ไซต์งานกลางป่า เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องราวทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คุณตูน ได้นัดเพื่อนสองคนมานั่งดูฟุตบอลกัน เพื่อนสองคนของคุณตูนชื่อ คุณนอ และ คุณเอก ทั้งสามได้นั่งรอดูฟุตบอลกันจนถึงเวลาประมาณตีหนึ่ง แล้วคุณเอกก็เอ่ยขึ้นมาว่าหิว เดี๋ยวหาอะไรกินกันก่อนและคุณเอกก็อาสาไปซื้อของเองเพราะมีความอาวุโสน้อยสุดโดยยืมรถของคุณนอไปซื้อ ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์ PCX ซึ่งจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จนผ่านไปประมาณสี่สิบนาที คุณเอกก็ยังไม่มา จนฟุตบอลหมดครึ่งแรกไปแล้วก็ยังไม่มา คุณนอจึงโทรหาคุณเอก คุณเอกก็บอกว่าทำธุระอยู่ ก็นั่งรอกันจนฟุตบอลจบ ประมาณตีสี่เกือบตีห้าก็ยังไม่กลับมา คุณตูนและคุณนอเป็นห่วงมาก ก็เลยเดินลงไปข้างล่าง ไปเจอยามประจำหอพัก ยามบอกว่าเห็นคุณเอกเอาเสื้อของวินมอเตอร์ไซค์ที่เค้าเอาเก็บไว้หน้ารถไปใส่ แล้วขี่รถออกไป คุณตูนและคุณนอก็คิดว่าคุณเอกเล่นพิเรนทร์อะไร ทั้งสองจึงนั่งรออยู่หน้าหอพักอีกประมาณยี่สิบนาที คุณนอเลยโทรหาคุณเอกอีกที โทรติดแต่ไม่มีคนรับ แล้วรถ PCX ของคุณนอจะมี GPS บอกตำแหน่งอยู่ด้วย คุณนอจึงลองเปิด GPS แล้วลองค้นหาตำแหน่งของคุณเอก ปรากฏว่ารถไปอยู่ตรงถนนเส้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไกล คุณตูนและคุณนอตกใจมากกลัวว่าคุณเอกจะโดนปล้น คุณตูนก็เลยขับรถตาม GPS ไป พอขับออกไปได้สักพัก ก็ไปเจอตำรวจสายตรวจสองคนขี่รถจักรยานยนต์อยู่ จึงได้เข้าไปขอความช่วยเหลือ แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง แล้วคุณตูนก็ขอให้ตำรวจร่วมเดินทางไปด้วย พอถึงตำแหน่งตามที่ GPS ระบุ ซึ่งสองข้างทางจะเป็นป่า ถนนจะถมสูงขึ้นมาจากสองข้างทางเล็กน้อย ทุกคนจึงลงไปหาคุณเอกในป่า ตรงนั้นมืดมาก ไม่มีบ้านคน ไม่มีไฟเลย ต้องใช้ไฟจากมือถือส่องทางเอา […]

คนเล่นของ คุณไสยจองเวร! เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ส่งมาจากคุณเลิฟครับ คุณเลิฟเล่าว่า.. สมัยที่ผมยังเด็ก จำได้ว่าราวๆ ม.1 มั้งครับ ครอบครัวผมมีกันอยู่ 4 คน มีผม แม่ พี่สาว และน้องสาว แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยายผมเสีย แต่ยายได้ทำพินัยกรรมไว้ โดยยกที่ดินให้แม่ผมแปลงหนึ่ง ส่วนสมบัติอื่นๆ ก็แบ่งๆ ให้ป้า ให้น้าไป.. เรื่องมันเกิดตอนที่แม่ผมขายที่ดินแปลงนั้นได้ครับ แม่ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง แล้วป้าผมแกมาขอครึ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ป้าแกไม่มีส่วนในที่ดินนี้เลย แต่แม่ผมก็แบ่งให้นะ แต่ก็ไม่ถึงครึ่งตามที่ป้าขอ ทำให้ป้าแกไม่พอใจ ถึงกับขู่อาฆาตไว้ว่า ‘ครอบครัวมึงจะต้องอยู่ไม่เป็นสุข คอยดูแล้วกัน!’ แล้วป้าแกก็ หายหน้าหายตาไปเลย.. จนเวลาผ่านไปหลายเดือน ทุกคนรวมถึงผมต่างลืมเรื่องที่ป้าขู่อาฆาตไปเสียสนิท และแล้ว เหตุการณ์แปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นกับครอบครัวผม.. คืนหนึ่ง ที่พวกเรานอนหลับกันอยู่ ซึ่งตอนเด็กพวกเรา 3 พี่น้อง จะมานอนรวมกันในห้องแม่ เพราะเป็นห้องใหญ่ มีเตียงใหญ่ ขณะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ได้ยินเสียงคนบิดลูกบิดประตูห้อง ‘แก๊กๆ’ เหมือนพยายามจะเปิดเข้ามาแต่ติดล็อค ผมเงี่ยหูฟังอยู่พักหนึ่ง แต่เสียงนั้นก็ยังดังต่อเนื่อง ผมเอื้อมมือไปจับแขนพี่สาวเพื่อจะปลุก แต่พี่สาวผมรู้สึกตัวก่อนแล้ว […]

