“วัยรุ่นหลงป่าบนภูกระดึง” เรื่องจริงชวนสะพรึงในรายการตี10 ออกอากาศในปี พ.ศ. 2547

เรื่องจากรายการตีสิบ ประสบการณ์ลี้ลับที่กลุ่มนักศึกษามหาวิทยาลัยกรุงเทพ ได้ไปเจอมาที่ภูกระดึง เรื่องเกิดขึ้นจากการที่พวกเขานัดกันไป ท่องเที่ยว พักแรม ที่ภูกระดึง ตอนก่อนเดินทางไปเที่ยว คุณยายของรุ่นพี่ในกลุ่มท่านก็ได้เตือนให้ไหว้เจ้าที่ เจ้าทาง เจ้าป่า เจ้าเขา ตามประสาผู้ใหญ่ที่เป็นห่วงหลาน แต่พอมาถึงภูกระดึงในตอนเช้าที่ เขาก็ไม่ได้นึกถึงเรื่องนั้นเลย พวกเขาไปกันทั้งหมด 10 คน และไม่เคยมีใครมาเที่ยวภูกระดึงมาก่อนเลย หนึ่งในนั้นชื่อ บอย เป็นคนไม่ค่อยจะเชื่อเรื่องอาถรรพ์และเป็นคนโผงผาง พูดจาไม่ค่อยดีนัก ตามสไตล์วัยรุ่นห่ามๆ ทั่วไป หยาบคายบ้าง ท้าทายบ้าง เพื่อนๆ ห้ามก็เหมือนยิ่งยุ (เพื่อนๆ บอกว่าเขาพูดหยาบมากๆ จนไม่สามารถพูดออกอากาศได้) ระหว่างการเดินทางท่องเที่ยวบนภูกระดึงวันแรก บอยก็พูดจาแบบคะนองปากไปเรื่อยๆ แล้วกลุ่มของพวกเขาก็หลงป่า หาทางออกไม่เจอเป็นเวลานาน พี่ใหญ่ของกลุ่มเริ่มไม่สบายใจ (คนเดียวกับที่ยายบอกให้ไหว้เจ้าที่) เขาจึงไปยกมือไหว้ต้นไม้ที่ใหญ่ที่สุดในบริเวณนั้น ด้วยความเข้าใจเองว่าจะต้องขอขมาเจ้าที่เจ้าทาง พอหลังจากที่ขอขมาแล้วเดินต่อซักพักเขาก็เห็นไม้สีแดง ลักษณะเป็นไม้ปลายงอม้วนเข้าคล้ายไม้เท้า เขาก็เข้าใจเองอีกว่าปลายไม้ชี้บอกทางออก และตัดสินใจเดินตามทางนั้นโดยเก็บเอาไม้ชิ้นนั้นมาด้วย ซักพักก็เดินพ้นออกมาจากป่าจริงๆ เมื่อพ้นออกมาจากป่าได้แล้ว ก็เดินเที่ยวต่อเพื่อไปที่ผาหล่มสัก เมื่อถึงผาหล่มสัก ยังไม่เย็นมากจึงนั่งๆ นอนๆ พักผ่อนรอชมพระอาทิตย์ตกดินบริเวณนั้น กลุ่มพวกเขาไม่ได้เอากล้องถ่ายรูปไป มีเพียงโทรศัพท์มือถือที่ถ่ายรูปได้ ในตอนนั้นมีนักท่องเที่ยวกลุ่มอื่นๆ อีกหลายกลุ่มที่มีจุดประสงค์เดียวกัน […]

