ใต้กอสวะ! สยองขวัญใต้สะพานพุทธฯ

เรื่องใต้กอสวะ บ้านผมอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แถวๆ สะพานพุทธฯ เวลาจะกลับบ้านต้องเดินเลียบริมน้ำ เป็นทางคอนกรีตแคบๆ เดินไม่ดีมีสิทธิ์ตกน้ำได้ แต่พวกเราเดินจนชินแล้ว คืนหนึ่งดึกแล้ว ผมกลับจากงานส่งเมสเซ็นเจอร์ เดินเลียบทางมาคนเดียว จู่ๆ มีแมวดำตัวหนึ่งเดินตัดหน้าไป ใจหายวาบว่าจะเป็นลางร้ายอย่างเขาพูดกันมองตามแมวไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงแนวตอที่ยื่นต่ำลงไปจากทางเดิน เขาตัวเปียกชุ่ม ใส่เสื้อไม่รู้สีอะไรเพราะมันสลัวมาก รู้แต่ว่าเขาหันมามองผม ผมใจหายและรู้สึกหนาวๆ พิกล! อยากถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า? ท่าทางคล้ายคนเมาตกน้ำ ตาขวางๆ พิลึก สะท้อนไฟเห็นวาบๆ ผมพูดไม่ออก ได้แต่รีบเดินผ่านเพราะเห็นว่าเขาก็ปลอดภัยดีนี่ เดี๋ยวคงขึ้นมาเองแหละ! ผ่านไปอีก 2-3 วัน ผมกลับเกือบดึก บ้านกับร้านอาหารติดทางเดินเลียบแม่น้ำยังเปิดไฟสว่างผมเห็นผู้ชายคนนั้นอีกแล้วครับ เขานั่งที่เดิม ตัวเปียก หัวหูโชกเชียว แต่ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร แล้วก็หันมามองผมแบบจ้องเขม็ง คราวนี้จากแสงไฟผมเห็นเขาชัดขึ้น ร่างใหญ่ ใบหน้าอูม ผมรองทรงค่อนข้างยาว อายุราว 40 ปี ใส่เสื้อลายๆ สีแดงเลือดหมู และที่เห็นชัดก็คือตะเข็บแขนเสื้อของเขาขาดลงมาข้างหนึ่ง เหมือนมันไปเกี่ยวอะไรสักอย่างท่าทางเขาคล้ายๆ กับคนเมา ผมอยากถามว่าไม่หนาวรึครับก็พูดไม่ออก ได้แต่ชำเลืองนิดหน่อยเท่านั้นสิ่งที่น่าแปลกใจคือ ทำไมเขามานั่งบนตอไม้ริมทางเดินนี่ แหม! สองคืนแล้วนะครับหรือว่าจะมาเล่นน้ำ? คิดอีกทีอาจเป็นคนบ้าไม่เอาดีกว่า […]

ขออโหสิกรรม เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องนี้ส่งเข้ามาจากคุณวรรณพรครับ คุณวรรณพรเล่าว่า เป็นเรื่องเมื่อห้าปีมาแล้วค่ะ คือเรามีแฟนคนหนึ่ง มีลูกด้วยกันแล้ว แต่ทะเลาะกันจนแยกกันอยู่มาสักพักแล้ว วันหนึ่งเราได้รับโทรศัพท์จากเพื่อน เพื่อนโทรมาบอกเราว่า แฟนเราตายแล้วนะ เราก็ถามกลับด้วยความตกใจว่า เขาเป็นอะไรตาย? เพื่อนบอกว่า รถคว่ำตายคาที่ เราทั้งงงทั้งตกใจ ทำอะไรไม่ถูก เพราะก่อนวันที่เขาจะตาย