไปจนถึงช่วงหัวค่ำ ก็ได้ทานข้าวกันปกติ จนเวลาประมาณตีหนึ่ง คุณอ้อยเกิดปวดปัสสาวะ จึงเดินเข้าไปในป่า หายไปประมาณห้านาที ทุกคนก็ได้ยินเสียงคุณอ้อยกรี๊ด! คุณโหน่งจึงรีบวิ่งเข้าไปดู แล้วสักพักก็กลับออกมาพร้อมกับคุณอ้อย คุณอ้อยบอกว่ามีคนแอบดูอยู่ตรงต้นไม้ข้างๆ ตลิ่ง บริเวณใกล้ๆ เรือลำนั้น ทุกคนจึงได้ส่องไฟฉายเข้าไปดู แล้วตะโกนออกไปว่า ใครอยู่ตรงนั้น! ไม่มีเสียงตอบกลับมา จึงตะโกนออกไปอีกรอบ ใครอยู่ตรงนั้น! แล้วทุกคนก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งฝ่าดงหญ้าเข้าไปในป่า ทุกคนตกใจมากจึงส่องไฟให้สว่างไปทั่วบริเวณ จนเวลาผ่านไปสักพัก พอเห็นว่าไม่มีสิ่งไหนขยับเขยื้อน คุณต้นกับคุณพลจึงลองเดินเข้าไปดู แต่ก็ไม่เจออะไรจึงเดินกลับออกมา […]

แม่ระมาด!! มันไต่ขึ้นมาจากเขา

เรื่อง ศาลาริมทางตอนตีสาม สมัยปี 2543 ผมเคยทำงานอยู่ที่ลำปาง แต่บ้านผมอยู่นครสวรรค์ งานผมจะเป็นงานที่ต้องเดินทางไปกลับนครสวรรค์ในช่วงเวลากลางคืนอยู่บ่อยๆ ครับ เส้นทางจาก นครสวรรค์-ลำปาง ตรงจุดที่น่ากลัวสุด เปลี่ยวสุดผมว่าน่าจะอยู่ตรงช่วงออกจาก อ.สบปราบ ถึง อ.เถิน เพราะตรงนั้นในสมัยนั้นมันมีแต่เขาและข้างทางไม่ค่อยมีบ้านคน และยิ่งกลางคืนดึกๆ นี่ไม่ต้องพูดถึง เปลี่ยวมาก รถกระบะ รถส่วนตัว แทบจะไม่มีวิ่งให้เห็น มีแต่พวกรถทัวร์ รถสิบล้อ ที่เดินทางกัน ผมวิ่งเส้นนี้กลางคืนบ่อยมาก ปกติเวลาจะกลับนครสวรรค์ผมจะกะเวลาให้ไปเช้าที่นครสวรรค์ ซึ่งเวลาในการเดินทางรถส่วนตัว (ผมขับกระบะ) ประมาณ 4-5 ชั่วโมง ขับสบายๆ ไม่เร็วมาก เพราะผมมันไม่ค่อยกลัวอะไร ชอบขับรถกลางคืนและผมเป็นคนห่ามๆ ชอบขับกลับบ้านคนเดียวด้วยในตอนนั้น ออกจากลำปางประมาณตี 1 มันจะมาถึงช่วงอำเภอเถินประมาณตี 2-3 เป็นแบบนี้อยู่บ่อยๆ แล้วมีอยู่คืนหนึ่งบนเส้นทางตรงนั้น ผมไปเจอคนยืนโบกรถข้างทาง ตรงช่วงนั้นเป็นทางลงเนิน ผมเห็นมาแต่ไกลเพราะเปิดไฟสูง ถนนไม่มีรถวิ่งสวนเลยครับเงียบมากเลยเปิดไฟสูงมาตลอดทาง ผมเห็นเป็นลักษณะคนแต่งตัวเสื้อผ้ารุ่มร่าม ในใจผมคิดว่าน่าจะเป็นคนบ้า อะไรประมาณนั้น มายืนโบกรถเล่นเวลานี้ แต่พอขับเข้ามาใกล้ๆ เริ่มเห็นชัดว่าผมยาวกระเซิงปิดใบหน้าหมด เดาว่าเป็นผู้หญิง เสื้อผ้าสีขาวขุ่นๆ […]

