ไม่ยอมไปเกิด เรื่องเล่าสยองขวัญ

เหตุการณ์อันน่าสะพรึงกลัวนี้ มันเกิดขึ้นราวปี 2502 ขณะนั้นผมเองยังเป็นเด็กอยู่ แต่ก็ได้รับรู้ถึงเรื่องราวแห่งความอาฆาตแค้นและแรงแห่งความพยาบาทครั้งนั้นดี สมัยนั้นผมติดคุณปู่ของผมมากจะไปไหนก็มักจะติดสอยห้อยตามไปด้วยทุกครั้ง เรียกได้ว่าเห็นปู่ที่ไหนจะต้องเห็นผมที่นั่นเลยก็ว่าได้ และครั้งนี้ก็เช่นกัน ปู่บอกว่าจะเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ดสักสองสามวันผมก็เลยขอติดตามปู่ไปด้วย เอ็งอยากไปก็ไป แต่ข้าบอกก่อนโว้ยว่าที่นั่นน่ะมันกันดาร ไม่เหมือนที่บ้านเรานี่ และถ้าไปเอ็งก็ต้องหัดมีความอดทนหนอ่ย ไม่ใช่บทจะเบื่อขึ้นมาก็โยเยจะกลับท่าเดียว ปู่บอกผมเหมือนเป็นการปรามเอาไว้ก่อน ตกลงครับ รับรองว่าไม่เบี้ยวแน่ ผมรับปากอย่างแข็งขันเพราะกลัวปู่จะไม่ให้ไปด้วย จากนั้นเราสองคนปู่กัหลานจึงช่วยกันจัดเตรียมสัมภาระต่างๆ ลงย่าม ทั้งเสื้อผ้า ของใช้จำเป็น กระทั่งทุกอย่างถูกเตรียมเป็นที่เรียบร้อย พร้อมสำหรับการเดินทางในวันรุ่งขึ้น ผมรู้ว่าปู่จะไปธุระครั้งนี้ด้วยเรื่องอะไร แต่ผมไม่สนใจหรอกครับเพราะปู่ของผมเป็นคนเก่ง แกมีวิชาอาคมมากมาย ดังนั้นทุกครั้งที่ไปไหนกับปู่ผมจึงสบายใจได้ทุกครั้ง โดยเฉพาะเรื่องผีเรื่องสางผมไม่สนเลย เพราะปู่บอกว่าต่อให้ต้นตระกูลผีแกก็ไม่กลัว เพราะแกมีของดีอยู่ในตัว และแกก็ได้มอบของดีนั้นให้กับผมด้วย นั่นก็คือว่านตากแห้งชนิดหนึ่งเชื่อกันว่ากลิ่นของว่านชนิดนี้ผีกลัว เขาจึงเรียกกันว่า ว่านผีแขยง ซึ่งปู่ของผมไปได้มาจากประเทศลาวตั้งแต่สมัยแกยังหนุ่ม การเดินทางไปจังหวัดร้อยเอ็ดในครั้งนั้นมันแสนยากลำบาก ขณะนั้นดินแดนแห่งทุ่งกุลาเต็มไปด้วยทุ่งซึ่งมีแต่ความแห้งแล้ง ผืนดินที่แยกแตกระแหงนั้นบ่งบอกได้อย่างดีว่า สภาพดินฟ้าอากาศที่นั่นมันโหดร้ายปานใด เราจะไปพักกันที่หมู่บ้าน้้างหน้านั่น ปู่กล่าวขึ้น ขณะที่เราลงจากรถบุโรทั่งที่วิ่งปุเลงๆ ฝ่าไอแดดที่ร้อนผ่าวและฝุ่นที่ปลิวคลุ้งมาจับตัวรถจนกลายเป็นสีโอวัลติน เรามองผ่านเนินเตี้ยๆ ลูกหนึ่ง เห็นหลังคาหมู่บ้านที่อยู่ห่างออกไปเบื้องหน้า  โหตั้งไกลนะปู่ เราจะต้องเดินไปหรือครับ หรือว่ามีรถโดยสาร ผมถามด้วยน้ำเสียงเหมือนกับบ่นเสียมากกว่า เดิน ห้ามบ่นนะ ปู่ตอบสั้นๆ ด้วยเสียงห้าวๆ ซึ่งเสียงแบบนี้ผมรู้ดีว่าก็กำลังปรามผมเอาไว้ล่วงหน้า คงรู้ว่าผมต้องบ่นอุบแน่ ก็มันทั้งร้อนแดดเปรี้ยงและไกลลิบออกอย่างนั้น […]