เพื่อนข้างบ้าน สยองขวัญดาดฟ้าอาคารย่านคู้บอน

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งแถวคู้บอน เมื่อประมาณสิบปีที่ผ่านมา คุณหนุ่มทำธุรกิจเกี่ยวกับขายของสำหรับสัตว์เลี้ยงต่างๆ เป็นอาคารพาณิชย์สองชั้นครึ่ง ปลูกติดกันทั้งหมดเจ็ดหลัง คุณหนุ่มจะอยู่หลังท้ายสุด ถัดออกไปอีกจะเป็นบ้านเดี่ยวยกสูง คุณหนุ่มเปิดธุรกิจนี้ให้แฟนกับน้าสาวของแฟนดูแล เพราะคุณหนุ่มต้องทำงานกับคุณพ่อ จึงไม่ค่อยได้มีเวลาดูแล แต่ก็ยังคงอาศัยหลับนอนอยู่ที่อาคารพาณิชย์แห่งนี้ จนอยู่ได้ประมาณสองถึงสามปี ก็เริ่มรู้จักเพื่อนบ้านคนอื่นๆ ส่วนบ้านเดี่ยวด้านข้าง มีอาชีพเป็นโปรกอล์ฟ ทั้งสามีและภรรยา มีลูกด้วยกันหนึ่งคน แต่ไม่ได้อยู่ด้วยกัน นานๆ ทีภรรยาถึงจะพาลูกมาเที่ยวหาที่บ้าน ช่วงเย็นของทุกวัน พี่ผู้ชายผู้เป็นสามีจะเดินออกมาทานข้าวที่หน้าบ้านเป็นประจำ มีอยู่วันนึง คุณหนุ่มนั่งทำงานอยู่ในห้องบนชั้นสอง เวลาประมาณเที่ยงคืนกว่าๆ แฟนก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาในห้อง แล้วบอกว่า เฮียๆ ใครไม่รู้มาเคาะประตูบนดาดฟ้า! ซึ่งดาดฟ้าของอาคารพาณิชย์แห่งนี้ จะเชื่อมหากันทุกหลัง คุณหนุ่มบอกกลับไปว่า เสียงลมหรือเปล่า ลมมันแรง แฟนก็แย้งว่า ไม่ใช่เสียงลม มันเป็นเสียงเคาะประตู คุณหนุ่มจึงลุกเดินขึ้นไปดู ไปยืนฟังอยู่ที่หน้าประตูทางขึ้นดาดฟ้า ก็ได้ยินว่ามันมีเสียงเคาะจริงๆ ก๊อก ก๊อก ก๊อก คุณหนุ่มรู้สึกแปลกใจมาก จึงได้เดินไปหยิบอาวุธออกมาเพื่อป้องกันตัว คุณหนุ่มบิดลูกบิดประตู แล้วผลักมันออกไป แต่ก็ไม่ปรากฏใครอยู่หลังประตู มีเพียงความมืดที่ปกคลุมอยู่ทั่วทั้งดาดฟ้า คุณหนุ่มเดินขึ้นไป แล้วใช้ไฟฉายส่องไปรอบๆ บริเวณ แต่ก็ไม่พบสิ่งผิดปกติ จึงเดินกลับลงมา แล้วล็อคประตูตามเดิม […]

เสียงเปรตในคืนวันโกน เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องมีอยู่ว่าตอนผมอายุประมาณ 23-24 ปี ผมคบกับแฟนคนหนึ่ง บ้านพักเขาอยู่ติดกับวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการย่านแฟลตทหารเรือ แฟนผมได้ชวนผมไปบ้านเค้า พอผมไปถึงเดินผ่านบริเวณวัด ก่อนเดินไปตามทางริมคลอง ซึ่งเป็นทางปูนน่าจะประมาณ 1 เมตรเศษ พอเดินทางปูนริมคลอง ก็เดินลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ เพื่อเข้าบ้านแฟนผม แฟนผมชื่อวีครับ พอผมถึงบ้านวี ผมได้เจอกับครอบครัววีเป็นครอบครัวใหญ่อยู่กันหลายคนมาก มียาย พ่อ น้า น้าเขย น้าสะใภ้ น้องๆ หลานๆ วี ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แถมพื้นที่บริเวณชั้นล่างของบ้าน ยังเป็นพื้นที่ที่เหล่าบรรดายายๆ ป้าๆ เอาไว้บวกเลขฝึกสมองกันอีกด้วย ผมไปถึงก็สวัสดีทุกๆ คน นั่งอยู่ชั้นล่างของตัวบ้านสักพัก ที่บ้านวีลักษณะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างมีโถ่งใหญ่กลางบ้าน ไว้ให้พวกยายๆ ป้าๆ นั่งคิดเลขบวกเลขกัน ด้านหลังเป็นห้องส้วมแล้วก็ห้องน้ำ มีกำแพงติดกับกำแพงวัดซึ่งใช้กำแพงเดียวกันเลยก็ว่าได้ ซึ่งตอนนั้นบ้านวีกำลังต่อเติมกั้นห้องเพิ่ม บริเวณชั้นล่างทำเป็นห้องใต้บันได (ถ้าหันหน้าเข้าบ้าน บันไดจะอยู่ตรงกลางชิดด้านหลัง ด้านขวาเป็นห้องน้ำ ด้านซ้ายเป็นห้องที่กำลังต่อเติม) วันนั้นผมไปถึงบ้านวีตั้งแต่ช่วงสายๆ ก็เลยได้ไปนั่งกินข้าวนั่งคุยกับบรรดาผู้ใหญ่ที่บ้านวี ผมเอะใจว่าทำไมมีพวกกับข้าวต้ม ขนม นมเนย ที่ใส่บาตรเยอะจัง ผมเลยถามวีไป […]