ซอครวญ นิยายสยองขวัญ โดย ธีร์ วรรณกร [ตอนที่ 3]

ซอครวญ ตอนที่ 2 “แล้วสรุปนี่ครูจะกลับไปนอนที่บ้านพักหรือครับ หรือว่าอย่างไร?” “ไม่หรอกครับยังไงซะ คืนนี้มันก็ยังเป็นเวรตรวจโรงเรียนของผมอยู่ คือผมว่าจะขนเอาพวกผ้าห่มพวกหมอนไปนอนกับลุงที่ป้อมนั่นแหละ เห็นมีแคร่ไม้ไผ่เล็กๆอยู่ติดกันตั้งสองตัวไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าเวลานอนก็พอจะเบียดกันได้” “โห.เอางั้นเลยเหรอครับครู? พับผ่าสิซื่อดีแท้ครูใหม่นี่ เอ้า!!ถ้าจะนอนที่ป้อมกับผมก็ไม่เป็นการขัดข้องครับเชิญตามสบาย แต่ตอนนี้ผมว่าครูรีบเก็บข้าวเก็บของปิดไฟแล้วล็อคห้องหมวดไว้ให้ดีก่อนเถอะครับ ไอ้เรื่องนอนที่ป้อมน่ะไม่มีปัญหาเลยสักนิดเดียว” วีระรีบรับคำแล้วเร่งจัดแจงทำตามประสงค์ในทันที โดยไม่รีรอช้า ชั่วอึดใจเขาก็ย้ายที่นอนมาอยู่ที่ป้อมยามกับคนยามผู้อาวุโสได้ดั่งใจโดยไม่มีอะไรมารบกวนอีกเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนลุงยามนั้นก็ทำหน้าที่ของแกไปอย่างเช่นเคยโดยปล่อยให้ครูวีระนอนหลับพักผ่อนอย่างตามสบายเข้านิทราไปแบบไม่ต้องกังวลอันใดจนตลอดคืน.. ในช่วงเวลาของวันหยุดอันเป็นวันเสาร์-อาทิตย์นั้น วีระเขาก็ยังได้มาปฏิบัติหน้าที่ที่โรงเรียนดังเดิมไม่ได้หยุดหย่อน เหตุเพราะเขาได้มีนัดหมายให้นักเรียนชมรมวงโปงลางนั้นมาทำการฝึกซ้อมกันทุกวันเสาร์และอาทิตย์รวมถึงช่วงเย็นนับตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไป เพื่อที่จะนำขึ้นแสดงในงานสำคัญของโรงเรียนอันเป็นงานใหญ่พอสมควรในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ดังนั้นผู้ควบคุมดูแลวงก็จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากเขา ถ้าไม่นับรวมครูนาฏศิลป์อีกสามท่านที่มาช่วยดูและปรับท่ารำให้นางรำเพื่อให้เข้ากับนักดนตรีซึ่งก็จะไม่ค่อยได้มาที่ห้องดนตรีบ่อยเท่ากับเขามากนักในฐานะครูผู้ควบคุม ครั้นเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงนั้นเอง ในขณะที่นักเรียนทุกคนออกจากห้องไปรับประทานอาหารในสถานที่รับรองกันหมด ห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงความเงียบงันเข้ามาปกคลุมแทน  ครูวีระซึ่งไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกห้องเช่นครูคนอื่นๆนั้น  ด้วยความเหนื่อยล้าสมองต้องการผ่อนคลายจิตใจบ้างเขาจึงเดินไปหยิบพิณโปร่งตัวหนึ่งขึ้นมาจากแท่นวางข้างๆโต๊ะที่ทำงาน แล้วนำมานั่งบรรเลงบนเก้าอี้ด้วยความสบายอารมณ์ ภายในท่วงทำนองสำเนียงอีสานที่ระรื่นหูไม่มีขัดโน้ต จากการสลับไล่เรียงนิ้วในช่องคอร์ดที่ชำนิชำนาญ แต่ในขณะที่เขากำลังบรรเลงเล่นลายเพลงไปเพลินๆอยู่นั้น สายตาของเขาที่กวาดมองไปมาโดยไร้จุดหมายนั้นก็พลันมาสะดุดเพ่งเล็งอยู่กับสิ่งๆหนึ่งบนโต๊ะทำงานของตนเอง โดยโต๊ะตัวนี้นั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบโต๊ะทำงานของพนักงานหรือของพวกเจ้านายทั่วๆไป แต่มีกระจกบานใหญ่วางซ้อนทับอีกชั้นหนึ่งไว้ด้วย และใต้กระจกบานนั้นเขามองเห็นปลายๆมุมของกระดาษหรือคาดว่าน่าจะเป็นแผ่นภาพถ่ายอะไรสักอย่างซึ่งถูกบดบังไว้ด้วยกองสมุดงานนักเรียนอีกทีหนึ่งอยู่ตรงนั้น  คงด้วยความไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนเลย เขาจึงนึกฉงนใจขึ้นในบัดนั้นนั่นเอง หยุดการเล่นพิณพร้อมกับนำไปวางไว้ที่เดิม แล้วจัดการย้ายกองสมุดนักเรียนเหล่านั้นมาไว้อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านตรงข้าม และเมื่อเขาได้พบว่ากระดาษที่เห็นแค่มุมน้อยๆเมื่อครู่แผ่นนั้นมันคือภาพถ่ายของใครคนหนึ่ง ครูหนุ่มก็ยิ่งเริ่มมีความสนใจกับมันมากขึ้น เขาจ้องมองมันอย่างพิจารณาก็พบว่า ในภาพถ่ายใบนั้นปรากฏเป็นภาพของชายผู้หนึ่งใส่ชุดนักดนตรีวงพื้นบ้านซึ่งน่าจะเป็นวงโปงลาง เป็นชุดไหมสีเหลืองทองงามตา มีสร้อยดอกรักคล้องไว้ที่คอ นุ่งผ้าโสร่งที่หลากสีสันดูสะอาดสะอ้าน ที่เอวก็ผูกมัดไว้ด้วยผ้าข้าวม้าอย่างเรียบร้อย ชายในภาพถ่ายนั้นอยู่ในกิริยาอาการนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่ง ซึ่งมือทั้งสองของเขากำลังแสดงการบรรเลงซออีสานคันหนึ่งอย่างองอาจในมาดศิลปินและพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ชายผู้นี้ตัดผมรองทรง สีผิวน้ำตาลแดงใบหน้าคมสันแลดูเข้มและบวกกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูมีเสน่ห์อย่างไรพิลึกเมื่อได้คู่กับหน้าที่ที่เขาได้ทำ แก้มทั้งสองข้างถูกปาดเอาไว้ด้วยแป้งสีขาวอันเป็นรอยนิ้วมือปาดเป็นขีดไว้พองาม […]