คนไม่มีเงาหัว เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เจนนี่ เป็นลูกครึ่ง แม่เป็นชาวอเมริกัน พ่อเป็นคนไทย เธอเกิดและเติบโตที่ลอสแองเจลิส สหรัฐ ตอนนั้นเธออายุ 14 ปี ครอบครัวเธอย้ายกลับมาอยู่เมืองไทยภายหลังปู่เสียชีวิต แรก ๆ พ่อเธอก็เพียงจะกลับมาจัดการเรื่องทรัพย์สมบัติ แต่อยู่ไปอยู่มาแม่ของเจนนี่เกิดชอบเมืองไทย ครอบครัวจึงเปลี่ยนใจลงหลักปักฐานแทน เจนนี่มีพื้นฐานเกี่ยวกับเมืองไทยและความเป็นไทยน้อยมาก เธอค่อย ๆ เรียนรู้จากสภาพแวดล้อมและเพื่อน ๆ เธอเหมือนกับวัยรุ่นทั่วโลกจำนวนไม่น้อยที่ชอบเรื่องลี้ลับและตื่นเต้น วันหนึ่งเธอได้ยินคุณย่าเล่าเรื่องเห็นคนไม่มีหัวหรือไม่มีเงาหัว จากนั้นคนคนนั้นก็จะเสียชีวิต มันเป็นลางบอกเหตุจ้ะ ย่าบอกเจนนี่ คล้าย ๆ ซิกธ์เซนส์ใช่ไหมคะ เจนนี่ถาม ย่าพยักหน้ารับอย่างเอ็นดู แล้วเล่าต่อ ตอนแม่ของย่า ทวดของหนูอพยพมาเมืองไทย กำลังจะขึ้นเรือกัน ทวดเห็นคนในเรือไม่มีหัวก็ร้องตกใจจนพ่อกับแม่ของทวดไม่กล้าขึ้นเรือลำนั้น ในเวลาต่อมาก็ทราบว่าเรือลำนั้นล่ม เสียชีวิตกันทั้งลำ เจนนี่หมกมุ่นกับเรื่องเงาหัว เธอเที่ยวไปถามคนนั้นคนนี้รวมทั้งผม พ่อผมขับรถให้ครอบครัวของเธอ ผมเล่าเรื่องตอนเด็ก ๆ ที่เดินตามน้าชายกลับจากดูหนังกลางแปลงให้ฟัง โดยทำเสียงเล็กเสียงน้อยพลางทำท่าเล่าอย่างออกรสออกชาติ ตอนนั้นดึกแล้ว ผมค่อนข้างง่วง ผมเดินช้าจนห่างจากน้าไม่น้อย แต่แล้วก็ตาสว่างโพลง หายง่วงไปเลย เพราะผมเห็นน้าชายไม่มีหัว อีกไม่ถึงเดือนน้าชายก็ขี่มอเตอร์ไซค์ถูกสิบล้อชนตาย ผมไม่เคยเล่าเรื่องน้าไม่มีหัวให้ใครฟังนะ ผมเล่าให้คุณเจนนี่ฟังเป็นครั้งแรก เจนนี่ตื่นเต้นมาก คนไทยสนุกจัง […]