โอ่งดองผี เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เป็นเรื่องราวที่ลูกพี่ลูกน้องเล่าให้คุณอู๋ฟังอีกทีหนึ่ง เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งแถวภาคตะวันออก เมื่อประมาณเจ็ดปีที่ผ่านมา คุณเอทำอาชีพขายผลไม้ดอง โดยการดองผลไม้เองแล้วขายส่งตลาดใหญ่ เขาอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่และลูกจ้าง คุณพ่อคุณแม่จะไปเฝ้าที่ตลาดใหญ่ทั้งวัน แล้วช่วงกลางคืนก็จะกลับมานอนที่บ้าน ลูกจ้างมีทั้งหมดสี่คน คือป้าสีกับลุงชัย มีหน้าที่ปอกผลไม้กับเฝ้าแผงที่ตลาด และอีกสองคนอยู่ที่บ้าน ชื่อพี่เป้กับกอแก้ว ทำหน้าที่ล้างและดองผลไม้ อยู่มาได้สักพัก ป้าสีก็ได้พาหลานชายมาฝากทำงานด้วยคนหนึ่ง ชื่อพี่ชาย เพิ่งจะพ้นโทษออกมาจากคดียๅเสwติด บ้านที่คุณเออยู่จะเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น มีรั้วล้อมรอบ ชั้นหนึ่งจะมีสามห้องนอน คนงานทั้งห้าคนจะพักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง หลังบ้านจะเป็นที่วางโอ่งดองผลไม้ ซึ่งมีอยู่หลายสิบโอ่งด้วยกัน พี่เป้ซึ่งเป็นสามีของแก้ว ตกเย็นมามักจะชอบนั่งดื่มเหล้าทุกวัน ไม่ค่อยสนใจภรรยา และเมื่อมีพี่ชายเข้ามาทำงานด้วย พี่เป้จึงเริ่มมีปากเสียงกับแก้วหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเกิดอาการหึงหวง เหตุการณ์เป็นแบบนี้อยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เช้าวันหนึ่ง คุณเอเดินลงมาที่ชั้นล่างและบอกให้พี่เป้ตักผลไม้ดองไปส่งที่ตลาดเหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อลงมาถึงก็เจอพี่เป้นั่งอยู่คนเดียว คุณเอจึงถามออกไปว่า อ้าว แล้วชายกับแก้วมันไปไหน ทำไมถึงไม่มาช่วยกัน แต่อยู่ ๆ พี่เป้แกก็น้ำตาไหลสะอึกสะอื้น แล้วตอบคุณเอว่า ไอ้ชายกับอีแก้วมันหนีตามกันไปแล้ว พี่เป้แกปล่อยโฮอยู่พักใหญ่ คุณเอก็ยืนนิ่งไม่รู้จะปลอบยังไง เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง พี่เป้พูดทั้งน้ำตาว่า เดี๋ยววันนี้ผมจะขอลางานนะพี่ เดี๋ยวจะไปตามหาอีแก้วมันสักสองสามวัน เดี๋ยวให้ลุงชัยแกเข้ามาช่วยงานในบ้านไปก่อนนะพี่ คุณเอเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจึงอนุญาตให้ไป แต่ก่อนที่พี่เป้จะไป คุณเอก็พูดขึ้นว่า เอ็งก็อย่าคิดสั้นนะ […]

