คนแรก เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดพึ่งเกิดขึ้นเมื่อวันที่ 4 สิงหาคม หรือเมื่อ 2 วันที่แล้วนี้เอง เรื่องราวของคุณตุ๊กตามีอยู่ว่า ตุ๊กตามีเพื่อนสนิทอยู่คนหนึ่งชื่อแหม่ม โดยที่ทั้งสองได้รู้จักกันตอนที่ตุ๊กตาย้ายมาเรียนที่สมุทรสาคร มีครั้งหนึ่งแหม่มได้มีโอกาสไปเที่ยวที่บ้านเกิดของตุ๊กตา ซึ่งตุ๊กตาเกิดและโตที่ จ.เพชรบูรณ์ พอดีแหม่มเขาอยากมีบ้านที่ต่างจังหวัดให้แม่อยู่ เพราะเดิมทีครอบครัวของแหม่มนั้นอาศัยเช่าบ้านอยู่ที่ จ.สมุทรสาคร หลังจากที่แหม่มได้ที่ดินที่ จ.เพชรบูรณ์ ตามที่ตั้งใจไว้ก็ไปปลูกบ้านไว้ที่นั่น แต่ตัวแหม่มเองยังคงทำงานที่กรุงเทพ จนสักพักได้ย้ายงานไปทำที่ จ.พิษณุโลก ส่วนตุ๊กตาก็ยังคงอาศัยอยู่ที่ จ.สมุทรสาครเช่นเดิม นานๆ ครั้งที่ทั้งสองจะมีโอกาสได้มาเจอกัน เช้าวันที่เกิดเรื่อง แหม่มโทรมาหาตุ๊กตาแล้วบอกว่าจะมาหาที่บ้านที่มหาชัย และค่ำวันนั้นเวลาประมาณ 3 ทุ่มครึ่ง ตุ๊กตากำลังจะเดินออกไปนั่งเล่นที่หน้าบ้าน ก็พอดีเห็นแหม่มเดินเข้ามา อ้าว แกมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่ ตุ๊กตาร้องทัก ถึงเมื่อกี้เอง ตอนที่แกเดินออกมาพอดีนั่นแหละ แหม่มว่า เออๆ เข้ามาบ้านก่อน แกเรียกใครวะ บอกชื่อด้วยสิ คือเนื่องจากว่าตุ๊กตาเป็นคนกลัวผีมาก และจะถือเวลาจะเรียกใครขึ้นรถหรือเข้าบ้านก็มักจะเรียกชื่อก่อน ซึ่งแหม่มก็มักจะชอบอำเล่นอยู่เสมอๆ หลังจากทั้งคู่เดินเข้ามานั่งพักในบ้านแล้ว ตุ๊กตาก็เอ่ยกับเพื่อนสนิทว่า นั่งก่อนแก เดี๋ยวสักพักค่อยไปหาอะไรกินกัน นั่งรถมาเพลียมาก มีบะหมี่ซองบ้างมั้ย ไม่ได้กินกันแบบเด็กหอมานานมากแล้ว แหม่มว่า อ้าว แล้วแกมารถอะไร ฉันมารถตู้ […]

ดวงจิตสุดท้าย เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เหตุการณ์เกิดขึ้นช่วงที่คุณน้ำไปเฝ้าแม่ที่โรงพยาบาลเพราะว่าแม่เขาป่วย ซึ่งก่อนหน้านี้ก็ไม่มีอะไรเหตุการณ์ปกติดี จนกระทั่งมีพยาบาลคนหนึ่งเสียชีวิต ตามที่เป็นข่าว หลังจากวันที่เสียชีวิตได้สองสามวัน เหตุการณ์แปลกๆก็เกิดขึ้น วันนั้นช่วงเวลาประมาณตี 1 คุณน้ำก็ได้ยิน ครืนนนนนน เสียงเหมือนรถเข็นของพยาบาล ที่เข็นมาเวลาให้ยาคนไข้ แม่ก็ทักขึ้นมาว่า “นั่นเสียงอะไร” คุณน้ำก็ตอบไปว่า “ไม่รู้เหมือนกัน” ลักษณะของบริเวณเตียงผู้ป่วยที่โรงพยาบาลจะมีม่านปิด โดยที่ชายของผ้าม่านจะสูงลอยจากพื้นขึ้นมา ถ้ามีคนเดินผ่านไปมาก็จะเห็นความสูงอยู่ที่ประมาณข้อเท้า คุณน้ำจึงก้มดู แต่ก็ไม่เห็นอะไร จากนั้นก็มีเสียงรูดม่าน แกร๊กกกก คุณน้ำก็ก้มดูอีกครั้ง แต่ก็ไม่พบอะไร