ดอยอาถรรพ์ เรื่องเล่าเขย่าขวัญจากป่าลึก

ท้องถิ่นบ้านล้านนา ในอดีตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้ใหญ่ลำสูงขึ้นเบียดเสียดแน่นหนาอยู่ทุกภูดอย ป่ามีมากกว่าคน คนมีจำนวนน้อยกว่า จึงต้องนอบน้อมให้กับป่าใหญ่ดงหนาอันมีแต่สิ่งลี้ลับ ชาวบ้านพื้นถิ่นต่างเชื่อถือและเคารพยำเกรงในความอาถรรพ์ของป่าดงพงไพร หากต้องย่ำกรายเข้าไปก็ต้องมีการเซ่นสรวงสังเวยเพื่อบอกกล่าวถึงจุดประสงค์กับเจ้าเขาอันรักษาผืนป่า แล้วก็ต้องรักษาสัจจะอันได้กล่าวไว้ข้างต้นตลอดเวลาที่อยู่ในป่า เช่น หากกล่าวว่าขอยิงสัตว์ไปเลี้ยงท้องเลี้ยงไส้สักหนึ่งตัว แต่พอยิงได้ตัวหนึ่งแล้วยังยิงเพิ่มอีก มักจะเจออาถรรพ์ต่างๆ นานา บ้างหนักหนาถึงขนาดต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ กลายเป็นผีเฝ้าป่าเสียก็มี พรานกลุ่มหนึ่ง ได้เดินป่าล่าสัตว์รอนแรมอยู่หลายมื้อหลายวัน กระทั่งเดินลึกเข้าไปในผืนป่าใหญ่ ต้นไม้เริ่มเป็นลำใหญ่ขนาดหลายคนโอบขึ้นอยู่หนาแน่น แผ่กิ่งก้านใบปกคลุมกางกั้นอยู่หนาทึบ แสงแดดแทบส่องไม่ทะลุ หากเดินกลางวันมืดเหมือนยามเย็น บรรยากาศจึงเย็นยะเยือกตลอดเวลา พรานตกลงกันว่าจะหาที่พักเอาแถวๆ นี้ เพราะหากเย็นไปกว่านี้ถ้ายังไม่ได้ที่พักเกรงจะไม่ปลอดภัย จึงพากันเดินลึกเข้าไปเพื่อหาทำเลที่เหมาะสม กระทั่งทางเริ่มชันขึ้น มองลัดเลาะผ่านต้นไม้ไปข้างหน้า เห็นภูเขาเล็กๆลูกหนึ่ง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเป็นดอยโทน แปลกอยู่ตรงที่ต้นไม้ใบไม้มีสีเขียวเข้มคล้ำมากกว่าบริเวณรอบๆ หัวหน้าพรานพยักหน้าให้เป็นที่รู้กันว่าจะไปพักที่ดอยโทนลูกข้างหน้านั้น หนทางสูงชันจนต้องใช้มือจับต้นไม้แล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไปเป็นระยะๆ เดินยาก ไปยาก จนกระทั่งลุเข้าเขตดอยประหลาด รู้ได้จากต้นไม้กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป เมื่อมาถึงที่หมาย หัวหน้าพรานไม่ลืมที่จะจุดธูปขอขมาบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า พวกเราชาวบ้านมาเพื่อล่าสัตว์ ขออยู่พักอาศัยเพียงชั่วคืน ขออันตรายใดๆ อันเกิดจากสัตว์หรืออาถรรพ์ อย่าได้เกิดมีกับพวกข้าพเจ้าเลย ว่าแล้วก็ปักธูปลงดิน พร้อมวางเครื่องสังเวยอันมีดอกไม้ป่าที่พอหาได้แถวๆ นั้น เมื่อเลือกต้นไม้ที่จะสร้างนั่งร้านอยู่ข้างบนได้ จึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ บ้างก็ไปฟันไม้ทำนั่งร้าน บ้างก็จัดแจงหาฟืน พวกหาฟืนเดินอ้อมดอยไปอีกทาง เก็บไม้แห้งรายทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปพบเข้ากับอะไรบางอย่าง […]