กระทู้ผีพันทิป ใครในห้องของอีแป้ง

เราต้องขอแนะนำตัวก่อน เราชื่ออั้ม เป็นคนกรุงเทพ แต่ด้วยความเป็นเด็กมหาลัย และเป็นคนชอบเที่ยวมาก จึงไปเที่ยวต่างจังหวัดบ่อยๆ คนเดียว เรื่องที่จะเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องของตอนเมื่อปลายปีที่แล้ว ซึ่งเราได้ไปเที่ยวที่เชียงใหม่ ตอนแรกเราวางแผนจะไปที่นั้นสองคืน สามวัน จึงติดต่อกับเพื่อนไว้ ชื่อแป้ง คือแป้งเป็นเพื่อนสมัยมัธยม แต่มาเรียนต่อที่เชียงใหม่ ซึ่งเรากับแป้งสนิทกันมาก เลยขอไปอยู่ด้วยซะเลย ฮ่าๆๆ เรามาถึงที่เชียงใหม่ตอนบ่ายๆ ซึ่งก็ให้แป้งมารับที่สถานีรถไฟ จากนั้นแป้งก็ชวนเราไปนั่งจิบกาแฟชิลๆ แถวหน้ามอ คุยเรื่อยเปื่อยถามเกี่ยวกับสารทุกข์สุขดิบ ตามประสาคนที่ไม่ได้เจอหน้ากันมาหลายปี แป้งเล่าว่า ตอนนี้พักอยู่กับรูมเมทชื่อมด มดเป็นคนเชียงใหม่เรียนคณะเดียวกัน แต่ช่วงนี้นางมีปัญหากับแฟน ทะเลาะกันเป็นประจำ ซึ่งหลังจากที่เราก็โอเคไม่มีปัญหาหรอก มาอยู่แค่สองคืนเอง ตกเย็นหลังจากที่เราทานหมูกระทะกับแป้งเสร็จ ด้วยความเป็นห่วงเพื่อนจึงโทรถามมดว่าตอนนี้อยู่ไหนทำอะไรอยู่ คำตอบที่ได้คือ อยู่ที่ห้องเหมือนเดิม ฝากซื้อข้าวกับยาพารามาให้ด้วยละกัน เรากับแป้งก็เลยไปซื้อข้าวซื้อยาพารา ระหว่างทางแป้งบอกกับเราว่า เวลานางทะเลาะกับแฟนนางเป็นแบบนี้ นางจะชอบนอนซมอยู่ในห้อง แต่อย่าไปกังวลเลย ซักพักมันก็ดีกันเอง กูชินละ เมื่อเรากับแป้งมาถึงที่ห้องก็พบว่ามด นางนอนอยู่ที่เตียงเขี่ยโทรศัพท์ไปมาอยู่บนที่นอน จากนั้นแป้งก็แนะนำเราให้กับมดว่าคืนนี้จะมานอนด้วย ซึ่งมดก็ไม่มีปัญหา จากนั้นแป้งก็จัดเตรียมที่นอนให้เรา ในห้องของแป้งถือว่าไม่ใหญ่มากแต่ก็พออยู่ได้ ในห้องก็จะมีเตียงใหญ่ๆ หนึ่งเตียง ตู้เสื้อผ้า และโต๊ะแป้ง ข้างนอกเป็นระเบียงเป็นประตูกระจกกั้นไว้ […]