ทำเป็นตัวอย่าง ประสบการณ์ขนหัวลุก

เรื่องนี้เป็นเรื่องตั้งแต่ฉันเรียนอยู่มหาลัยค่ะ เกิดขึ้นมาสัก 6-7 ปีที่แล้ว ที่ฉันได้ไปขึ้นไปเรียนที่มหาลัยแห่งหนึ่งในภาคเหนือ ส่วนใหญ่แล้วมหาลัยแห่งนี้จะให้นักเรียนปีหนึ่งนั้นอยู่ในห้องพักภายในมหาลัยค่ะ เพื่อความสะดวกสบายและการปรับตัวเข้ากิจกรรมของทางมหาลัย ตัวหอพักนี้ก็แบ่งเป็นสองพื้นที่นะคะ มีหอพักหญิงและหอพักชายด้วยความที่มหาลัยของฉันนั้นอยู่ที่ตีนเขา เอาเป็นว่าติดธรรมชาติสุดๆ เลยก็ว่าได้ เรื่องมันมีอยู่ว่า ฉันกับเพื่อนอีก 4 คน ได้ไปเที่ยวถนนคนเดินในตัวเมือง เเล้วก็ต่อไปที่ร้านบรรเทิงกันจนเลยเวลาเข้าห้องพักที่มหาลัย จำได้ว่าตอนนั้นเราขับรถกันมากว่าจะถึงหน้ามหาลัยก็เป็นเวลา 5 ทุ่มเเล้ว ฉันกับเพื่อนๆ ก็ดื่มกันมาเล็กน้อย เราเลยขับรถไปส่งเพื่อนผู้ชายที่หอพักชายใน เพราะเราสามคนที่เป็นผู้หญิงได้ไปเช่าห้องพักด้านนอกไว้แล้ว แต่เพื่อนเราที่เป็นผู้ชายไม่อยากเสียเงินเพราะต้องเปิดอีกห้อง เพื่อนเราก็ขับรถเข้ามหาลัยตรงไปโซนหอพักชาย ด้วยความที่หอพักทุกตึกมีพี่ยามนั่งเฝ้าด้านล่างทางเข้า กับการที่ต้องเซ็นซื้อเข้าออกหอ เราก็แบบนักศึกษาปี 1 ยังไม่อยากจะโดนหักคะแนนความประพฤติ ก็เลยคิดว่าจะปีนหอพักกัน ไอ่เราก็ผู้หญิงที่เป็นห่วงเพื่อนผู้ชายก็เลยลงไปกับเพื่อนผู้หญิงอีกคน เป็นว่าตอนนี้เราลงจากรถไปสามคน เป็นผู้หญิงสองและผู้ชายหนึ่ง เพื่อนผู้ชายที่จะปืนหอก็ลัดเลาะหาที่เหมาะๆ ที่จะปีน เพราะด้านหลังของหอพักคือเป็นป่าเป็นเขา ค่อนข้างลับตาคนพอสมควร เราเลยคิดว่าจุดนี้เหมาะที่จะให้เพื่อนทำบาป พอดีห้องเพื่อนอยู่ชั้นสาม เลยกำลังคิดอยู่ว่าจะปีนยังไงเพราะนี้มันเป็นครั้งแรกค่ะ พอดีชั้นแรกด้านล่างเป็นลูกกรงกันขโมยคิดว่าเพื่อนน่าจะปีนได้ เพื่อนผู้ชายเลยเริ่มปีนกรงเหล็ก อยู่ๆ เราก็ได้ยินเสียงคนเดินอ้อมมา ตอนแรกเราตกใจกันมากค่ะเลยหันไปดู เเต่สรุปคือเป็นผู้ชายดูท่าจะเป็นรุ่นพี่ เขาก็ทำหน้าทำหน้านิ่งๆ มองมาทางเรา แบบเหมือนว่ามาทำอะไรตรงนี้ แล้วเขาก็พูดขึ้นมาว่า “จะปีนหอเหรอ” เราสามคนก็มองหน้ากันเเล้วพยักหน้าค่ะ พี่เขาก็ยิ้มๆ […]