ที่อยู่ไม่ถูกต้อง ส่งของหมู่บ้านย่านรามอินทรา

วันนั้นเป็นวันเสาร์กลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และเป็นวันเกิดครบ 56 ปีของป้าแหม่ม เพื่อนรักของแม่ด้วย ทุกๆ ปีแม่จะเอาของขวัญวันเกิดไปให้ป้าแหม่มถึงบ้าน แต่คราวนี้แม่ไม่สบาย เป็นไข้หวัดใหญ่ ผมก็เลยรับอาสาจะขับรถไปกับแฟน เอาเค้กผลไม้ไปให้ป้าแหม่มเอง ปัญหามีอยู่ว่าผมไม่รู้จักบ้านป้าแหม่ม เพราะไม่เคยไปสักครั้ง แถมแม่จดที่อยู่ให้ผิดอีกต่างหาก! ป้าแหม่มอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวรามอินทรา แค่ทางเข้าหมู่บ้านก็วกวนแล้วละครับ เราไม่รู้ว่าจะเลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้ายดี เลยลองเสี่ยงเลียบไปทางขวา และมองหาเลขที่บ้านไปเรื่อยๆ กลางหมู่บ้านเป็นบึงใหญ่ ปลูกบัวไว้สะพรั่งเชียว รอบๆ บึงเป็นบ้านผู้คนซึ่งแยกออกเป็นซอยๆ แม่เขียนไว้ว่า ป้าแหม่มอยู่บ้านเลขที่ 301 ซอย 12 นั่นไง! ปุ้ย – แฟนผมชี้ให้ดูซอย 12 ผมก็เลี้ยวเข้าไปเลย ยังบอกกับปุ้ยว่าง่ายจัง ทีแรกกลัวว่าจะหาไม่พบ เพราะดูๆ แล้ว หมู่บ้านนี้มีโครงสร้างแผนผังไม่ต่างจากรังผึ้ง ที่สำคัญมันเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างมาเกือบ 30 ปีได้แล้วมั้ง? ผมทราบจากแม่น่ะครับ แม่เล่าว่า ตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ น่ะ สวย สงบ ร่มครึ้ม แต่ตอนนี้มันเงียบเหงา รกเรื้อ และดูวังเวงพิกล ปุ้ยออกความเห็นว่าเจ้าของบ้านออกไปทำงานกันหมด ลูกๆ ก็ไปโรงเรียน […]

เช็งเม้งขนหัวลุก เรื่องเล่าประสบการณ์หลอน

เมื่อประมาณปี พ.ศ.2522 ตอนนั้นเพิ่งปิดเทอมใหญ่ รอขึ้นชั้นมัธยมหนึ่ง ผมรู้สึกตัวเองโตมาก เมื่อถึงเทศกาลเช็งเม้งผมจึงไม่อยากไปร่วมด้วย ผมมองว่าเป็นเรื่องโบราณ ร้อนก็ร้อน อะไรๆ ที่ผู้ใหญ่ทำในตอนนั้น เด็กอย่างผมจะมองว่าล้าสมัย น่าเบื่อไปเสียหมด ผมมักต่อต้านแอนตี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ว่าพ่อผมดุมาก เจอบทลงโทษของพ่อ อาจจะถูกตัดเงินประจำสัปดาห์ไปเป็นเดือนๆ เหมือนพี่ชายคนโตของผมที่แอบไปดูดกัญชาแล้วพ่อทราบ เจอบทลงโทษหนึ่งเดือนเต็ม ต้องกินแต่ข้าวบ้านทุกมื้อ กินแต่ข้าวของที่มีแต่ในบ้าน ห้ามแม่หรือใครแอบให้เงิน หากรู้เจอเพิ่มอีกสิบเท่า พ่อทำจริงมาแล้ว ทุกคนจึงเกรงกลัวพ่อมาก ผมไปเช็งเม้งปีนั้นอย่างต่อต้าน ขึ้นรถก็โอ้เอ้ นั่งในรถก็ฟังซาวด์อเบาต์ที่ยุคนั้นกำลังฮิต พอเบื่อก็เอาเกมกดขึ้นมาเล่น เมื่อไปถึงสุสาน มักจะมีพวกโต๊ะข้าวต้มจับเกี้ยมที่พ่อมักเลี้ยงจัดคนมาด้วย เพราะคนที่มาไม่เพียงมีแต่ญาติ แต่พ่อจัดรถบัสขนาดใหญ่ไปอีกสี่คัน จึงมีทั้งเพื่อน ญาติ และใครก็ไม่รู้มาด้วย ทุกสุสานที่ไปจะมีการโยนเงินแจกทานอีก อาหารก็มีกิน ขนม แถมของชำร่วยที่แจกทุกสุสานอีก เทศกาลเช็งเม้งวันเดียวพ่อจะไปทุกสุสาน ทั้งอากงอาม่า อาแปะที่ตายไปแล้วและญาติคนอื่นๆ บางปีตอนเด็กไปกันถึงสิบแห่งก็มี ไปกันจนเหนื่อยเลย เหนื่อยขึ้นลงรถนี่แหละ ผมมักประชดให้แม่ได้ยิน เช็งเม้งที่ชลบุรี เมืองที่มีฮวงซุ้ยเยอะมาก ปีนั้นไปถึงที่แรก ผมขี้เกียจจำหรอกว่าหลุมของญาติคนไหน พอลงผมก็เดินหลบไปนั่งในโถงศาลาซึ่งก็แปลกดี อากาศร้อนมากแต่โถงศาลาพวกนี้จะเย็นสบายอย่างที่สุด พอเห็นคนเดินเสิร์ฟน้ำเย็นก็กวักมือเรียกให้นำมาเสิร์ฟ แม่เห็นเข้าก็เดินมาว่าผม ไปกวักมือเรียกพี่เขาแบบนี้ได้ไง […]