เขาโทรมาขอโทษทุกสิ่งทุกอย่างที่เคยทำกับเราและกับลูก แต่เราไม่ยอมรับคำขอโทษจากเขา เนื่องจากตอนนั้นเราโกรธและโมโหมาก ที่เขาจะมาเอาลูกไปอยู่บ้านเขาแต่เราไม่ยอม จนคุยกันไม่ได้ ทะเลาะกันรุนแรงมาก ไม่นึกเลยว่าจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้คุยกัน และเป็นคำขอโทษครั้งสุดท้ายจากเขา ที่งานสวดศพคืนแรก เราพาลูกไปฟังพระสวด พอไปถึงเราก็เข้าไปจุดธูป ซึ่งจริงๆ แล้วตามพิธี เราควรจะต้องอโหสิกรรมซึ่งกันและกัน แต่เราอโหสิกรรมให้เขาไม่ได้ ใจเรายังโกรธแค้นเขาอยู่มาก จึงทำได้แค่ปักธูปไว้แล้วเดินออกมา พอพระสวดเสร็จเราจึงขอตัวพาลูกกลับก่อน พอกลับถึงบ้าน ขณะที่จอดรถเสร็จกำลังจะเข้าบ้าน จู่ๆ เราก็มีอาการเหมือนเป็นไข้ ตัวร้อนวูบวาบไปหมดทั้งตัว เดี๋ยวก็หนาวจนสั่น เลยเข้าบ้านไปหายาพารากิน คิดว่าเดี๋ยวคงจะดีขึ้น แต่กินยาก็แล้ว เช็ดตัวก็แล้ว ก็ยังไม่หาย ไม่ดีขึ้นเลย ตัวเราเองก็แปลกใจว่าจู่ๆ ทำไมถึงเป็นไข้ขึ้นมาได้ พอเริ่มแย่จนรู้สึกว่าตัวเองไม่ไหวแล้ว ก็เลยเรียกแม่มา แม่เราก็ถามอาการ เราก็เล่าให้แม่ฟัง แล้วอยู่ๆ แม่ก็ลุกเดินไปเอาน้ำมนต์มาให้เราดื่ม พร้อมกับเช็ดตัวให้ […]

ซอครวญ นิยายสยองขวัญ โดย ธีร์ วรรณกร [ตอนที่ 2]

ซอครวญ ตอนที่ 1 “เฮ้ย!!!!บ.บ้าแล้ว!!! กลิ่นนี่..มันมันมาได้ยังไงกันเนี่ย!!!” วีระตะโกนลั่นอยู่ในห้วงแห่งความคิด และก่อนที่เขาจะสามารถตั้งสติรับอะไรได้ทันนั้นเอง มันก็เหมือนกับถูกผีซ้ำด้ำพลอยเข้าไปอีก เพราะทันใดนั้นหูเจ้ากรรมของเขาดันไปได้ยินเสียงๆหนึ่งเข้า มันดังเรื่อยๆเอื่อยๆฟังโหยหวนพิลึก เมื่ออดทนเงี่ยสดับอยู่ชั่วครู่มันก็ต้องทำให้ครูเวรคนใหม่ถึงกับขนลุกซู่ตั้งชันไปทั่วทั้งร่างกายแม้กระทั่งทรงขนบนหัว เพราะเสียงที่ดังมาจากที่ลึกลับแห่งใดมิอาจทราบได้นั้นมันก็คือ ท่วงทำนองเสียงซอสำเนียงอีสานที่โอดครวญน่ารันทดหดหู่ใจเป็นที่สุด แต่ก็แฝงไปด้วยความลึกลับน่าสะพรึงพรั่นจนทำให้เย็นวาบไปทั้งกระแสเลือด มันค่อยๆสอดประสานกับเสียงหมาจรจัดที่มาอาศัยอยู่ในบริเวณโรงเรียนซึ่งพร้อมใจกันหอนระงมกันซะเหมือนกับว่ามันเป็นเสียงบทเพลงที่บรรเลงจากฝีมือของภูติผี ในตอนนี้เขาแทบคลั่งหัวใจเต้นแทบไม่เป็นจังหวะเสียงซอที่จะว่าไพเราะหรือน่ากลัวดีนั้นก็ยังคงดังมาเรื่อยๆอยู่ไม่ขาด แต่เขานี่สิคือผู้ที่จะขาดใจอยู่รอมร่อ เพราะเสียงซออันน่าขวัญบินที่โหยหวนครวญรำพันอยู่นั้น มันทำให้เขาต้องเอามืออุดหูไม่อยากได้ยินแม้แต่เสียงของโน้ตเพลงแม้แต่ตัวเดียว เหงื่อกาฬไหลพรากๆราวกับออกกำลังกายมาหมาดๆ สองขาสั่นระริกอ่อนระทวยแทบล้ม “นี่.