และคืนนั้นก็ผ่านพ้นไป วันต่อมาคุณน้ำจึงไปเล่าให้ญาติฟังถึงเหตุการณ์ประหลาดที่เกิดขึ้น ญาติก็บอกว่า มีข่าวว่ามีพยาบาลเพิ่งเสียขีวิต ออกข่าวหน้าหนึ่ง และญาติก็ยังเล่าให้ฟังต่ออีกว่า เมื่อวันก่อนเค้าได้ไปทำงานที่ชั้น 4 มีคนไข้เล่าให้ฟังว่าขณะที่กำลังนอนอยู่ ก็มีพยาบาลเอายามาให้ โดยปกติแล้วพยาบาลที่นำยามาให้ จะบอกวิธีการทานยาว่าต้องทานช่วงเวลาไหน ทานกี่เม็ด แต่พยาบาลคนนี้มีท่าทางแปลกออกไปคือ หน้าบึ้งตึง เอายามาให้เฉยๆ ไม่พูดไม่จาอะไร แล้วก็เดินไปฉีดยาเตียงอื่นต่อ เรียกได้ว่าชั้น 4 โดนกันทั้งชั้นเลย ในคืนนั้นเองช่วงเวลาตีหนึ่ง คุณน้ำก็ได้ยินเสียงเข็นรถมาเหมือนเดิม แต่คราวนี้มีเสียงร้องไห้ ฮือออออ ดังลอยมาด้วย คราวนี้แม่ของคุณน้ำก็ทักไปว่า เนี่ย มาอีกแล้ว แต่ว่าครั้งนี้คุณน้ำบอกแม่ว่า […]

ทำคุณไสยใส่พระธุดงค์ เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องเล่านี้ถูกถ่ายทอดมาจากลุงแดน ลุงของเพื่อนสนิทผมสมัยเรียน ปวช. เพื่อนผมชื่อว่า เบียร์ แกเล่าว่าหลังจากอกหักจากบัว สาวงามที่แกเฝ้ารอมานาน แกไปบวชอยู่วัดป่าพร้อมทั้งออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เรียนทั้งคาถาอาคมสมุนไพรต่างๆ จากทั้งครูอาจารย์พระธุดงค์สายกรรมฐาน และฆราวาสที่เก่งกล้าอาคม แกสักยันต์หลายอย่างไว้กับตัว ครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่แกจำได้ไม่ลืม แกเล่าว่าเดินธุดงค์มาตามภูเขาที่เรียกว่าดงพญาไฟ ป่าไม้รกครึ้มเป็นเสมือนป่าดงดิบ ต้นไม้เถาวัลย์พันเกี่ยวคดเคี้ยวไปมาดูน่ากลัว เดินไปพบเจอหมู่บ้านหนึ่ง มีอยู่ประมาณ 10-20 หลังคาเรือน มองดูแล้วน่าอยู่มากทีเดียว เมื่อคนในหมู่บ้านนั้นเห็นพระภิกษุแปลกหน้าย่างกรายเข้ามา ทุกคนต่างดีใจ นิมนต์ท่านให้มาบิณฑบาตตอนเช้าได้ไหม แกพยักหน้ารับคำ มีเพียงชายแก่คนหนึ่ง หนวดเครายาว มีผ้าโพกหัว คล้องลูกประคำสีดำเต็มคอ มองดูแกด้วยสายตาเย้ยหยัน และมีคำพูดคำนึงออกมาว่า ท่านมาธุดงค์แถวนี้ไม่กลัวรึ ผีป่าผีเขา อาถรรพ์มันมากโขอยู่ ระวังไม่ได้กลับออกไปนะท่าน! แกยิ้มให้ชายแก่คนนั้นเบาๆ ถามว่าแถวนี้มีวัดหรือที่สงบๆ บ้างไหม คิดว่าฝนน่าจะตกถ้าอยู่ในกลดคงต้องเปียกไม่ดีแน่ ชาวบ้านก็ต่างอาสาบอกให้ท่านมาพักบ้านตนบ้าง แนะนำบ้านนั้นบ้าง บ้านนี้บ้าง แล้วชายแก่คนเดิมก็หัวเราะแล้วพูดว่า ท่านครับ! เดินขึ้นไปบนเขาสักพักจะเจอกระท่อมร้างหลังนึงตั้งอยู่ ถ้าไม่กลัวนะครับ คงจะพอกันแดดกันฝนได้อยู่ ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดี ชาวบ้านจึงเชิญท่านฉันเพล สำรับกับข้าวก็เป็นอาหารธรรมดานี่ล่ะครับ ปลาย่าง น้ำพริก ผักสด ข้าวเหนียวนึ่งในกระบอกไม้ไผ่ ลุงแกเริ่มฉันอาหารเหล่านั้น […]