เรื่องห้ามเล่า ประสบการณ์หลอนรีสอร์ตนิรนาม

เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้วระหว่างไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมและเพื่อนอีก 3 คน มีชื่อว่า ไผ่ อีก 2 คนเป็นพี่น้องฝาแฝดกันชื่อว่า เขต กับ แดน พวกเราทั้งหมดได้ไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดด้วยกัน แต่ก่อนที่พวกเราจะออกไปเที่ยวนั้น ก็ได้ทำการนัดกันไปไหว้พระขอพรที่วัดประจำหมู่บ้าน ก็มีเพียงแค่ผม เขตและแดนเท่านั้นที่ไปไหว้พระ สวนไผ่นั้นไม่ได้ไปเนื่องจากตื่นสายก็เลยยุ่งอยู่กับการเตรียมตัว หลังจากที่พวกเราทุกคนได้ออกไปเที่ยวกันทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว แต่พวกผมไม่ได้จองที่พักกันเอาไว้ จึงต้องขับรถไปหากันเอาเอง ระหว่างทางก็ตกลงกันว่าจะซื้ออาหารและเครื่องดื่มเข้าไปในที่พักด้วยเลย เพราะเวลาตอนนั้นก็ดึกแล้ว และอีกอย่างทุกคนก็เหนื่อยจากการเดินทาง เราขับรถมุ่งหน้าไปได้สักพักก็เจอกับที่พักแห่งหนึ่ง เป็นรีสอร์ทซึ่งอ่านจากป้ายดู ทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกและค่าเช่าก็ดูจะเหมาะสมกัน ทุกคนจึงตกลงเลือกรีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่พักในที่สุด พวกเราเปิดห้อง 2 ห้องแยกกันพักเป็นคู่ พอเจ้าของรีสอร์ทพาทุกคนไปเดินดูที่พัก ทุกคนก็รู้สึกพอใจเพราะห้องของรีสอร์ทนั้นเพิ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง หลังจากทุกคนจัดการเรื่องค่าเช่าแล้วก็จัดแจงเรื่องของกินกันแล้วก็แยกย้ายกันไป ในตอนนั้นผมก็รู้สึกแปลกๆ กับบรรยากาศบริเวณนั้นยังไงก็ไม่รู้ มันเงียบมาก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีดร้อง หรือเสียงแมลง เรียกได้ว่าเงียบจริงๆ หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าห้อง ผมไปนอนกับไผ่ ส่วนฝาแฝดก็นอนกันอีกห้องหนึ่ง หลังจากผมเข้าห้องไปแล้วก็ได้นั่งคุยกับไผ่ ผลัดกันอาบน้ำแล้วออกมานั่งกินข้าว และหลังจากนั้นก็เตรียมดับไฟเข้านอน ก่อนที่จะนอนผมก็ได้ไหว้พระสวดมนต์ แต่ว่าไผ่เมื่อล้มตัวลงได้ก็นอนไปเลย ผมจึงหันไปบอกกับไผ่ว่า “เมื่อเช้าก็ไม่ได้ไปไหว้พระ ก่อนนอนมานอนต่างที่ต่างถิ่นก็ไม่คิดจะไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางก่อนเลยเหรอ” เมื่อไผ่ได้ยินคำพูดของผม จากที่นอนหงายจึงเปลี่ยนมานอนตะแคงหันหลังให้ผม แล้วก็พูดออกมาว่า […]