เขาใช้กูมา อาถรรพ์คุณไสยที่สุรินทร์

เรื่องเล่าจากอีเมลที่ส่งมาทางรายการ The Shock จากน้องคนหนึ่งที่ไม่ได้ระบุชื่อมา สมมติว่าชื่อ เอ นะครับ เรื่องนี้เกิดขึ้นที่กรุงเทพ เดิมทีเอนั้นเป็นคนจังหวัดสุรินทร์ เรียนหนังสืออยู่ที่สุรินทร์ แต่ในช่วงปิดเทอมเอก็เข้ามากรุงเทพ เพื่อมาทำงานหารายได้พิเศษที่โรงงานที่น้าสาวทำงานอยู่ พอใกล้จะเปิดเทอมเอก็กลับบ้านที่สุรินทร์เพื่อเตรียมตัวสำหรับการเปิดภาคเรียนตามปกติ เอกลับมาบ้านได้ไม่ถึงวัน แฟนน้าที่อยู่ที่กรุงเทพก็โทรกลับมาหายายที่สุรินทร์ ว่าน้าสาวเป็นอะไรไม่รู้ อยู่ดีๆ ก็มีอาการแปลกๆ คือเดี๋ยวก็ร้องไห้ เดี๋ยวก็หัวเราะ พอยายรู้แบบนั้นก็ออกไปจุดธูปที่หน้าบ้าน แล้วก็โทรกลับไปหาแฟนน้าคนนี้ แล้วบอกว่า “มึงพาตัวมันมาที่สุรินทร์คืนนี้เลย!” แฟนน้าก็ถามว่าเป็นอะไรครับแม่ แต่ว่ายายยังไม่บอก บอกแค่ว่าให้รีบพากลับมาที่สุรินทร์ก่อน แฟนน้าก็พาน้ากลับสุรินทร์ โดยการเดินทางทางรถไฟ แต่ระหว่างทางแฟนน้าเล่าให้ฟังว่า ตัวน้าสาวนั้นบางทีก็นั่งเฉยๆ อยู่ดีๆ ก็หัวเราะ บางทีจะวิ่งออกจากโบกี้รถไฟ แฟนน้าก็ต้องรีบวิ่งไปดึงกลับมา ซักพักก็ร้องไห้ สลับกับหัวเราะ เป็นอยู่แบบนี้ตลอดทางพอไปถึงบ้านที่สุรินทร์ ยายก็บอกกับแฟนน้าว่า “กูเห็นแล้ว โดนของไม่ดีมาแน่ๆ” ที่คุณยายรู้เพราะว่ายายเป็นร่างทรงประจำหมูบ้าน และยายก็บอกอีกว่า ลำพังยายคนเดียวเอาไม่อยู่แน่ๆ เลยให้ที่บ้านไปนิมนต์หลวงพ่อมา เช้าวันนั้นพอเอตื่นขึ้นมา ก็เห็นสายสิญจน์ล้อมเต็มบ้านเลย แล้วยายก็ให้น้าสาวเข้าไปอยู่ตรงกลางสายสิญจน์ พอหลวงพ่อมาถึง หลวงพ่อก็ทำพิธี ตอนแรกน้าสาวก็นอนอยู่ปกติ แต่พอหลวงพ่อเริ่มสวดมนต์ อยู่ดีๆ น้าสาวก็เด้งลุกขึ้นมานั่ง ทำตาขวาง […]