นี่มันเกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นนี่ ไม่ไหวแล้วโว้ยยยยย!!!!”  ครูวีระแผดตะโกนลั่นจ้ำอ้าวๆเปิดประตูหนีออกมาแทบไม่ทัน  และเมื่อออกมาข้างนอกเสียงซอที่แสนรันทดในท่วงทำนองนั้นก็ยิ่งชัดเจนขึ้น ใช่.ใช่แล้ว.เจ้าเสียงซอจากโลกอมนุษย์นั้นมันต้องมาจากที่ใดสักที่ๆสามารถมีเครื่องดนตรีเป็นแน่.!!!!!  คิดได้ดังนั้นเขาก็ต้องถึงกับตาเบิกโพลงอ้าปากค้างเพราะที่ๆมีเครื่องดนตรีทุกประเภทก็คือ..ห้องดนตรีซึ่งอยู่ติดๆกับห้องหมวดที่เขาเข้ามาพักนอนเข้าประจำเวรอยู่นั่นเอง เสียงซอที่เอื้อนเอ่ยร่ำสำเนียงลายซอเศร้าอีสานอันกำลังถูกบรรเลงอยู่ในยามนี้ก็ยังทำหน้าที่สร้างความเขย่าขวัญของมันให้กับเขาอย่างไม่ขาดช่วง วีระตัวสั่นเพราะความกลัวเหลือเกินบรรยาย และในช่วงวินาทีแห่งการเผชิญเหตุการณ์อันน่าพิศวงอยู่นั้นเอง ครูหนุ่มตัดสินใจกลั้นลมหายใจแล้วหลับตาลงนับหนึ่งถึงสาม จากนั้นเขาก็หันกลับหลังขวับในทันทีนั้น ซึ่งสถานที่เบื้องหลังก็คือห้องดนตรีที่เป็นที่มาของเสียงซออันน่าขนลุกนั้น และในที่สุดเมื่อลืมตาขึ้นเขาก็แทบจะต้องเป็นลมสิ้นสติไปในบัดนั้น เพราะภาพที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าเขา ณ ตอนนี้ก็คือ ภายในห้องดนตรีอันเป็นประตูกระจกใสสามารถมองทะลุไปถึงด้านในได้นั้น ร่างหนึ่งอันดำเป็นเงาทะมึนเด่นชัดซึ่งถูกแสงไฟที่สาดส่องจากด้านนอกเข้าไปเล็กน้อยนั้น แสดงให้เห็นชัดว่าเป็นร่างของบุรุษผู้หนึ่งกำลังนั่งหันหลังให้พร้อมกับสีบรรเลงซออันสุดที่จะขนพองสยองเกล้าอยู่ตรงนั้น ซึ่งในความเป็นจริงแล้วเมื่อตอนเลิกเรียนครูวีระจำได้ว่าเขานั่นแหละที่เป็นคนล็อคประตูห้องดนตรีเองกับมือ แล้วชายคนนั้นเป็นใครกัน? มาจากที่ไหน? และเข้าไปในห้องได้อย่างไรในเมื่อประตูถูกล็อคอยู่แท้ๆ!!!?? วีระอ้าปากค้างด้วยความตะลึงงันพลันก็ร้องว้าก..!!!!