แค้นของมโนราห์ เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

แตร๊ด แตรด แตร่ แตร่ แตร่ แตร่ ว่า อ้อ ออ ออ อ้อ ออ ออ เสียงดนตรีกับเสียงร้องมโนราห์แว่วมายามดึก เลยให้นึก ถึงความเก่า แต่หนหลัง อันตัวเรา จะบอกกล่าว เล่าให้ฟัง เมื่อแต่ครั้ง เวลา กาลก่อนมา สมัยที่เรายังเด็ก ๆ เกิดคดีสะเทือนขวัญเกิดขึ้นในหมู่บ้าน นั่นคือที่หมู่บ้าน มีการจ้างคณะโนราห์คณะหนึ่งมาทำการแสดง ข้ามเขามาจากฝั่งพัทลุง เป็นคณะแสดงเล็ก ๆ คืนนั้นเราก็ได้ไปดูด้วย เพราะเราเป็นคนชอบดูมโนราห์ แต่รำไม่เป็น และหนึ่งในโนราห์ที่มารำ หน้าตาดี เราก็ดูจนจบก็กลับบ้านนอน ตื่นเช้ามา มีตำรวจมาที่หมู่บ้าน พ่อเราก็ไปฟังข่าว ก็กลับมาเล่าสู่แม่ฟัง เราเลยรู้ว่า มีผู้หญิงถูกฆ่ๅตๅย ด้วยการจับผูกคอกับต้นไม้ และคนที่ตๅยคือหญิงสาวหน้าตาดี ที่เป็นมโนราห์ที่มารำเมื่อคืนนี้เอง ถูกฆ่ๅที่ในป่าข้างหมู่บ้าน ตำรวจไปตรวจสอบแล้ว น่าจะเป็นการฆๅตรกรรมอำพราง เพราะการตรวจสอบ พบว่ามีร่องรอยการต่อสู้ในจุดไม่ไกลที่พบศพ แล้วกางเกงในก็ถูกถลก ตกอยู่ในพุ่มไม้ ตามเนื้อตัวศพก็พบรอยเหมือนถูกดูดเป็นจ้ำ ๆ ที่เต้านม บริเวณของลับก็มีคราบเลือดเกรอะ น่าจะถูกข่มขืuแล้วฆ่ๅ […]

กระทงเซ่นผีตรงทางสามแพร่ง เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องนี้เกิดขึ้นมานานแล้ว ตั้งแต่สมัยเราเรียนอยู่ชั้นมัธยม มันเป็นช่วงเวลาปิดเทอม พวกเราตกลงกันว่าจะไปเที่ยวบ้านเพื่อนคนหนึ่งในกลุ่ม ที่อำเภอลาดบัวหลวง จังหวัดพระนครศรีอยุธยา พวกเราเดินทางกันไปเป็นกลุ่มใหญ่ ทั้งหมด 12 คน เมื่อสะพายเป้เดินทางไปถึง ก็มีพ่อแม่ญาติพี่น้อง ตลอดจนชาวบ้านแถวนั้น ยืนยิ้มร่า พวกเขามาต้อนรับพวกเรามากพอสมควร พวกเราซาบซึ้งจนน้ำตาคลอเมื่อต่างสัมผัสได้ถึงความรู้สึกชนิดหนึ่งที่เรียกว่า ความจริงใจ ไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติ เรายกมือไหว้ทักทายทุกคนราวกับรู้จักมักคุ้นกับมาแต่ปางบรรพ์ จากนั้นพวกเราก็นั่งล้อมวงบนเสื่อกินข้าว มีอาหารไม่กี่อย่าง พื้นๆ แต่รสชาติโคตรอร่อยเหาะ กินกันไปพูดคุยสัพเพเหระ ถามตอบกันครึกครื้น ทำให้พวกเราได้รู้ว่าคนต่างจังหวัดนั้นใสซื่อและเข้ากับคนต่างถิ่นอย่างพวกเราได้เป็นอย่างดี เมื่อกินอิ่ม พวกเรารีบเปลี่ยนเสื้อผ้า สวมผ้าขาวม้าคาดพุง มือถือเคียวและสวมงอบบังแสงแดด ออกไปร่วมกับชาวบ้านเกี่ยวข้าวกันอย่างไม่กลัวความร้อนและความลำบาก ทุกคนก้มๆ เงยๆ อยู่ในแปลงข้าว ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะดังไปทั่วคุ้ง นานๆ จะเงยหน้าขึ้นสูดอากาศสะอาดๆ เข้าปอด เบื้องหน้าล้อมรอบไปด้วยทุ่งข้าวออกรวง สีทองเหลืองอร่ามพริ้วไสวไปมาด้วยสายลม เพลินจนบ่ายสามโมง ทุกคนเริ่มมีอาการคันยุกยิกจากการเกี่ยวข้าว พวกเราจึงได้พัก จากนั้นก็ชวนกันไปเล่นน้ำในคลองเป็นที่เฮฮาสนุกสนาน จนเย็นจึงถูกผู้ใหญ่ต้อนให้ขึ้นจากน้ำ เพราะทุกคนเล่นน้ำเล่นโคลนกันจนขึ้นหนวดเครา เขียวครึ้มไปทั้งหน้าทั้งตัว จนดำเหมือนน้องควายนั่นเอง เมื่อกลับถึงบ้านก็แย่งกันอาบน้ำโอ่ง ผลัดเปลี่ยนผ้าผ่อน ประแป้งหน้าขาววอก กินข้าวและเตรียมไปเที่ยวงานวัด พวกเราจะได้ดูหนังกลางแปลงที่ไม่ได้ดูมานานแล้ว เมื่อได้เวลาใกล้งานเริ่ม พวกเราช่วยกันแบกเสื่อสาดเดินตามกันไปวัด […]