เรื่องเล่าจากทหารพราน เรื่องเล่าสยองขวัญ

ในสมัยก่อนคุณคิงเป็นทหาร ประจำการอยู่ที่ชายแดนจังหวัดตาก มีคุณลุงท่านนึงที่บ้านอยู่แถวๆ นั้น แกเห็นพวกของคุณคิงบ่อยๆ เข้าก็ได้มานั่งคุยด้วย แกบอกว่า แกก็เคยเป็นทหารพรานอยู่ทางภาคอีสาน แล้วแกก็ถามว่า อยู่ในป่าแบบนี้ เคยเจอผีบ้างหรือเปล่า คุณคิงก็ตอบว่า ลุงมาพูดอะไรกลางค่ำกลางคืนแบบนี้ พวกผมเข้าเวรกันอยู่ แกก็พูดขึ้นว่า มีเรื่องเล่าให้ฟัง คุณคิงและคนอื่นๆ ก็ตั้งใจฟังด้วยความสนใจ สมัยที่แกเป็นทหารพราน เมื่อก่อนยังเป็นแค่การรับจ้าง ไม่มีสวัสดิการอะไรมากมาย แล้วแกก็ค่อนข้างจะเป็นคนที่เกเร แกมีเพื่อนอยู่คนนึงที่เป็นบัดดี้ เวลาออกตรวจพื้นที่หรือลาดตระเวนตามแนวตะเข็บชายแดนก็มักจะไปด้วยกัน ซึ่งจริงๆ ก็ไปด้วยกันหลายคน แต่จะสนิทกับเพื่อนคนนี้เป็นพิเศษ เพื่อนคนนี้ชื่อ ลุงเทียน เวลาลาดตะเวนบางทีคุณลุงแกก็นำ บางทีลุงเทียนก็นำ แต่ส่วนมากลุงเทียนจะนำมากกว่า เวลาประจำตามจุดต่างๆ คุณลุงแกก็จะแอบเอาเหล้าเข้าไปให้ หลังๆ มาโดนหัวหน้าที่มียศสูงกว่าจับแยกกัน เพราะว่าทั้งสองคนเมาด้วยกันบ่อยเกินจนเสียงานเสียการ ไม่ยอมมาปฏิบัติหน้าที่ มีอยู่วันหนึ่งหลังจากโดนจับแยกแล้ว คุณลุงกับลุงเทียนก็ต้องเข้าเวรคนละจุด แต่ด้วยความที่คุณลุงอยากเหล้า แกก็นึกถึงลุงเทียน ว่าเวลานี้ลุงเทียนเป็นยังไงบ้าง จะอยากเหล้าเหมือนกันไหม ระหว่างที่แกกำลังคิด หูก็ได้ยินเสียงเหมือนคนวิ่งผ่านไปแถวๆ ข้างหน้า ตรงจุดที่แกเข้าเวรอยู่ แกก็หยุดนิ่งแล้วฟังเสียง สักพักก็ได้ยินเสียงมาจากด้านหน้าอีกครั้ง ตุ๊บ ตุ๊บ ตุ๊บ แกรีบเปิดสปอร์ตไลท์ส่องฝ่าความมืดไปบริเวณหน้าป้อม แกเห็นเป็นเงาคนแว้บๆ […]