ของเขมรที่บุรีรัมย์ เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งคุณวิทย์ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และคุณวิทย์ได้เล่าว่า ต้นกับเหมียวเป็นสามีภรรยากัน ต้นเป็นเด็กฝึกงานที่ฝึกงานกับคุณวิทย์ เป็นผู้ช่วยพนักงานขาย ต่อมาก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นเซลล์ ซึ่งต้นนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดี อายุประมาณ 24-25 ปี ด้วยความที่หน้าตาดี ต้นจึงมีนิสัยเป็นผู้ชายที่เจ้าชู้ ตอนนั้นต้นก็ติดตามคุณวิทย์อยู่ตลอด จนคุณวิทย์กลับบ้านที่จังหวัดขอนแก่น ต้นก็ไปเจอกับเหมียว ที่เป็นหลานของคุณวิทย์ แต่เป็นญาติห่างๆ ทั้งคู่เกิดชอบคอกัน พอคุณวิทย์รู้ว่าต้นชอบหลานก็บอกกับต้นว่าไม่ได้นะ เพราะเหมี่ยวเป็นหลานคุณวิทย์ ถ้าจะจริงจังก็จริงจังไป อย่าเล่นๆ เหมือนคนอื่นที่ต้นเคยจีบ จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน โดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ แต่ด้วยความที่ต้นเป็นคนเจ้าชู้ ต้นก็ไม่หยุดพฤติกรรมแย่ๆ ของตัวเอง ส่วนเหมียวด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ก็รักต้นมาก เพราะน่าจะเป็นรักแรก บ่อยครั้งที่ต้นชอบโพสต์รูปเซลฟี่กับผู้หญิงคนอื่นลงเฟซบุ๊กโดยไม่แคร์ความรู้สึกของเหมียวเลย ตอนนั้นคุณวิทย์ก็รู้สึกผิดที่ยุให้ทั้งคู่แต่งงานกัน จนวันหนึ่ง เหมียวก็โทรมาหาคุณวิทย์และบอกว่าไม่ไหวแล้ว จะไม่ทนกับต้นแล้ว คุณวิทย์ก็บอกให้อดทนไว้ก่อน และนั่นก็เป็นสายสุดท้ายที่คุณวิทย์ได้คุยกับเหมียว เพราะหลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปร่วมเดือน ในส่วนของต้นเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากสำหรับเซลล์มือใหม่ๆ เพราะต้นทำยอดขายได้ถล่มทลายในชนิดที่ว่าคนเก่าๆ อย่างคุณวิทย์ก็สู้ไม่ได้ ซึ่งทำให้ต้นได้เป็นพนักงานขายยอดเยี่ยมในรอบ 6 เดือนของบริษัท แล้วก็จะมีงานจัดเลี้ยงเล็กๆ ให้กับพนักงานขายซึ่งผู้จัดการก็ได้เรียกต้นขึ้นมารับรางวัล คุณวิทย์ได้สังเกตอยู่ตลอดเวลา วันที่จะมอบรางวัลเหมือนต้นจะอยู่ไม่ค่อยสุข กระวนกระวาย พอรับรางวัลเสร็จคุณวิทย์ก็ชวนต้นไปกินเลี้ยงกัน แต่ต้นตอบกลับว่า […]