คนกลัวศพ เรื่องเล่าเขย่าขวัญศพสึนามิ

เป็นเหตุการณ์ที่คุณโอไปประสบพบเจอมา แล้วนำมาเล่าให้คุณหมีฟังอีกทอดหนึ่ง มีใจความว่า เรื่องมันก็ผ่านมานานพอสมควรแล้วล่ะ ผมทำงานเกี่ยวกับสายข่าวอาชญากรรม ช่วงนั้นผมจำได้ดี เพราะมันเป็นช่วงที่ประเทศของเราเพิ่งจะประสบกับเหตุการณ์สึนามิ กว่าผมจะเคลียร์เรื่องเอกสารเสร็จและเตรียมลงพื้นที่ก็ปาเข้าไปกลางเดือนมกราคม ผมมีแพลนว่าต้องลงพื้นที่หกจังหวัดด้วยกัน เพื่อจะต้องเขียนสกู๊ปลงในคอลัมน์ ปกติแล้วผมทำข่าวเกี่ยวกับอาชญากรรม พบเจอกับเหตุการณ์น่าสยดสยองมาก็เยอะพอสมควร แต่เมื่อผมลงไปถึงพื้นที่ ๆ เกิดเหตุ ตัวผมเองถึงกับต้องเบือนหน้าหนีภาพที่อยู่ตรงหน้า ขอโทษนะครับ ศwเนี่ยเกลื่อนกลาดไปทั่วพื้นที่ ไม่ว่าจะมองไปยังจุดไหนมุมไหนเดินไปทางไหน ทุกที่จะต้องมีศwอยู่อย่างน้อย ๆ เลยหนึ่งถึงสองศw ภาพที่ผมเห็นทำให้ผมรู้สึกจิตตกและหดหู่ใจเป็นอย่างมาก ตัวผมเองทำงานคู่กับคนดังอยู่คนนึงที่ทำหน้าที่ชันสูตรพลิกศw ผมมองว่าถึงผมจะประจำการอยู่ที่นี่ ก็คงช่วยอะไรใครไม่ได้มากนัก เพราะเป้าหมายหลักที่ผมต้องเขียนลงสกู๊ปนั้นมีอยู่แค่ว่า สึนามิมันเข้ามาตอนไหน และทำไมผู้คนถึงไม่ทันรู้ตัว ผมเลยต้องเดินทางไปยังอีกจังหวัดนึง และขออนุญาตไม่เอ่ยถึงชื่อจังหวัด เพราะเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่ใหญ่ที่สุดแห่งหนึ่งของประเทศไทย จังหวัดนี้มีหมู่เกาะเล็ก ๆ อยู่หลายเกาะด้วยกัน ผมเลยต้องเดินทางไปยังเกาะนั้นทีนี้ที บางครั้งในตอนที่ผมนั่งเรือเดินทางข้ามเกาะ ผมยังเห็นศwลอยอยู่เป็นจุด ๆ ที่ร้ายกว่านั้นคือบางศwกลับลอยตามเรือที่ผมกำลังนั่งโดยสารอยู่ ผมมองด้วยใจอันหวั่น ๆ แล้วหันไปมองหน้าคนบังคับเรือ แต่เหมือนว่าเค้าจะไม่ได้ให้ความสนใจเท่าใดนัก ผมเลยต้องนั่งเงียบ ๆ โดยไม่ปริปากพูดอะไร ช่วงเย็นผมได้เข้าไปพักยังบังกะโลแห่งหนึ่งภายในเกาะ เกาะแห่งนี้ก็ไม่พ้นโดนสึนามิเช่นกัน เพราะงั้นโรงแรมดี ๆ ที่มีสภาพปกติจึงเหลือน้อยมาก ผมจึงได้ถามกับทีมงานของผมที่ประจำอยู่ที่นี่หลายวันแล้วว่าพอจะมีที่พักบ้างมั้ย ทีมงานตอบผมว่า มี […]