เฮี้ยน! วิญญาณหลอนที่บุรีรัมย์

เรื่องนี้เป็นเรื่องของคุณนุ่นเมื่อสิบสองปีที่แล้ว ที่จังหวัดบุรีรัมย์ครับ เรื่องออกจะเศร้าๆ นะ แต่เราว่ามันน่ากลัวดี ก็ขอแสดงความเสียใจกับคุณนุ่นและครอบครัวด้วยนะครับ เรื่องมีอยู่ว่า คุณนุ่นมีป้าสะใภ้เปิดร้านขายยาอยู่ มีคุณลุงประกอบอาชีพส่งมะเขือเทศให้จังหวัดนครราชสีมา ทั้งสองมีลูกสามคน แล้วคุณป้าเป็นคนที่ดุมาก อะไรนิดหน่อยก็จะตวาดใส่ตลอด วันหนึ่งก็มีคนมาบอกกับคุณป้าว่าคุณลุงนอกใจนะ ที่เห็นกลับบ้านไม่เป็นเวลานี่ก็เพราะแอบไปอยู่กับเมียน้อย คุณป้าได้ยินแบบนั้นก็เลยจะลองเช็กดู ก็พาลูกสาวไปคนนึง ขึ้นมอเตอร์ไซค์ไปโทรศัพท์ตู้สาธารณะ แต่พอโทรไปจะดูว่าทางฝั่งลุงนอนอยู่ที่ที่บอกไว้จริงหรือเปล่า ปรากฏว่าโทรไม่ติด คุณป้าก็เลยโมโห ขึ้นมอเตอร์ไซค์จะกลับ แต่ไม่ทันถึงบ้านก็ประสบอุบัติเหตุ โดนรถสิบล้อทับเสียชีวิตไปซะก่อน ลูกสาวเองก็เสียชีวิตเช่นกัน พอญาติๆ ทราบเรื่องก็รีบมาช่วยงานกัน แต่ก็ยังติดต่อคุณลุงไม่ได้ ทำให้คุณลุงยังไม่ทราบเรื่องว่าเมียตายแล้ว งานศพก็จัดขึ้นที่วัดไม่ไกลจากบ้านคุณป้ามากนัก คืนที่สองของงาน แขกมากันเยอะกว่าคืนแรก อุปกรณ์จำพวก หม้อ ถ้วย ชาม ของที่วัดมีไม่พอ ผู้ใหญ่ก็เลยใช้คุณนุ่นให้ไปเอาของจากบ้านผู้ตาย คุณนุ่นก็อิดออดไม่อยากไปเพราะกลัวผี แต่สุดท้ายก็ยอมไปโดยไปกับพี่ชายอีกคนนึง พอไปถึงหน้าบ้านก็เห็นว่ารถของลุงจอดอยู่หน้าบ้าน ทั้งคู่ก็อุ่นใจขึ้นเพราะมีคนอยู่ด้วยแล้ว ลุงเองก็คงจะรู้แล้วว่าเมียตัวเองตาย พอเปิดประตูบ้านเข้าไปปุ๊บ เห็นลุงยืนอยู่ตรงบันไดขั้นที่สาม แล้วเงยหน้าตะโกนคุยกับใครไม่รู้ที่ชั้นสองอยู่ ลุงพูดเสียงดังมาก เหมือนทะเลาะกันอยู่ คุณนุ่นกับพี่ชายยืนอยู่ไม่ห่างคุณลุงมาก ก็งงๆ ว่าแกทะเลาะกับใครอยู่ แต่คิดว่าคงเป็นญาติฝ่ายคุณป้าเข้ามาที่บ้าน จะมองขึ้นไปดูก็ไม่เห็นว่าเป็นใคร เพราะชั้นสองไม่ได้เปิดไฟ ซักพักก็มีกระโถนลอยลงมาจากชั้นสองอย่างแรง เหมือนถูกปาลงมา […]