เรื่องเล่าสยองขวัญ เจ้ากรรมนายเวร ตอนที่ ๒

เรื่อง เจ้ากรรมนายเวร ตอนแรก >> คลิกลิงก์นี้ เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นหลังจากผมกลับมาจากลำพูนแล้ว ในอีกสองสามวันต่อมา ผมมีนัดพบลูกค้าที่อำเภอชาติตระการในจังหวัดพิษณุโลก เพื่อเยี่ยมลูกค้าและส่งมือถือพร้อมกับชุดอุปกรณ์กล้องวงจรปิดไร้สายที่สามารถเปิดดูได้ผ่านแท็บเล็ต ในยุคนั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมากและผมก็พร้อมที่จะนำเสนอให้กับลูกค้าเต็มที่ เพราะได้ค่าคอมมิชชั่นพิเศษเสริมเข้ามา แต่เนื่องจากอำเภอชาติตระการอยู่ไกลจากอำเภอเมืองประมาณร้อยกิโลเห็นจะได้ และเส้นทางก็เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ถึงแม้ว่าผมจะออกจากหอพักแต่เช้าก็ตาม ก็ต้องกลับมืดค่ำอยู่ดี เพราะกว่าจะไปถึงลูกค้าในแต่ละจุดของอำเภอรวมกับการสาธิตกล้องวงจรปิดและปิดการขายก็กินเวลาอยู่มากโข ในวันนั้นเอง ผมสามารถขายกล้องวงจรปิดได้หนึ่งชุดมูลค่าแปดพันกว่าบาท รวมทั้งมือถือรุ่นต่างๆ อีกประมาณสองหมื่นบาท ฟังดูเหมือนจะน้อยใช่มั้ยครับ แต่ผมขายเป็นเงินสดนะ เพราะนโยบายของบริษัทที่ต้องขายสินค้าเงินสดเท่านั้น และจะต้องโอนเงินค่าสินค้าวันต่อวันอีกด้วย ผมขับรถคันเก่าของผมกลับหอพักในเมืองด้วยอารมณ์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับโทรแจ้งหัวหน้าของผมว่าวันนี้จะโอนเงินเข้าบริษัทมืดๆ หน่อยเพราะพึ่งกลับจากลูกค้า ในช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเย็นโพล้เพล้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ซักพักใหญ่ ผมขับเปิดกระจกกินลมชมวิวเสมือนหนึ่งว่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับผมมาก่อนหน้านี้แทบไม่ได้มีความหมาย (คนที่สงสัยกรุณากลับไปอ่านภาคแรกนะครับ) แต่เปล่าเลยครับ ความสยองขวัญบทใหม่มันกำลังจะเริ่มบรรเลงขึ้นต่างหาก ถนนที่ทอดยาวไปตามทางคดเคี้ยวของไหล่เขา ทำให้ผมไม่สามารถทำความเร็วได้ถนัดนัก บวกกับท้องฟ้าที่มืดแล้วจึงต้องขับแบบปล่อยเลยตามเลยถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ช่วงทางลงเขาก่อนตัดเข้าถนนใหญ่เริ่มมีไฟทางเข้ามาบ้างทำให้พอเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดขึ้น จนกระทั่งมีวัตถุบางอย่างตั้งขวางอยู่กลางถนนบนเลนซ้ายที่รถของผมกำลังวิ่งอยู่ มองไกลๆ เหมือนกับเงาดำของต้นไม้ที่ตกกระทบจากแสงของหลอดไฟที่ส่องข้างทาง แต่พอรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น เงาดำนั้นก็ค่อยๆ ถอยตัวห่างออกไป ราวกับว่ามันเป็นรถนำขบวนที่รักษาระยะห่างด้วยความเร็วที่พอสมควร ผมฉุกคิดในใจเลยว่า ‘เอาอีกแล้วห่าเอ๊ย! ใจคอพวกมึงนี่จะเล่นกูให้ได้เลยใช่ไหม กะไม่ให้กูได้พักผ่อนหย่อนใจเลยว่างั้นเถอะ!’ จากความกลัวกลายเป็นความโกรธบวกกับรำคาญกับการรังควาญที่ไม่จบสิ้นของสิ่งเหล่านี้ ผมเหยียบคันเร่งใส่เลยครับและดูเหมือนจะได้ผลซะด้วย เมื่อเข้าสู่ทางตรงเพราะรถเร่งความเร็วเร่งได้เต็มที่ ระยะห่างใกล้เข้ามาทุกทีจนผมเห็นเงาดำนั้นได้ชัดขึ้น รูปร่างของมันสูงใหญ่ตัวดำทะมึน ปรากฏให้เห็นเป็นชายที่มีร่างกายกำยำยืนกางแขนและกางขา ลอยตัวไปตามถนนนำหน้ารถของผมไป ยิ่งผมเห็นชัดขึ้นเท่าไหร่มันยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะชะลอความเร็วหรือเบรคอีกต่อไป […]

แขกขายโรตี เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เหตุการณ์นี้เกิดเมื่อประมาณปี 2555 มีแขกขายโรตีอยู่คนหนึ่ง แขกคนนี้มักจะขับรถมาขายโรตีที่หมู่บ้านของผมอยู่เป็นประจำแทบทุกวัน แล้วโดยส่วนตัวของผมชอบที่จะกินโรตี ผมก็ได้ซื้ออุดหนุนแขกคนนั้นอยู่เป็นประจำเกือบทุกวันเหมือนกัน แล้วก็มีอยู่วันหนึ่ง แขกคนที่ขายโรตีนั้น ก็ขับรถมาขายโรตีตามปกติ แล้วเขาก็ได้ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านของผม ผมขออธิบายก่อนนะครับ ว่าในบริเวณพื้นที่บ้านของผมนั้นมีบ้านอยู่ 2 หลัง บ้านหลังหนึ่งเป็นบ้านที่ผมอาศัยอยู่ และบ้านอีกหลังหนึ่งเป็นบ้านของน้าของผมเอง ซึ่งน้าของผมชื่อว่า น้ามัย น้ามัยได้ไปทำงานที่จังหวัดชลบุรีได้หลายเดือนแล้ว วันนั้นผมกับแขกขายโรตีก็ได้พบเจอกันตามปกติ แล้วแขกคนนั้นก็ได้ยกมือขึ้นและชี้นิ้วไปที่บ้านของน้ามัย ถามกับผมว่า “บ้านหลังนั้นไม่มีคนอยู่หรือ” ผมก็ตอบไปว่า “ไม่มี บ้านหลังนั้นเป็นบ้านของน้าผมเอง น้าไม่อยู่ไปทำงานต่างจังหวัด” และแขกขายโรตีก็ยังถามอีกว่า “บ้านหลังนั้นเปิดให้เช่าไหม” ผมจึงตอบกลับไปว่า “เดี๋ยวขอโทรศัพท์ไปถามน้าดูก่อนว่าเขาจะเปิดให้เช่าไหม” แขกคนนั้นก็พยักหน้าเป็นการรับทราบ หลังจากผมซื้อโรตีเสร็จ ก็เดินกลับเข้ามาในบ้าน สักพักหนึ่งก็โทรศัพท์ไปหาน้า แล้วผมก็คุยกับน้ามัยเรื่องบ้านที่ถูกขอเช่า น้ามัยก็บอกว่าคงทำงานอยู่ที่นั่นอีกนาน เปิดให้เช่าก่อนก็ได้ หลังจากที่ผมได้โทรศัพท์คุยกับน้ามัยเสร็จ ก็ได้เดินออกมาบริเวณหน้าบ้านอีกครั้งหนึ่ง แล้วก็มองเห็นแขกคนนั้นยังอยู่ จึงพูดออกไปว่า “เปิดให้เช่านะ” แล้วแขกคนนั้นก็พูดว่า “ดีเลย ถ้าอย่างนั้นอีกสองสามวันจะมาขอเช่านะครับ” ผมก็เลยตอบกลับไปว่า “ได้เลยครับ” แล้วแขกคนนั้นก็ขับรถจากไป เวลาผ่านไปได้ 3 วัน แขกคนนั้นก็ได้ขับรถมอเตอร์ไซค์มาที่บ้านของผม พร้อมกับภรรยาที่นั่งซ้อนท้ายรถมาด้วย เขาเดินเข้ามาหาผมแล้วก็พูดว่า […]