คะลำ! อาถรรพ์ผีปอบ เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

ขึ้นชื่อว่า ปอบ คนไทยเราคงรู้จักกันดีทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็คงคิดว่าเป็นแค่ความเชื่อ เพราะปอบในสังคมไทยถูกทำให้กลายเป็นความงมงายจากคนที่หวังผลประโยชน์บางอย่าง และในโลกภาพยนตร์ก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ปอบนั้นเป็นผีที่แปลกกว่าผีชนิดอื่น คือไม่ได้เกิดจากวิญญาณคนตาย ข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีบอกว่า ปอบ เป็นผีจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน โดยเชื่อกันว่าเป็นผีที่กินของดิบๆ สดๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม โดยมีความเชื่อว่า ผู้ที่จะกลายเป็นปอบนั้น มักจะเป็นผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสย พอรักษาคาถาอาคมที่มีอยู่กับตัวไม่ได้ หรือกระทำผิดข้อห้าม ซึ่งในภาษาอีสานจะเรียกว่า คะลำ ซึ่งผู้ที่เป็นปอบจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย ปอบ เป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนกระสือหรือกองกอย แต่ปอบจะเข้าสิงสู่คนที่เป็นสื่อให้ และจะกินตับไตไส้พุงของผู้ที่โดนสิงจนกระทั่งตาย ผู้ที่โดนกินจะนอนตายเหมือนกับนอนหลับธรรมดาๆ ไม่มีบาดแผล ซึ่งเรียกกันว่า ใหลตาย ในทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ อธิบายว่า ความเชื่อเรื่องปอบนั้นเป็นกลไกการสร้างความเชื่อของคนในชุมชน เนื่องจากไม่วางใจบุคคลแปลกหน้าหรือแม้แต่กระทั่งคนในชุมชนเดียวกันเอง ที่มีพฤติกรรมแปลกออกไป ซึ่งในสมัยโบราณบุคคลที่โดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ จะถึงกับถูกขับไล่ให้ออกชุมชนเลยทีเดียว ในชีวิตผม (เจ้าของบทความ) ได้ยินได้ฟังเรื่องของปอบ และได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่เชื่อกันว่าเจอผีปอบอยู่สองครั้ง จึงขอนำมาเล่าให้อ่านกัน ไม่ได้มุ่งหมายให้เชื่อถือจนเกิดความงมงาย เป็นการเล่าเรื่องแปลกๆ สู่กันฟัง เหตการณ์แรกเป็นเรื่องเล่าจากคนที่ผมรู้จัก ผมได้ร่วมงานกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง อายุสัก 25-26 ปี มาวันหนึ่งบริษัทฯ ของเราไปเที่ยวล่องแพกัน […]