คุณไสยยาสั่งเขมร เรื่องเล่าสยองขวัญ

สวัสดีครับทุกคน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมเจอมากับตัว มีพยานบุคคลที่อยู่ร่วมเหตุการณ์สามารถยืนยันได้ชัดเจน แต่ชื่อของตัวละครในเรื่องผมได้ทำการเปลี่ยนใช้ชื่อสมมติทั้งหมด เพราะผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ถ้าใช้ชื่อจริงอาจทำให้กระทบต่อชีวิตประจำวันเขาได้ จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อสมมติเพื่อความเหมาะสมครับ เรื่องนี้เกิดเมื่อ 3-4 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ ม.ปลาย คือช่วงที่ผมพึ่งจะศึกษาศาสตร์วิชากับครูบาอาจารย์ได้เพียงปี-สองปี คนที่รับรู้เรื่องของผมก็มีเพียงพ่อ แม่ และญาติใกล้ชิดเท่านั้น การรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ ครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรก และตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ ก็ยังถือว่าเป็นครั้งที่มีผลต่อผู้ถูกกระทำรุนแรงที่สุดด้วยครับ เรื่องมีอยู่ว่า พี่ต้อมเป็นญาติห่างๆ ของผม ซึ่งพ่อของผมกับแม่ของพี่ต้อมเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน (ปู่ผมเป็นพี่ชายของตาพี่ต้อม) ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กัน ผมจึงค่อนข้างสนิทกับบ้านพี่ต้อมตั้งแต่เด็ก ซึ่งเรื่องที่ผมชอบเรียนรู้วิชานี้บ้านพี่ต้อมก็รับรู้ด้วย พี่ต้อมมีแฟนสาวชื่อพี่ผึ้ง ทางบ้านพี่ต้อมค่อนข้างจะยากจนเพราะพ่อพี่ต้อมติดสุรา ทำให้ครอบครัวของพี่ผึ้งไม่ค่อยจะปลื้มเรื่องนี้นัก ออกจะกีดกันเสียจนออกนอกหน้าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะแม่ของพี่ผึ้งที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาพี่ต้อมเป็นลูกเขยแน่ๆ พี่ต้อมกับพี่ผึ้งจึงต้องแอบไปมาหาสู่กัน โดยมีเพียงผู้ใหญ่ฝ่ายพี่ต้อมรับรู้ โดยพยายามหลบทางบ้านพี่ผึ้งที่จะคอยกีดกัน หนักเข้าถึงขั้นขังพี่ผึ้งไว้ในบ้านเพื่อไม่ให้เจอกับพี่ต้อม พอพี่ต้อมพยายามไปตามที่บ้านก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา ทั้งยังพูดจาดูถูกที่บ้านพี่ต้อมสารพัด วันหนึ่งพี่ผึ้งแอบหนีมาหาพี่ต้อมที่บ้านตอนกลางดึก แม่พี่ผึ้งรู้เข้าถึงขั้นตามมาโวยวายถึงบ้านพี่ต้อมจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต วันรุ่งขึ้นทางบ้านพี่ต้อมจึงต้องยกกันไปเจรจากับแม่พี่ผึ้งถึงบ้าน ครั้งนี้ทางพี่ต้อมเอาคุณตามน ตาของพี่ต้อมที่อยู่บ้านหลังใหญ่ (แม่พี่ต้อมแยกออกมาปลูกบ้านอยู่กับสามีในที่ของตามน) มาร่วมเจรจาด้วย ตามนเป็นคนที่ชาวบ้านเคารพนับถือ แม่ของพี่ผึ้งจึงจำยอมให้ลูกสาวคบกับพี่ต้อมอย่างเปิดเผย โดยทางบ้านพี่ต้อมได้วางเงินหมั้นไว้จำนวนหนึ่ง และได้ขอพี่ผึ้งให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันเลย หลังจากนั้นพี่ผึ้งก็ได้ย้ายเข้าบ้านพี่ต้อม โดยที่แม่ของพี่ผึ้งไม่ค่อยพอใจนัก ยังพยายามพาลูกไปโน่นนี่บ่อยๆ เพื่อให้พี่ผึ้งไม่มีเวลาอยู่กับพี่ต้อม จนวันหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่ม […]