ลั่นขึ้นแทบจะหมดลม หันหน้ากลับมาดังเดิมวิ่งหน้าตั้งฝ่าเสียงซอปีศาจและเสียงหมาหอนหนีออกจากที่ตรงนั้นอย่างรวดเร็วโดยไม่เหลียวหลังกลับไปมองสิ่งใดๆอีกทั้งสิ้น ปล่อยให้ประตูห้องหมวดเปิดอ้าซ่า พร้อมกับแสงไฟที่สว่างโร่อยู่อย่างนั้น  ในความคิดของเขาตอนนี้จุดหมายก็คือป้อมยามของลุงยามที่ตรวจตราด้วยกันเมื่อไม่นานมานี้นั่นเอง และเขาก็หวังว่าเมื่อไปถึงเขาก็จะพบตัวลุงแกเพื่อเป็นที่พึ่งหนีผีให้ได้เช่นกัน  สองเท้าจ้ำอ้าวๆอย่างกับแข่งวิ่งสี่คูณร้อยก็ไม่ปาน ปากก็แหกตะโกนลั่นเกือบจะไม่เป็นภาษา “ลุง!!!ลุงยามครับ!!!ช่วยผมด้วย!!!ผมผมโดนผีหลอก!!!ลุง!!!” วีระทั้งเหนื่อยทั้งหอบกินอยู่แทบขาดใจ เมื่อถึงหน้าป้อมยามก็ทรุดลงพาร่างแผ่หลาไม่เป็นท่า […]

ทางหลังวัด เรื่องขนหัวลุกที่ศรีราชา ชลบุรี

เหตุการณ์เกิดขึ้นที่วัดแห่งหนึ่ง ในอำเภอศรีราชา จังหวัดชลบุรี เมื่อประมาณสี่สิบปีที่ผ่านมา ตอนนั้นคุณสุนทรยังอายุประมาณสิบเอ็ดขวบ วันนั้นเป็นวันหยุด คุณพ่อบอกว่า “เดี๋ยวเย็น ๆ จะไปบ้านลุงบ้านป้าหน่อย” บ้านของคุณลุงคุณป้า จะอยู่ที่ตําบลหนองขาม ห่างจากบ้านของคุณพ่อประมาณสิบกิโลเมตร หลังจากคุณพ่อเลิกงานประมาณสี่โมงครึ่ง ก็ได้ปั่นจักรยานไปกันสองคนกับคุณสุนทร ถนนจะเป็นลูกรัง และไม่มีไฟ สองข้างทางจะเป็นป่ารก ๆ จนปั่นมาได้ประมาณครึ่งทาง เวลาประมาณห้าโมงครึ่ง พระอาทิตย์เริ่มคล้อยต่ำ มีสุนัขสีดำตัวใหญ่วิ่งตัดหน้า แล้วหายเข้าไปในป่าข้างทาง คุณพ่อรีบหยุดจักรยานแล้วบ่นออกมาว่า “มันมายังไงของมันวะ” จากนั้นก็ปั่นต่อไปได้อีกสักพัก ปรากฏว่ายางแตก ช่วงเวลานั้นใกล้จะมืดเต็มที สองข้างทางมีแต่ป่า คุณพ่อจึงรีบเอาไขขวงงัดเอายางในออกมา แล้วเอาผ้าขาวม้ายัดเข้าไปแทน กว่าจะเสร็จก็กินเวลาไปจนถึงหกโมง เป็นเวลาโพล้เพล้ เริ่มจะมองถนนไม่เห็น คุณพ่อจึงรีบปั่นไปเรื่อย ๆ จนใกล้จะถึง ด้านขวาจะเป็นป่าต้นสัก ส่วนด้านซ้ายจะมีรั้วลวดหนาวขึงไว้ตลอดแนว ด้านในรั้วจะมีแต่เจดีย์เล็ก ๆ ที่เป็นโกศเอาไว้เก็บกระดูกคนตาย คาดว่าถนนเส้นนี้จะเป็นถนนหลังวัดแห่งหนึ่ง จนเวลาประมาณหนึ่งทุ่ม ความมืดเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณจนมองทางไม่เห็น คุณสุนทรจึงหยิบไฟฉายออกมาช่วยส่องไฟไปตามทางข้างหน้า ทำให้สองฝั่งข้างทางดูเป็นภาพมัว ๆ มีเงาสะท้อนวิ่งไปมาจนดูน่าขนลุก ไม่ได้ยินทั้งเสียงของนกและแมลงที่ควรจะต้องได้ยิน ต้นไม้ทุกต้นหยุดนิ่ง ไม่ไหวติง คุณสุนทรก็เริ่มมองซ้ายหันขวาด้วยความฉงน คิดในใจว่าทำไมมันถึงได้นิ่งเงียบขนาดนี้ […]