ตอแม่ตะเคียน เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่ผ่านมา ที่จังหวัดอุบลราชธานี คุณประสิทธิ์ทำงานเป็นคนขับรถทัวร์ และช่วงที่คุณประสิทธิ์ขับรถอยู่ที่สมุทรปราการ บริษัทก็ได้แจ้งกับคุณประสิทธิ์ว่าวันเสาร์ที่จะถึงนี้ให้คุณประสิทธิ์ไปส่งคนที่จะเหมารถไปจังหวัดอุบลราชธานี ให้ไปรับคนขึ้นรถตามจุดต่างๆ ตามที่ระบุไว้ให้ คุณประสิทธิ์จึงได้ไปรับผู้โดยสารแล้ววิ่งรถไปที่อุบลราชธานี ไปถึงที่หมายประมาณสี่โมงเย็น คุณประสิทธิ์ก็ได้เอารถเข้าไปจอดในวัด หลังจากคนลงหมดแล้ว คุณประสิทธิ์ก็ได้พักทานข้าว เสร็จแล้วกะว่าจะนอนพัก แต่ในวัดมีงาน คุณประสิทธิ์จึงคิดว่าคงจะนอนไม่หลับแน่ ก็เลยขับรถเข้าไปจอดที่หลังวัด ตรงจุดนั้นจะมีต้นไม้ใหญ่ขึ้นเรียงรายอยู่หลายต้นเลยทีเดียว จนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม คุณประสิทธิ์ก็ได้เข้านอน และได้ตื่นขึ้นมาประมาณเที่ยงคืนเพราะปวดปัสสาวะ จึงได้ออกไปข้างนอกรถแล้วจัดการธุระส่วนตัว พลันคุณประสิทธิ์ก็สังเกตเห็นผู้หญิงผมยาวคนหนึ่ง เธอนั่งร้องไห้อยู่บนต้นไม้ คุณประสิทธิ์จึงได้เดินเข้าไปถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า แต่ผู้หญิงคนนั้นก็ไม่ยอมพูด คุณประสิทธิ์ก็เลยไม่กล้าถามเซ้าซี้มากเพราะตนไม่ใช่คนในพื้นที่ จึงได้กลับเข้ามาในรถ แล้วก็มองไปยังจุดที่ผู้หญิงคนนั้นนั่งอยู่ คุณประสิทธิ์ก็เห็นผู้หญิงคนนั้นกวักมือเรียก จึงตัดสินใจถือไฟฉายแล้วลงไปหาอีกครั้ง พอคุณประสิทธิ์เดินไปถึงก็ได้ถามว่ามีอะไรหรือ แล้วก็ได้ส่องไฟขึ้นไปดู ปรากฏว่าผู้หญิงคนนั้นไม่มีแววตา เห็นแค่ลูกกะตาดำๆ คุณประสิทธิ์ตกใจจนทำอะไรไม่ถูก กำสร้อยพระในคอไว้แน่น แล้วผู้หญิงคนที่นั่งอยู่บนต้นไม้ก็พูดขึ้นมาว่า ช่วยหน่อย ช่วยหน่อยนะ อยู่ข้างล่างนี่ คุณประสิทธิ์ช็อค พูดอะไรไม่ออก ทิ้งไฟฉายแล้วก็หันหลังวิ่งตรงเข้าไปทางกุฏิพระ ในกุฏิมีพระชราอยู่รูปหนึ่ง คุณประสิทธิ์ก็ได้บอกว่า หลวงตาครับ! ผมเจอผีอยู่บนต้นไม้! หลวงตาก็ถามว่า แล้วโยมไปจอดรถตรงไหน? คุณประสิทธิ์ก็ตอบว่า หลังเมรุไปประมาณห้าสิบเมตร ตรงที่เป็นป่า ผมทิ้งไฟฉายไว้ตรงนั้นด้วย หลวงตาไปเป็นเพื่อนผมหน่อย คุณประสิทธิ์กับหลวงตาจึงเดินไปที่หลังเมรุ […]