ไปไม่ถึงภูชี้ฟ้า เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรามีประสบการณ์แปลกๆ มาเล่าให้ฟัง เรื่องเกิดขึ้นเมื่อ 3 ปีที่แล้ว บอกก่อนเลยนะว่าตั้งแต่เด็กๆ หลายคนจะบอกเราเสมอว่าเรามีสัมผัสที่ 6 บ้าง เรามีตาที่ 3 บ้าง ทั้งคนที่รู้จักเราและไม่รู้จักเรา บางทีไปซื้อของกับคนเฒ่าคนแก่ เขาจะพูดขึ้นมาว่า หนูเก็บสิ่งนี้ไว้นะ มันดี เราก็ทำได้แค่ยิ้มแล้วตอบว่า “ค่ะ” เราไม่คิดนะว่าเรามีสัมผัสที่ 6 หรือเห็นผีอะไรทั้งนั้น เรามองมันเป็นแค่ภาพผ่าน ภาพมโนของตัวเองที่เกิดแค่เสี้ยววินาที แล้วมันแค่บังเอิญมีตัวตนจริงๆ แต่เขาไม่มีลมหายใจแล้วแค่นั้นเอง แต่มันมีเรื่องแปลกเรื่องหนึ่งที่ทำให้เรากับเพื่อน หลอนและกลัวทุกครั้งที่นึกถึง จนถึงทุกวันนี้ มันเกิดขึ้นเมื่อปลายปี 2015 เรากับเพื่อนๆ นัดกันว่าจะไปเที่ยวภูชี้ฟ้า เพราะปี 2014 เราเคยไปกันแล้ว แต่ไปกลางเต็นท์นอนกันสนุกสนานตามเรื่องตามราว ทำให้ปีต่อมาเรานัดจะไปกันอีก แต่ครั้งนี้มีพี่ชายและพี่สะใภ้เพื่อนไปด้วย ทำให้พวกเราเลือกที่จะจองที่พักเป็นบ้าน เพื่อที่จะเป็นส่วนตัว พวกเราไปกัน 8 คน เพื่อนเราเป็นคนจองที่พัก (ขอไม่บอกชื่อนะ) พอถึงวันไปเราก็ขับรถตาม GPS ไปจนใกล้ถึงแต่พวกเราหาทางเข้าไปที่พักไม่เจอ ขับวนอยู่หลายรอบ แต่ก็เริ่มรู้สึกไม่โอเคเพราะที่พักมันไกลภูชี้ฟ้ามาก เหมือนยังไม่ได้ขึ้นภูเลยด้วยซ้ำ แต่ก็ใจดีสู้เสือ เอาวะ ยังไงก็ต้องหาที่พักให้เจอก่อนเพราะจองไปแล้ว […]

คนเห็นผี เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

ฉันเชื่อว่าคุณหลายคนต้องเคยดูละครเรื่อง เขาวานให้หนูเป็นสายลับ ทางช่อง 3 ที่เกริ่นมานี่ไม่ใช่เพราะฉันสวยเหมือนนางเอกส้วมหรอกค่ะ ฉันแค่มีบางอย่างที่คล้ายเธอ ฉันไม่แน่ใจว่าสิ่งที่ฉันเป็นมันคือพรสวรรค์หรือใครจะเรียกคนประเภทฉันว่าอย่างไรก็สุดแล้วแต่ สรุปสั้นๆ เข้าใจง่ายๆ คือฉันเห็นผีนั่นเอง! ฉันเป็นคนกรุงเทพฯโดยกำเนิด ตอนฉันยังเด็ก ฉันเคยประสบอุบัติเหตุจมน้ำ น้าที่เป็นคนช่วยชีวิตฉันเล่าให้ฟังว่า ตอนที่งมฉันขึ้นมานั้นร่างของฉันขาวซีด เนื้อตัวอ่อนปวกเปียก ริมฝีปากเริ่มเขียวคล้ำ จนทุกคนคิดว่าฉันคงไม่รอดแน่ๆ แม่ตกใจร้องห่มร้องไห้จนเป็นลมล้มพับ น้าพยายามช่วยปฐมพยาบาลจนฉันฟื้นราวปาฏิหาริย์ ฉันลุกขึ้นนั่งอย่างงุนงงอยู่ชั่วครู่ แม่เข้ามากอดฉันถามว่าฉันจมน้ำไปได้อย่างไร ฉันเล่าว่า กำลังเล่นขายของกับน้องๆ อยู่ๆ ก็มีเด็กคนหนึ่งคลานขึ้นมาจากตลิ่ง เด็กคนนั้นตัวขาวซีดเซียว ตาโปนโตสีแดงก่ำ ไม่สวมเสื้อผ้า เค้าพูดว่า ช่วยด้วยๆๆ กับฉันหลายครั้ง ฉันวางของเล่นในมือลง แล้วเดินเข้าไปหาเด็กคนนั้นที่นอนพาดอยู่ริมตลิ่งด้วยสมองที่ว่างเปล่า เด็กคนนั้นชี้มือไปที่น้ำ ฉันเดินผ่านเด็กคนนั้นลงไปที่แม่น้ำ ฉันเห็นว่ามีบางอย่างกำลังขยับเขยื้อน เมื่อมองลึกลงไปจากผิวน้ำ มีใบหน้าหนึ่งกำลังจ้องมาที่ฉัน ผมของเค้ายาวดำขลับกลืนไปกับสีของน้ำ ขยับพลิ้วเป็นคลื่นกระจายแผ่ไปทั่วบริเวณนั้น ปากแดงที่กำลังแสยะยิ้มกว้างถึงหูกำลังกวักมือเรียกฉันลงไปหาเค้า ฉันแว่วได้ยินเสียงน้องๆ ร้องเรียกแต่ฉันหันหลังกลับไปไม่ได้ ได้แต่ยืนละล้าละลังอยู่ตรงนั้น จนในที่สุดก็มีมือคู่หนึ่งสีเขียวคล้ำเล็บยาวดำปิ๊ดปี๋ โผล่ขึ้นมาจากน้ำกระชากขาของฉันดำดิ่งลึกลงไปสู่ใต้น้ำ ฉันดิ้นทุรนทุรายกระเสือกกระสนจะกลับขึ้นฝั่ง จนฟองอากาศจำนวนมากออกจากปากออกจากจมูกอย่างรวดเร็ว ที่ลำคอเหมือนมีสาหร่ายสีดำลื่นเป็นกระจุกมารัดไว้ สติยังกระตุ้นเตือนให้ฉันรู้สึกเจ็บแปลบที่ขาข้างขวาเหมือนถูกอะไรบางอย่างเกี่ยวรั้งไว้จนได้เลืoด ฉันดิ้นรนสำลักน้ำอยู่ชั่วอึดใจ ตาฉันเริ่มลอยคว้าง สมองอ่อนล้า ร่างกายเริ่มหมดเรี่ยวแรง […]