ถนนสายหลอน ผีตีนกลับที่สุพรรณบุรี

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่ถนนสายหนึ่งในจังหวัดสุพรรณบุรี แถว ๆ ถนนสายที่เกิดเหตุนี้ คนในพื้นที่จะมีเรื่องเล่าอยู่เรื่องหนึ่งที่เล่ากันว่า มีพนักงานหญิงคนหนึ่ง หลังจากเลิกงานในช่วงเย็น เธอคนนี้ก็ได้ก้าวเท้าลงจากรถของบริษัท ซึ่งแฟนหนุ่มได้รออยู่อีกฝั่งของถนน เธอจึงเดินข้ามไปหาแฟน โดยที่ไม่ได้มองรถบนถนนให้ดีเสียก่อน ปรากฏว่ามีรถกระบะพุ่งชนเข้าที่ลำตัวอย่างจัง จนลำตัวท่อนบนบิดกลับหลัง ปกติคุณโน๊ตเป็นคนจังหวัดอ่างทอง แต่ได้เดินทางไปเที่ยวงานประจำปีที่จัดขึ้นในจังหวัดสุพรรณบุรี ไปกันทั้งหมดประมาณหกคนได้ นั่งอัดกันไปในรถกระบะคันเดียว ไปถึงงานประมาณช่วงเย็น ๆ ทุกคนเดินเที่ยวกันจนเวลาย่างเข้าห้าทุ่มเศษ ๆ จึงได้ชวนกันกลับ คุณโน๊ตค่อย ๆ ขับรถออกมาจากงาน ถนนไม่ได้ใหญ่มากนักและไฟทางก็มีอยู่แค่ระยะห่าง ๆ จนมาถึงโค้งแห่งหนึ่ง ซึ่งมีศาลไม้เก่า ๆ อยู่หนึ่งหลังและต้นไม้ที่ลำต้นค่อนข้างใหญ่แผ่กิ่งปกคลุมไปทั่วบริเวณ ผุดขึ้นเป็นฉากหลังทำให้โค้งแห่งนี้ดูน่ากลัวพิกล คุณโน๊ตขับเข้าโค้งปกติ แต่นึกยังไงไม่ทราบได้ ถึงเล่าเรื่องผู้หญิงที่โดนรถชนจนตัวบิดให้เพื่อน ๆ ในรถฟัง เฮ้ยเนี่ย ได้ยินเรื่องเล่ามา เขาว่าตรงนี้มันมีคนตายแบบนี้ คุณโน๊ตขับรถไปตามทางมืด ๆ โดยที่เล่าเรื่องของผู้หญิงคนนั้นไปด้วย แม้ว่าเวลานี้จะยังไม่ดึกมากนัก แต่ถนนกลับโล่งจนผิดปกติ ไม่มีผู้ร่วมทางขับสวนมาแม้แต่คันเดียว สองข้างทางเป็นทุ่งนาโล่งเตียนมืดทึบ มีต้นไม้ขึ้นเป็นช่วง ๆ จังหวะนั้นสายตาของคุณโน๊ตก็เหลือบไปเห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนก้มหน้าอยู่ในมุมมืดข้างทาง ลักษณะผมยาว ใส่ชุดคล้ายพนักงานโรงงาน แขนทั้งสองข้างลู่ลงแนบลำตัว คุณโน๊ตไม่ได้สนใจมากนัก […]

“ห่าก้อม” โคตรปอบภาคอีสาน | เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