น้ำตาทศกัณฐ์ เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องราวจากการบอกเล่าของรุ่นน้องที่เคยนั่งคุยกันในวงเหล้าเมื่อสามปีก่อน (ตอนที่ผมยังไม่เลิกดื่มเหล้า) ต่อ คือชื่อของน้องคนนั้น สาเหตุที่มันเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเพราะคืนที่ดื่มกัน พวกผมนั่งอยู่ม้าหินอ่อนใต้ต้นไทรใหญ่และมีตุ๊กตากุมารนางรำถูกนำมาทิ้งไว้ ผมสังเกตเห็นต่อมันมองไปที่หุ่นพวกนั้น ผมเลยถามว่ามีอะไร มันบอกผมว่ามีหุ่นทศกัณฐ์กับหนุมานด้วยเห็นไหม ผมหันไปดูเห็นมีจริงเหมือนที่มันบอกเลยพยักหน้า ต่อถามว่าพี่เชื่อเรื่องผีไหม? พวกเพื่อนที่นั่งอยู่ด้วยกันอีกสองคนหันมองหน้ามันทันที ดูเวลาแล้วเที่ยงคืนสิบห้าช่างเป็นใจ ผมบอกว่าเชื่อสิ มีเรื่องผีจะเล่าให้ฟังเหรอ? ต่อเลยเล่าให้ฟังว่า เมื่อสามปีก่อนตอนยังเรียนมัธยมอยู่ ตอนนั้นอยู่ ม.4 ก็มีชมรมต่างๆ ให้นักเรียนเลือกเข้าทำกิจกรรม ต่อมีเพื่อนสนิทอีกสองคนชื่อ ยม กับ กอล์ฟ ตอนแรกตั้งใจจะเข้าชมรมดนตรีสากลกัน แต่ทว่าสาวที่กอล์ฟกับยมแอบชอบอยู่ชมรมนาฏศิลป์ เธอมาชวนให้ไปเข้าชมรมเพราะคนยังน้อย ทั้งสองอยากเอาใจสาวคนนั้น เธอชื่อว่า ชมพู เลยตกลงใจไปสมัครซึ่งแน่นอนว่ามันสองคนมาชวนต่อไปเข้าด้วย ต่อตกลงเออออตามใจมัน พอเข้าไปในชมรมจึงได้รู้ว่าเขาสอนการเล่นโขน มีครูมาสอนหัดเล่นหัดแสดงตลอด เพื่อที่จะออกแสดงในงานเลี้ยงรุ่นพี่ในท้องเรื่องรามเกียรติ์ โดยให้กอล์ฟเป็นพระราม ยมเป็นทศกัณฐ์ ต่อเป็นหนุมานแล้วชมพูเป็นนางสีดา ทั้งหมดมาฝึกซ้อมด้วยกันหลังเลิกเรียนทุกวัน วันเวลาผ่านไป ต่อได้รู้ว่าชมพูแอบมีใจให้กับกอล์ฟ ส่วนยมนั้นก็รู้แต่ยังไม่ละความพยายาม มันพยายามตามตื้อ ซื้อดอกไม้มาให้ ชวนไปกินไอติมตลอด แต่มันก็ไม่ได้ทำให้ชมพูเปลี่ยนใจได้เลย ทั้งสองชอบพอกัน เวลาซ้อมเข้าพระเข้านางกันช่างดูหวานสวยงาม ต่อสังเกตเห็นยมร้องไห้ภายใต้หัวโขนทศกัณฐ์อยู่เสมอ ใกล้จะถึงวันแสดงมากขึ้นเท่าไหร่ ยมนั้นก็ดูคล้ายใจสลายมากขึ้นเท่านั้น ก่อนวันแสดงจริงสองวัน ครูบอกให้ซ้อมดึกเสียหน่อยเพื่อความสวยงามและสมจริง ช่วงพักกินข้าวชมพูกับกอล์ฟนั่งเคียงคู่หยอกล้อ […]