ณ ใจกลางป่า มันมากับสายฝน เรื่องเล่าประสบการณ์เดินป่าสุดสยอง

เรื่องนี้เกิดขึ้นในพื้นที่ป่าเขาแห่งหนึ่งในแถบภาคใต้ตอนบน เป็นเรื่องของผู้ใหญ่วัยกลางคน ทั้งหมด 5 คน ที่ตัดสินใจเดินป่าไปเพื่อถ่ายรูป พวกเขารักป่าจริงๆ ชาย 5 คน เตรียมอุปกรณ์ทุกอย่างครบ ก็ออกเดินทางด้วยรถจิ๊บ 1 คัน พอไปถึงตีนเขา ก็จัดแจงฝากรถไว้กับบ้านคนรู้จักในระแวกนั้น หลังจากนั้นก็มุ่งหน้าเดินขึ้นไปบนภูเขาเต็มกำลัง เพราะอยากจะไปให้ถึงจุดกางเต็นท์ไวๆ เพราะตรงนั้นกรมป่าไม้เขาถางป่าทิ้งไว้เพื่อเป็นจุดพัก เดินมาเรื่อยๆ ก็ถ่ายรูปเก็บไปเรื่อยๆ ด้วยเช่นกัน จนทุกคนก็มาถึงจุดพักได้จริงๆ จังๆ สักที ก็ต่างพากันกางเต็นท์ให้เสร็จไวๆ เพราะว่ากลัวฝนฟ้าจะตกลงมา แล้วอุปกรณ์จำพวกอิเล็คทรอนิคต่างๆ จะพัง พอกางเต็นท์ปุ๊บ ก็ไปหาเศษไม้แห้งแถวๆ นั้นมาทำเป็นฟืนเพื่อก่อกองไฟ จะได้ต้มน้ำชงกาแฟกัน แต่ในจังหวะที่คณะเดินทางคนนึง แกกำลังก้มหักกิ่งไม้ แกรู้สึกเหมือนหยดน้ำอะไรหล่นใส่หลังแก พอแกเงยหน้าไปดู ฝนเหรอ ไม่น่าใช่เมฆโปรงขนาดนี้ หรือเยี่ยวของแมลง แต่แกก็ไม่ได้สนใจอะไร เดินกลับไปพร้อมเศษไม้เล็กๆ และก็ก่อกองไฟเสร็จสรรพ เวลาประมาณเย็นๆ ทุกคนมานั่งล้อมกองไฟ พร้อมคุยตามประสาเพื่อนๆ จนพอมืดค่ำ จู่ๆ ฝนดันตกลงมาเฉยเลย แถมตกแรงด้วย ทุกคนก็เลยรีบพากันเข้าไปในเต็นท์อย่างไว หลังจากเข้าไปอยู่ในเต็นท์ ก็นั่งคุยกันต่อพร้อมหยิบกล้องมาดูภาพที่ถ่ายมาทั้งหมด แต่สักพักเพื่อนคนนึงที่นั่งอยู่ใกล้หน้าต่างของเต็นท์ เหมือนแกเหลือบไปเห็นอะไรสักอย่างในกองไฟที่กำลังจะดับเพราะสายฝน […]