วันนี้ผมมีเรื่องเกี่ยวกับ “ห่าก้อม” มาเล่าให้ฟัง หลายคนคงสงสัยว่ามันคืออะไร มันคือชื่อเรียกของผีที่ต้องบอกว่าน่ากลัวมากเลยทีเดียว ส่วนใหญ่ถ้าพูดถึงผีทางภาคอีสานหรือภาคเหนือ ก็คงจะไม่พ้น ผีปอบ ผีกะ นี่ก็ว่าโหดแล้ว แต่คุณรู้กันไหมว่าภาคอีสานมีผีที่โหดยิ่งกว่าคือ ห่าก้อม ห่าก้อมคือผีที่มีวิชาสูงกว่าปอบ เพราะคนที่จะเป็น ห่าก้อม ก็คือคนที่เป็นปอบมาก่อน แต่ด้วยวิชาตะบะที่แก่กล้ามาก หรือเคยเป็นคนที่มีวิชาไสยเวทย์ขั้นสูงแล้วทำผิดครู เหตุนี้จึงทำให้ห่าก้อมมีอำนาจเหนือกว่าปอบทั่วๆ ไป ยายผมท่านเล่าให้ฟังสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ว่า ห่าก้อม คือโคตรปอบ เพราะว่าปอบยังแค่เข้าคน กินเลืoด เนื้อดิบๆ แต่ส่วนมากจะเป็นสิ่งที่ตๅยแล้วมันถึงจะกิน ถ้าปอบที่แก่มากหน่อยก็จะถึงขั้นหักคอคนเป็นๆ ได้ โดยที่เป็นวิญญาณไม่ได้มาเป็นตัวเป็นตน และจะมีฤทธิ์มากในตอนกลางคืน แต่สิ่งที่ ห่าก้อม มันน่ากลัวกว่าปอบก็ตรงที่ มันกินเป็นๆ และมันมีฤทธิ์มากทั้งกลางวันและกลางคืน และไม่ต้องมาแบบวิญญาณ แต่มาแบบตัวคนเป็นๆ เลย ยายเล่าให้ฟังว่า ถ้าใครที่จิตอ่อนหรือมีเคราะห์ดวงใกล้ถึงฆๅต ถ้ามันอยากกิน แค่มันเดินผ่านคนๆ นั้นจะลมลงตๅยทันที จากคำบอกเล่าจะเห็นว่าห่าก้อมนั้นร้ายกาจกว่าปอบเป็นอย่างมาก สมัยก่อนแถวบ้านผมไฟฟ้ายังไม่มี (อันนี้ผมยังทันอยู่) ถ้าหมู่บ้านข้างๆ มีคนป่วย คนแถวบ้านนอกก็จะไปเยี่ยมกันทั้งหมู่บ้านเลยทีเดียว ไม่เหมือนคนสมัยนี้ และด้วยความที่เป็นหมู่บ้านสามัคคี เราจึงไม่มีทางรู้เลยว่าคนที่มาหลายๆ คนนั้นจะ มีปอบ […]

เพื่อนสนิท เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องนี้เกิดขึ้นกับเพื่อนผม ผมมีเพื่อนคนนึงชื่อว่าแป้ง เป็นเพื่อนตั้งแต่เด็กอาศัยอยู่ในหมู่บ้านเดียวกับผม แต่เราสองคนเรียนคนละโรงเรียนกัน ครอบครัวของแป้งมีฐานะดี แป้งเลยได้เรียนโรงเรียนเอกชน แป้งมีเพื่อนสนิทอยู่คนนึงชื่อว่าแนนเขา 2 คนสนิทกันมาก ไปไหนก็จะต้องมีแป้งและแนน ตัวติดกันตลอด 2 คนนี้รักกันมากเลยทีเดียว พอเรียนจบ ม. 3 กลุ่มของแป้งที่โรงเรียนก็มีทริปที่จะไปเที่ยวกัน เพราะแต่ละคนก็จะแยกย้ายไปเรียนตามที่ตัวเองถนัด บางคนก็ไปเรียนต่อที่เมืองนอกบางคนก็เรียนต่อสายอาชีพ พวกเขาจึงคิดว่าจะไปเที่ยวไหนกันดี เพื่อเป็นการอำลา มายด์ที่เป็นเพื่อนในกลุ่มของแป้งก็เสนอมาว่า ให้ไปเที่ยวหัวหิน เพราะพ่อของมายด์ มีบ้านพักตากอากาศที่นั่น ส่วนเรื่องของการเดินทางอาหาร มายด์ก็อาสาเป็นคนดูแลเอง พอทุกคนตกลงกันเป็นที่เรียบร้อย ก็นัดวันที่จะเดินทางกัน ตกลงกันว่าจะไป 4 วัน 3 คืน พอถึงวันที่จะเดินทาง ทุกคนก็ไปรวมกันที่บ้านของมายด์ ทุกคนนั่งรถตู้ของบ้านมายด์ไป กลุ่มเพื่อนของแป้งที่ไปกันมีประมาณ 8 คน มีทั้งหญิงและชาย พอถึงที่หมาย ทุกคนต่างก็นำข้าวของไปเก็บในห้องและออกไปเดินเที่ยวริมทะเล ผ่านไป 2 วันทุกคนก็ได้เล่นน้ำ ได้กินอาหารทะเลกันอย่างสนุกสนาน พอเช้าวันที่ 3 แม่ของแป้งโทรมาบอกว่า พ่อของแป้งไม่สบายอยู่โรงพยาบาล ให้แป้งกลับมาหาพ่อ เดี๋ยวแม่ของแป้งจะมารับ แป้งเป็นลูกคนเดียว พ่อของแป้งมีโรคประจำตัว […]