ไม่ยอมไปเกิด เรื่องเล่าสยองขวัญ

เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ มันเกิดขึ้นราวปี 2502 ขณะนั้นผมเองยังเป็นเด็กอยู่ แต่ก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวแห่งความอาฆาตแค้นและแรงแห่งความพยาบาทครั้งนั้นดี สมัยนั้นผมติดคุณปู่ของผมมากจะไปไหนก็มักจะติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง เรียกได้ว่าเห็นปู่ที่ไหนจะต้องเห็นผมที่นั่นเลยก็ว่าได้ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ปู่บอกว่าจะเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ดสักสองสามวันผมก็เลยขอติดตามปู่ไปด้วย เอ็งอยากไปก็ไป แต่ข้าบอกก่อนโว้ยว่าที่นั่นน่ะมันกันดาร ไม่เหมือนที่บ้านเรานี่ และถ้าไปเอ็งก็ต้องหัดมีความอดทนหนอ่ย ไม่ใช่บทจะเบื่อขึ้นมาก็โยเยจะกลับท่าเดียว ปู่บอกผมเหมือนเป็นการปรามเอาไว้ก่อน ตกลงครับ รับรองว่าไม่เบี้ยวแน่ ผมรับปากอย่างแข็งขันเพราะกลัวปู่จะไม่ให้ไปด้วย จากนั้นเราสองคนปู่กัหลานจึงช่วยกันจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ ลงย่าม ทั้งเสื้อผ้า ของใช้จำเป็น กระทั่งทุกอย่างถูกเตรียมเป็นที่เรียบร้อย พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น ผมรู้ว่าปู่จะไปธุระครั้งนี้ด้วยเรื่องอะไร แต่ผมไม่สนใจหรอกครับเพราะปู่ของผมเป็นคนเก่ง แกมีวิชาอาคมมากมาย ดังนั้นทุกครั้งที่ไปไหนกับปู่ผมจึงสบายใจได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องผีเรื่องสางผมไม่สนเลย เพราะปู่บอกว่าต่อให้ต้นตระกูลผีแกก็ไม่กลัว เพราะแกมีของดีอยู่ในตัว และแกก็ได้มอบของดีนั้นให้กับผมด้วย นั่นก็คือว่านตากแห้งชนิดหนึ่งเชื่อกันว่ากลิ่นของว่านชนิดนี้ผีกลัว เขาจึงเรียกกันว่า ว่านผีแขยง ซึ่งปู่ของผมไปได้มาจากประเทศลาวตั้งแต่สมัยแกยังหนุ่ม การเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนั้นมันแสนยากลำบาก ขณะนั้นดินแดนแห่งทุ่งกุลาเต็มไปด้วยทุ่งซึ่งมีแต่ความแห้งแล้ง ผืนดินที่แยกแตกระแหงนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่า สภาพดินฟ้าอากาศที่นั่นมันโหดร้ายปานใด เราจะไปพักกันที่หมู่บ้าน้้างหน้านั่น ปู่กล่าวขึ้น ขณะที่เราลงจากรถบุโรทั่งที่วิ่งปุเลงๆ ฝ่าไอแดดที่ร้อนผ่าวและฝุ่นที่ปลิวคลุ้งมาจับตัวรถจนกลายเป็นสีโอวัลติน เรามองผ่านเนินเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง เห็นหลังคาหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า  โหตั้งไกลนะปู่ เราจะต้องเดินไปหรือครับ หรือว่ามีรถโดยสาร ผมถามด้วยน้ำเสียงเหมือนกับบ่นเสียมากกว่า เดิน ห้ามบ่นนะ ปู่ตอบสั้นๆ ด้วยเสียงห้าวๆ ซึ่งเสียงแบบนี้ผมรู้ดีว่าก็กำลังปรามผมเอาไว้ล่วงหน้า คงรู้ว่าผมต้องบ่นอุบแน่ ก็มันทั้งร้อนแดดเปรี้ยงและไกลลิบออกอย่างนั้น […]

คนไม่มีเงาหัว เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เจนนี่ เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวอเมริกัน พ่อเป็นคนไทย เธอเกิดและเติบโตที่ลอสแองเจลิส สหรัฐ ตอนนั้นเธออายุ 14 ปี ครอบครัวเธอย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยภายหลังปู่เสียชีวิต แรก ๆ พ่อเธอก็เพียงจะกลับมาจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่อยู่ไปอยู่มาแม่ของเจนนี่เกิดชอบเมืองไทย ครอบครัวจึงเปลี่ยนใจลงหลักปักฐานแทน เจนนี่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองไทยและความเป็นไทยน้อยมาก เธอค่อย ๆ เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและเพื่อน ๆ เธอเหมือนกับวัยรุ่นทั่วโลกจำนวนไม่น้อยที่ชอบเรื่องลี้ลับและตื่นเต้น วันหนึ่งเธอได้ยินคุณย่าเล่าเรื่องเห็นคนไม่มีหัวหรือไม่มีเงาหัว จากนั้นคนคนนั้นก็จะเสียชีวิต มันเป็นลางบอกเหตุจ้ะ ย่าบอกเจนนี่ คล้าย ๆ ซิกธ์เซนส์ใช่ไหมคะ เจนนี่ถาม ย่าพยักหน้ารับอย่างเอ็นดู แล้วเล่าต่อ ตอนแม่ของย่า ทวดของหนูอพยพมาเมืองไทย กำลังจะขึ้นเรือกัน ทวดเห็นคนในเรือไม่มีหัวก็ร้องตกใจจนพ่อกับแม่ของทวดไม่กล้าขึ้นเรือลำนั้น ในเวลาต่อมาก็ทราบว่าเรือลำนั้นล่ม เสียชีวิตกันทั้งลำ เจนนี่หมกมุ่นกับเรื่องเงาหัว เธอเที่ยวไปถามคนนั้นคนนี้รวมทั้งผม พ่อผมขับรถให้ครอบครัวของเธอ ผมเล่าเรื่องตอนเด็ก ๆ ที่เดินตามน้าชายกลับจากดูหนังกลางแปลงให้ฟัง โดยทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางทำท่าเล่าอย่างออกรสออกชาติ ตอนนั้นดึกแล้ว ผมค่อนข้างง่วง ผมเดินช้าจนห่างจากน้าไม่น้อย แต่แล้วก็ตาสว่างโพลง หายง่วงไปเลย เพราะผมเห็นน้าชายไม่มีหัว อีกไม่ถึงเดือนน้าชายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ถูกสิบล้อชนตาย ผมไม่เคยเล่าเรื่องน้าไม่มีหัวให้ใครฟังนะ ผมเล่าให้คุณเจนนี่ฟังเป็นครั้งแรก เจนนี่ตื่นเต้นมาก คนไทยสนุกจัง […]

ดอยอาถรรพ์ เรื่องเล่าเขย่าขวัญจากป่าลึก