เปรตนางแป้ เรื่องเล่าเขย่าขวัญปี พ.ศ.๒๕๓๐

เรื่องของเปรตเรื่องนี้ ข้าพเจ้าไม่ได้พบโดยตรงด้วยตนเองเพียงแต่เคยรู้จักกับผู้ที่ตายไปเป็นเปรต ขอให้ชื่อเรื่องว่า เปรตนางแป้ (ชื่อจริงก็คล้าย ๆ คำนี้) เมื่อปลาย ๆ ปี ๒๕๓๐ นี่เอง ข้าพเจ้าไปซื้อผลไม้จากเพื่อนรุ่นน้อง เป็นชาวหมู่บ้านเดียวกัน ขายอยู่ตรงซอกทางเดินเข้าตลาดพรานนก ฝั่งตรงข้ามธนาคารกรุงเทพ เขาเรียกข้าพเจ้าว่า “พี่” เพราะนับถือข้าพเจ้ามาก ทั้งข้าพเจ้าก็รักเขามากที่ยอมเชื่อฟังข้าพเจ้า เลิกจากอาชีพขายปลามาขายผลไม้แทน ได้บอกข้าพเจ้าว่า “พี่ นางแป้มันตายแล้ว วันเผาศพมันมีเรื่องประหลาด” นางแป้นี่เป็นน้องสะใภ้ผู้พูด “มีอะไรประหลาด” ข้าพเจ้าซัก มีความรู้สึกว่าให้ประหลาดแค่ไหน ข้าพเจ้าก็ต้องตอบได้ ในวันงานเผานะพี่นะ ในวัดมีแต่กลิ่นเหม็นเน่าคลุ้งไปทั้งวัดเลย เหม็นจริง ๆ กระทั่งกินข้าวปลาอาหารกันไม่ลง ดูที่โลงศพก็ไม่มีอะไรรั่ว อุดยาสนิท ดมดูก็ไม่มีกลิ่น พากันเที่ยวดมหาที่ไหนก็ไม่เจอต้นกลิ่น ทีนี้พอเผาเสร็จเรียบร้อยแล้ว ศพก็ไหม้ไฟไปแล้ว กลิ่นก็ยังอยู่ ผู้คนทนกันไม่ไหวรีบลากลับกันไปหมด ลูกสาวคนตายก็รีบกลับบ้าง เอารูปถ่ายของแม่กลับบ้าน ปรากฏว่ากลิ่นตามมาด้วยตลอดทาง ก็ช่วยกันดมดูที่รูปถ่าย ที่รูปมีกลิ่น พอมาถึงบ้านกลิ่นก็เข้ามาคลุ้งอยู่ในบ้าน ลูกสาวเลยเอะใจว่าคงเป็นกลิ่นของแม่ จึงบอกว่า “แม่ แม่ นี่แม่ตามมาจากวัดหรือ ทําไมทํากลิ่นเหม็นยังงี้ หนูทนไม่ไหว แม่ออกจากบ้านไปเถอะนะ ไปอยู่ที่อื่นเถอะ ไม่ไหวแล้ว” ลูกก็บ่นซ้ำ ๆ […]

เล่นจนได้เรื่อง เรื่องเล่าสยองขวัญ

นรีเป็นคนที่กลัวผีที่สุด และจะเจอผีบ่อยที่สุดด้วย แต่พวกเรามักจะหัวเราะขำเธอมากกว่าจะเชื่อสิ่งที่เธอเล่า นั่นก็เพราะเราเห็นเธอเป็นคนขี้ตื่นขี้กลัวไปเองค่ะ และนี่คือสาเหตุของเรื่องราวที่จะเล่าต่อไปนี้! พวกเราเป็นนักศึกษาปี 4 เทอมนี้ หมายถึงเดือนพฤศจิกายนเป็นต้นไปเราต้องฝึกงานกันแล้ว ต่างคนต่างแยกย้ายกันไปตามที่หาสถานที่ไว้ ดังนั้น ก่อนหน้าที่จะฝึกงานซึ่งออกจะหนักหนาสาหัสเอาการเราจึงมีแผนจะไปเที่ยวด้วยกันสักครั้ง สนุกส่งท้ายไงคะ กลางเดือนตุลาคมเราเลือกไปเที่ยวพัทยา เราจองรีสอร์ตที่ริมหาดพัทยาเหนือเอาไว้ แต่พอไปถึงที่นั่นเราก็ใจฝ่อไปเหมือนกัน รีสอร์ตนั้นค่อนข้างเก่า ด้านหน้าเป็นลานจอดรถ ถัดเข้ามาเป็นร้านอาหารแต่ดูเงียบเชียบพิกล คนขายก็หน้างอๆ ไม่รับแขกเอาซะเลย บริเวณที่พักอยู่ลึกเข้าไปจากร้านอาหาร สร้างเป็นแถวสองฝั่งหลังเล็กๆ มีห้องชุดสองห้องติดกัน พอเปิดประตูเข้าไปจะเป็นห้องรับแขกแล้วจึงเป็นประตูเปิดสู่ห้องนอน มีเตียงเก่าๆ ขนาดคิงไซซ์ เก้าอี้ยาว โต๊ะเครื่องแป้ง ตู้เสื้อผ้า ทีวีและห้องน้ำ ดูอับทึบน่ากลัวบอกไม่ถูก เราไปกัน 13 คน จองไว้ 3 ห้องชุดเรียงติดต่อกัน แต่เห็นสภาพแล้วอยากคืนห้องไปอยู่ที่อื่น บังเอิญเป็นช่วงวันหยุดที่ผู้คนมาเที่ยวกันเยอะ เราก็เลยตกลงใจว่าอยู่ที่นี่ก็ได้ เอาไว้แค่อาศัยนอน ตอนกลางคืนเราจะเที่ยวจนดึกถึงจะกลับมา แค่ 2 คืนคงจะไม่เป็นไรน่า คนที่ดูไม่สบายใจที่สุดคือนรีตามฟอร์ม เธอบ่นตลอดว่าน่ากลัว แถมยังบอกว่าตอนเข้ามาเก็บของน่ะ เห็นผู้หญิงผมยาวอยู่หน้าโต๊ะเครื่องแป้งกำลังมองพวกเราอยู่ด้วย ฉันเริ่มมีโมโหนิดๆ เพราะต้องนอนห้องนี้กับเธอและจุ๋งกับปลา รวม 4 คน คำพูดของนรีทำให้เราไม่สบายใจเธอต้องคิดไปเองอีกแน่ๆ […]