เสียงสะอื้นจากริมคลอง เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

บ้านยายของฉันเป็นบ้านสวน มีคลองทอดผ่านหลังบ้าน สองฝั่งคลองก็ไม่มีบ้านคนมากนัก ตกค่ำพวกเราก็มีวิถีชีวิตแบบชนบท พอฟ้ามืดก็พากันเข้าบ้านบ้านไม่ไปเที่ยวที่ไหน ยกเว้นว่ามีงานวัดหรือออกไปหาปลาหากุ้งบ้างเป็นบางคราว   ฉันมาอยู่กับพ่ออีกจังหวัดหนึ่ง นานๆ พ่อจะพาฉันกับแม่ไปเยี่ยมยาย ทุกครั้งที่ไปก็มีแต่ความสนุก เล่นน้ำ หาปลา เก็บผลไม้ในสวนกันทั้งวัน แต่ครั้งนี้ไม่เป็นเหมือนอย่างที่เคยเป็น การมาเยี่ยมยายครั้งนี้ ทำให้ฉันจำไปตลอดชีวิตเลยทีเดียว  เมื่อรถจอดที่คิวรถ ปกติถ้าเราไม่เอารถส่วนตัวมาเราจะเหมารถสามล้อเข้าบ้านยายเพราะไม่มีรถผ่านทางนั้น ครั้งนี้รถพ่อดันเสียแต่ได้บอกยายไว้แล้ว อีกอย่างก็วันเกิดยายด้วยก็เลยต้องมา เวลาตอนนี้ก็น่าจะสี่โมงเย็น หน้าหนาวค่ำเร็ว ขอบฟ้าสีส้มๆ ลมหนาวพัดโชย เราหารถสามล้อเพื่อเข้าบ้านยาย  ขณะที่เรานั่งรถถึงสะพานข้ามคลอง สามล้อก็บอกว่าส่งตรงนี้นะ ค่ำแล้วรีบกลับบ้าน พ่อก็บอกว่า ลุงบ้านผมห่างเป็นโลเลยนะ ส่งให้ใกล้กว่านี้ไม่ได้เหรอ สามล้อเครื่องก็บอกว่าไม่ได้หรอกจะรีบกลับบ้านมืดแล้ว จะลดราคาให้ พวกเราจึงต้องลงรถที่นั่นและเดินเข้าบ้านยาย หกโมงเย็นแต่ไร้ผู้คน ทุกบ้านปิดบ้านเงียบแต่ก็ยังมีแสงไฟแปลว่ามีคนอยู่ พอถึงบ้านยาย น้าเย็น น้องสาวแม่เปิดรั้วออกมารับและบอกรีบเข้าบ้านเร็วๆ เราก็ทำตาม น้าบอกว่ายายกับตารอกินข้าวอยู่ แม่ถามว่าลุงไปไหน น้าบอกว่าไปต่างจังหวัดอีกสองสามวันกลับ รีบมากินข้าวเถอะจะได้อาบน้ำอาบท่า พวกเราสังเกตเห็นท่าทีทุกคนในบ้านรีบร้อนไปหมด ยังมีลุงสามล้อนั้นอีก ขับมาก็ดีๆ พอพ่อบอกทางให้เลี้ยวมาทางนี้กลับหยุดรถ แล้วบอกว่ารีบกลับบ้าน เรากินข้าวเสร็จทุกคนก็อาบน้ำอาบท่า บ้านของยายเป็นบ้านที่ลุงสร้างใหม่แทนบ้านไม้ มีห้องน้ำในตัวไม่ต้องเดินไปอาบน้ำนอกบ้านอย่างสมัยก่อน ยายบอกให้ทุกคนเข้านอนทั้งที่ยังแค่สองทุ่มกว่าๆ ยายก็บอกว่าพวกเรามาเหนื่อยๆก็ เลยอยากให้นอนไว […]