ท้องถิ่นบ้านล้านนา ในอดีตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้ใหญ่ลำสูงขึ้นเบียดเสียดแน่นหนาอยู่ทุกภูดอย ป่ามีมากกว่าคน คนมีจำนวนน้อยกว่า จึงต้องนอบน้อมให้กับป่าใหญ่ดงหนาอันมีแต่สิ่งลี้ลับ ชาวบ้านพื้นถิ่นต่างเชื่อถือและเคารพยำเกรงในความอาถรรพ์ของป่าดงพงไพร หากต้องย่ำกรายเข้าไปก็ต้องมีการเซ่นสรวงสังเวยเพื่อบอกกล่าวถึงจุดประสงค์กับเจ้าเขาอันรักษาผืนป่า แล้วก็ต้องรักษาสัจจะอันได้กล่าวไว้ข้างต้นตลอดเวลาที่อยู่ในป่า เช่น หากกล่าวว่าขอยิงสัตว์ไปเลี้ยงท้องเลี้ยงไส้สักหนึ่งตัว แต่พอยิงได้ตัวหนึ่งแล้วยังยิงเพิ่มอีก มักจะเจออาถรรพ์ต่างๆ นานา บ้างหนักหนาถึงขนาดต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ กลายเป็นผีเฝ้าป่าเสียก็มี พรานกลุ่มหนึ่ง ได้เดินป่าล่าสัตว์รอนแรมอยู่หลายมื้อหลายวัน กระทั่งเดินลึกเข้าไปในผืนป่าใหญ่ ต้นไม้เริ่มเป็นลำใหญ่ขนาดหลายคนโอบขึ้นอยู่หนาแน่น แผ่กิ่งก้านใบปกคลุมกางกั้นอยู่หนาทึบ แสงแดดแทบส่องไม่ทะลุ หากเดินกลางวันมืดเหมือนยามเย็น บรรยากาศจึงเย็นยะเยือกตลอดเวลา พรานตกลงกันว่าจะหาที่พักเอาแถวๆ นี้ เพราะหากเย็นไปกว่านี้ถ้ายังไม่ได้ที่พักเกรงจะไม่ปลอดภัย จึงพากันเดินลึกเข้าไปเพื่อหาทำเลที่เหมาะสม กระทั่งทางเริ่มชันขึ้น มองลัดเลาะผ่านต้นไม้ไปข้างหน้า เห็นภูเขาเล็กๆลูกหนึ่ง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเป็นดอยโทน แปลกอยู่ตรงที่ต้นไม้ใบไม้มีสีเขียวเข้มคล้ำมากกว่าบริเวณรอบๆ หัวหน้าพรานพยักหน้าให้เป็นที่รู้กันว่าจะไปพักที่ดอยโทนลูกข้างหน้านั้น หนทางสูงชันจนต้องใช้มือจับต้นไม้แล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไปเป็นระยะๆ เดินยาก ไปยาก จนกระทั่งลุเข้าเขตดอยประหลาด รู้ได้จากต้นไม้กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เมื่อมาถึงที่หมาย หัวหน้าพรานไม่ลืมที่จะจุดธูปขอขมาบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า พวกเราชาวบ้านมาเพื่อล่าสัตว์ ขออยู่พักอาศัยเพียงชั่วคืน ขออันตรายใดๆ อันเกิดจากสัตว์หรืออาถรรพ์ อย่าได้เกิดมีกับพวกข้าพเจ้าเลย ว่าแล้วก็ปักธูปลงดิน พร้อมวางเครื่องสังเวยอันมีดอกไม้ป่าที่พอหาได้แถวๆ นั้น เมื่อเลือกต้นไม้ที่จะสร้างนั่งร้านอยู่ข้างบนได้ จึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ บ้างก็ไปฟันไม้ทำนั่งร้าน บ้างก็จัดแจงหาฟืน พวกหาฟืนเดินอ้อมดอยไปอีกทาง เก็บไม้แห้งรายทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปพบเข้ากับอะไรบางอย่าง […]