แรงรักไสยเวทย์ เงินทองกูยกให้ แต่ชีวิตมึงต้องเป็นของกู!

เรื่องนี้เป็นเรื่องนานมาแล้วนะคะ นานระดับตำนานเลยก็ว่าได้ เราฟังจากคุณยายของเพื่อนเรามาอีกที คุณยายจำนงค์ แกเป็นคน อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ ส่วนจะอยู่หมู่บ้านไหนนั้น เราก็ไม่อาจทราบได้ เรารู้จักคุณยายเมื่อตอนเราเรียนอยู่กรุงเทพ เราไปเที่ยวบ้านเพื่อนบ่อยๆ เลยรู้จักสนิทสนมกับคุณยายเป็นอย่างดี เวลาเราไปหา คุณยายก็จะทำขนมอร่อยๆ ไว้ให้กินเสมอ กินไปด้วยแกก็จะเล่าเรื่องเก่าๆ ของแกไปด้วย มีอยู่วันหนึ่งคุณยายแกก็เล่าเรื่องราวแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งให้เราฟัง คุณยายเล่าว่าตอนนั้นคุณยายอายุประมาณ 14-15 ปี ที่หมู่บ้านของคุณยาย มีสาวสวยอยู่คนหนึ่งชื่อยุพดี แต่คนแถวนี้เขาก็เรียกกันสั้นๆ ว่ายุ คุณยายว่าพี่ยุเป็นรุ่นพี่คุณยาย อายุซัก 18 ปีเห็นจะได้ แกเป็นคนสวยมาก สวยคมเหมือนแขก แต่ผิวขาวราวกับหยวกกล้วย ผอมสูง ทรวดทรงงามระหง เวลาพี่ยุแกไปไหนมาไหนที ผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่พากันเหลียวมองคอแทบหัก ความที่แกเป็นคนสวยก็ย่อมมีผู้ชายมาติดพันเป็นธรรมดา พี่ยุแกก็คุยกับทุกคน ใครมีเงินเยอะๆ มาขอแกกับพ่อแม่ แกก็ชอบคนนั้นแหละแกว่า ทีนี้ปีนั้นน่ะ มีพ่อค้าขายของเร่คนหนึ่ง ขายของพวกน้ำผึ้งป่า พวกไม้มงคล เร่ขายของมาจนถึงเรือนพี่ยุ พี่ยุแกก็นั่งตำสาด (เสื่อ) อยู่หน้าบ้าน พอพ่อค้าขายเร่คนนี้เห็นพี่ยุก็ชอบพี่ยุเข้าอย่างจัง แรกๆ ก็มาบ่อย ชอบเอานู่นเอานี่มาขาย หลังๆ พี่ยุไม่ซื้อแล้วเขาก็เอามาให้ฟรีๆ […]