ตระบัดสัตย์! อาถรรพ์คนตีผึ้ง

“น้ำผึ้งเดือน 5” เป็นของหายากและมีราคาแพง เนื่องจากการที่จะหาน้ำผึ้งเดือน 5 มาได้สักขวดไม่ใช่เรื่องง่าย ๆ ต้องเข้าป่าใหญ่ใช้เวลาเดินทาง 2 วัน 1 คืน กว่าจะถึงต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง พรานผึ้งเรียกกันว่า “ต้นผึ้ง” ซึ่งเป็นต้นไม้ที่มีขนาดใหญ่มาก ลำต้นต้องใช้คนประมาณ 10 คน ถึงจะโอบลำต้นได้รอบ เมื่อ 20 ปีก่อน ณ ป่าใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดพะเยา มีพรานผึ้งพร้อมพวก 5 คน ออกเดินทางในยามเช้า ก่อนเข้าป่าแน่นอนว่าทุกคนต้องทำพิธีขออนุญาตเจ้าป่าเจ้าเขา โดยการจุดธูปแล้วบอกกล่าวจุดประสงค์ ว่าขอเข้าไปหาน้ำผึ้งป่าแต่เพียงอย่างเดียว เพื่อนำมาใช้ในการดำรงชีวิตเท่านั้น จากนั้นทุกคนก็เดินทางเข้าป่าลึก อย่างที่บอกใช้เวลา 2 วัน 1 คืนกว่าจะถึงต้นผึ้ง ระหว่างที่เดินทางเสบียงอาหารอาจจะไม่เพียงพอในขากลับ พรานผึ้งคนหนึ่งจึงยิงสัตว์ป่าไปหลายตัวเพื่อให้มีอาหารที่เพียงพอ ซึ่งพรานผึ้งที่เป็นหัวหน้าก็ไม่เห็นด้วยสักเท่าไหร่ เพราะก่อนเข้ามาได้ขอเจ้าป่าเจ้าเขาว่าแค่มาเอาน้ำผึ้งเท่านั้น แต่ลูกน้องดันมายิงสัตว์ป่าแบบนี้โบราณถือว่าเป็นการ “ตระบัดสัตย์” อาจจะโดนอาถรรพ์เล่นงานได้ คนเป็นหัวหน้าก็ไม่อยากจะพูดอะไรมาก เกรงว่าจะเกิดการทะเลาะและหมางใจกัน ก็เลยเงียบ ๆ ไว้ คิดว่าเดี๋ยวค่อยขอขมาทีหลังก็แล้วกัน ทั้งหมดพากันเดินมาจนถึงต้นผึ้งก็เป็นเวลาย่ำค่ำ ต่างคนต่างเร่งจัดแจงสิ่งของที่ต้องใช้ แบ่งหน้าที่กัน […]