เก็บเช็คครับเก็บเช็ค เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

อาชีพของกระผมเป็นพนักงานส่งเอกสารประจำบริษัทแห่งหนึ่ง ในทุกๆ เช้าผมจะมีหน้าที่มารับเอกสารจากฝ่ายต่างๆ ของบริษัท อ้อผมลืมแนะนำตัวไป ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับท่านผู้อ่าน ผมชื่อบอล ปัจจุบันอายุยี่สิบสองปี ผมต้องขอบอกก่อนนะครับ เรื่องที่ผมจะเล่าดังต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย เป็นเรื่องที่ผมเจอะเจอมากับตัว พูดแล้วยังขนลุกไม่หายเลย ไม่นึกไม่ฝันว่าชาตินี้จะมาเจอเรื่องราวแบบนี้ได้ ผมขอเข้าเรื่องเลยละกันนะครับ “บอล เดี๋ยวไปเก็บเช็คบริษัทนี้ให้พี่หน่อยนะ เมื่อวานใช้ตาจวนไปก็ไม่ได้กลับมา วันนี้เราว่างพี่วานไปอีกหนนะ” พี่ออยเป็นพนักงานบัญชี มักจะใช้ผมไปทำงานรับเช็ค วางบิล ติดตามเอกสารต่างๆ ของแผนกอยู่เสมอ ด้วยความที่พี่ออยเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี นิสัยดี พูดจาเข้าใจง่ายแถมใจดีอีกต่างหาก ทำให้เวลาพี่ออยสั่งงานผมมักจะได้รับหน้าที่ไปทำเสมอ แตกต่างจากพนักงานบัญชีคนอื่นๆ ที่ผมมักจะไม่ถูกคอ ยังมีเจ้มาลัยเจ้าแม่ฝ่ายบัญชีด้วย แล้วมีเรื่องทำให้ผมโดนด่าเป็นประจำ แหมก็แมสเซ็นเจอร์กับฝ่ายบัญชียังไงก็เป็นของคู่กันละครับ ก็เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอย่างไงอย่างงั้น และไอ้เรื่องที่พี่ออยให้ผมไปรับเช็คนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้ เกือบจะสิบโมงแล้วที่ผมขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจขับมาถึงที่บริษัทแห่งนี้ ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนเลยนะครับว่า ผมยังไม่เคยมาเก็บเช็คบริษัทแห่งนี้เลย เพราะปกติเส้นทางสายนี้ผมไม่ได้มีหน้าที่มาเก็บเช็ค ผมจะวิ่งผ่านเส้นทางสายอื่นและอาจเป็นวันดวงซวยของผมก็ได้ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมไปจนชั่วชีวิต “โถ่ ขับรถภาษาอะไรของมันวะ ไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลย คิดจะแซงก็แซงอย่างนั้นเหรอวะไอ้บ้า” ผมสบถคำด่ารถเก๋งคู่กรณีออกไป หลังจากขับปาดซ้ายแซงจนเกือบชนรถมอเตอร์ไซค์ของผม ดีที่ผมอาศัยความชำนาญในการขับรถหลบหลีกได้ทันผมเลยไม่ได้ใส่ใจ ขับรถออกมาจากตรงนั้น ขับมาได้ไม่นานเสียงรถหวอขอทางกั้นอยู่อีกฝั่ง เห็นรถพยาบาลกำลังขับในความเร็วไปรับผู้ได้รับบาดเจ็บจากรถชนกัน ผมไม่ได้ฟังหรอกว่ารถอะไรชนกัน เพราะผมก็เพิ่งผ่านเหตุการณ์มาเมื่อครู่ เมื่อคิดภาพกลับไปแล้วมันก็ทำให้ผมอกสั่นขวัญแขวนได้มากทีเดียว อุบัติเหตุสมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้ ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าตึก ปกติแล้วมักจะมีประชาสัมพันธ์คอยบริการอยู่หน้าเคาน์เตอร์ […]

เสื้อมือสอง เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

วันนี้จะมาเล่าประสบการณ์ซื้อเสื้อมือสองของเพื่อนร่วมงาน แบบไม่ศึกษาที่มาของเสื้อ เมื่อ 3 ปีก่อน เราทำงานอยู่ออฟฟิศแห่งหนึ่ง ออฟฟิศเรามีพนักงานทั้งหมด 10 คนเป็นผู้หญิงทั้งหมด เป็นงานเกี่ยวกับการตรวจสอบบัญชีเงินกู้นอกระบบ เพื่อนร่วมงานเรามีคนที่อายุน้อยที่สุด 1 คน เป็นวัยรุ่น ชอบซื้อเสื้อผ้าเครื่องแต่งตัว ชอบซื้อเสื้อผ้ามือสองตามตลาดนัด เพราะใส่แล้วทิ้งแบบไม่เสียดายแล้วก็ราคาถูก ช่วงนั้นเป็นช่วงปลายเดือนพฤศจิกายน อากาศเริ่มหนาวมาก น้องมันเลยชวนเราไปเดินตลาดนัดเปิดท้าย เพื่อหาซื้อเสื้อกันหนาวมือ 2 ใส่ เราก็ไปเป็นเพื่อนมัน เราขอไม่เปิดเผยชื่อของเพื่อนร่วมงานนะคะ (ขอใช้นามสมมติว่าเอ) เอพูดว่า พี่ หนูจะไปซื้อเสื้อไปเป็นเพื่อนหนูหน่อย เราก็เดินในตลาดนัดเปิดท้าย สักพักก็เดินมาเจอร้านขายเสื้อมือ 2 ร้านนี้มีเสื้อกันหนาวเยอะมาก ราคาตัวละไม่เกิน 30 บาท คือถูกมาก ปกติที่เคยมาซื้อเป็นเพื่อนน้องเอ จะเจอร้านที่ขายตัวละ 70-80-90 บาท บางทีก็ตัวละ 100+ แต่ไม่เคยเกิน 150 แต่ครั้งนี้เป็นร้านมาตั้งใหม่ เพิ่งเคยมาขายครั้งแรก น้องเอเห็นว่าเสื้อสวยมาก บางตัวเหมือนเป็นแบรนด์เนม สภาพดีมาก ไม่มีตำหนิเลย น้องเลือกสักพักก็ได้เสื้อแขนยาว สีแดงตัวนึง ราคา 40 […]

ไซต์งานกลางป่า เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องราวทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ คุณตูน ได้นัดเพื่อนสองคนมานั่งดูฟุตบอลกัน เพื่อนสองคนของคุณตูนชื่อ คุณนอ และ คุณเอก ทั้งสามได้นั่งรอดูฟุตบอลกันจนถึงเวลาประมาณตีหนึ่ง แล้วคุณเอกก็เอ่ยขึ้นมาว่าหิว เดี๋ยวหาอะไรกินกันก่อนและคุณเอกก็อาสาไปซื้อของเองเพราะมีความอาวุโสน้อยสุดโดยยืมรถของคุณนอไปซื้อ ซึ่งเป็นรถมอเตอร์ไซค์ PCX ซึ่งจะมีขนาดค่อนข้างใหญ่ จนผ่านไปประมาณสี่สิบนาที คุณเอกก็ยังไม่มา จนฟุตบอลหมดครึ่งแรกไปแล้วก็ยังไม่มา คุณนอจึงโทรหาคุณเอก คุณเอกก็บอกว่าทำธุระอยู่ ก็นั่งรอกันจนฟุตบอลจบ ประมาณตีสี่เกือบตีห้าก็ยังไม่กลับมา คุณตูนและคุณนอเป็นห่วงมาก ก็เลยเดินลงไปข้างล่าง ไปเจอยามประจำหอพัก ยามบอกว่าเห็นคุณเอกเอาเสื้อของวินมอเตอร์ไซค์ที่เค้าเอาเก็บไว้หน้ารถไปใส่ แล้วขี่รถออกไป คุณตูนและคุณนอก็คิดว่าคุณเอกเล่นพิเรนทร์อะไร ทั้งสองจึงนั่งรออยู่หน้าหอพักอีกประมาณยี่สิบนาที คุณนอเลยโทรหาคุณเอกอีกที โทรติดแต่ไม่มีคนรับ แล้วรถ PCX ของคุณนอจะมี GPS บอกตำแหน่งอยู่ด้วย คุณนอจึงลองเปิด GPS แล้วลองค้นหาตำแหน่งของคุณเอก ปรากฏว่ารถไปอยู่ตรงถนนเส้นหนึ่งซึ่งอยู่ห่างออกไปไกล คุณตูนและคุณนอตกใจมากกลัวว่าคุณเอกจะโดนปล้น คุณตูนก็เลยขับรถตาม GPS ไป พอขับออกไปได้สักพัก ก็ไปเจอตำรวจสายตรวจสองคนขี่รถจักรยานยนต์อยู่ จึงได้เข้าไปขอความช่วยเหลือ แล้วเล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้ฟัง แล้วคุณตูนก็ขอให้ตำรวจร่วมเดินทางไปด้วย พอถึงตำแหน่งตามที่ GPS ระบุ ซึ่งสองข้างทางจะเป็นป่า ถนนจะถมสูงขึ้นมาจากสองข้างทางเล็กน้อย ทุกคนจึงลงไปหาคุณเอกในป่า ตรงนั้นมืดมาก ไม่มีบ้านคน ไม่มีไฟเลย ต้องใช้ไฟจากมือถือส่องทางเอา […]

คนเล่นของ คุณไสยจองเวร! เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องนี้เป็นอีกเรื่องที่ส่งมาจากคุณเลิฟครับ คุณเลิฟเล่าว่า.. สมัยที่ผมยังเด็ก จำได้ว่าราวๆ ม.1 มั้งครับ ครอบครัวผมมีกันอยู่ 4 คน มีผม แม่ พี่สาว และน้องสาว แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงที่ยายผมเสีย แต่ยายได้ทำพินัยกรรมไว้ โดยยกที่ดินให้แม่ผมแปลงหนึ่ง ส่วนสมบัติอื่นๆ ก็แบ่งๆ ให้ป้า ให้น้าไป.. เรื่องมันเกิดตอนที่แม่ผมขายที่ดินแปลงนั้นได้ครับ แม่ได้เงินมาจำนวนหนึ่ง แล้วป้าผมแกมาขอครึ่งหนึ่ง ทั้งๆ ที่ป้าแกไม่มีส่วนในที่ดินนี้เลย แต่แม่ผมก็แบ่งให้นะ แต่ก็ไม่ถึงครึ่งตามที่ป้าขอ ทำให้ป้าแกไม่พอใจ ถึงกับขู่อาฆาตไว้ว่า ‘ครอบครัวมึงจะต้องอยู่ไม่เป็นสุข คอยดูแล้วกัน!’ แล้วป้าแกก็ หายหน้าหายตาไปเลย.. จนเวลาผ่านไปหลายเดือน ทุกคนรวมถึงผมต่างลืมเรื่องที่ป้าขู่อาฆาตไปเสียสนิท และแล้ว เหตุการณ์แปลกๆ ก็เริ่มเกิดขึ้นกับครอบครัวผม.. คืนหนึ่ง ที่พวกเรานอนหลับกันอยู่ ซึ่งตอนเด็กพวกเรา 3 พี่น้อง จะมานอนรวมกันในห้องแม่ เพราะเป็นห้องใหญ่ มีเตียงใหญ่ ขณะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับ ก็ได้ยินเสียงคนบิดลูกบิดประตูห้อง ‘แก๊กๆ’ เหมือนพยายามจะเปิดเข้ามาแต่ติดล็อค ผมเงี่ยหูฟังอยู่พักหนึ่ง แต่เสียงนั้นก็ยังดังต่อเนื่อง ผมเอื้อมมือไปจับแขนพี่สาวเพื่อจะปลุก แต่พี่สาวผมรู้สึกตัวก่อนแล้ว […]

ซอครวญ นิยายสยองขวัญ โดย ธีร์ วรรณกร [ตอนที่ 3]

ซอครวญ ตอนที่ 2 “แล้วสรุปนี่ครูจะกลับไปนอนที่บ้านพักหรือครับ หรือว่าอย่างไร?” “ไม่หรอกครับยังไงซะ คืนนี้มันก็ยังเป็นเวรตรวจโรงเรียนของผมอยู่ คือผมว่าจะขนเอาพวกผ้าห่มพวกหมอนไปนอนกับลุงที่ป้อมนั่นแหละ เห็นมีแคร่ไม้ไผ่เล็กๆอยู่ติดกันตั้งสองตัวไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าเวลานอนก็พอจะเบียดกันได้” “โห.เอางั้นเลยเหรอครับครู? พับผ่าสิซื่อดีแท้ครูใหม่นี่ เอ้า!!ถ้าจะนอนที่ป้อมกับผมก็ไม่เป็นการขัดข้องครับเชิญตามสบาย แต่ตอนนี้ผมว่าครูรีบเก็บข้าวเก็บของปิดไฟแล้วล็อคห้องหมวดไว้ให้ดีก่อนเถอะครับ ไอ้เรื่องนอนที่ป้อมน่ะไม่มีปัญหาเลยสักนิดเดียว” วีระรีบรับคำแล้วเร่งจัดแจงทำตามประสงค์ในทันที โดยไม่รีรอช้า ชั่วอึดใจเขาก็ย้ายที่นอนมาอยู่ที่ป้อมยามกับคนยามผู้อาวุโสได้ดั่งใจโดยไม่มีอะไรมารบกวนอีกเลยแม้แต่นิดเดียว ส่วนลุงยามนั้นก็ทำหน้าที่ของแกไปอย่างเช่นเคยโดยปล่อยให้ครูวีระนอนหลับพักผ่อนอย่างตามสบายเข้านิทราไปแบบไม่ต้องกังวลอันใดจนตลอดคืน.. ในช่วงเวลาของวันหยุดอันเป็นวันเสาร์-อาทิตย์นั้น วีระเขาก็ยังได้มาปฏิบัติหน้าที่ที่โรงเรียนดังเดิมไม่ได้หยุดหย่อน เหตุเพราะเขาได้มีนัดหมายให้นักเรียนชมรมวงโปงลางนั้นมาทำการฝึกซ้อมกันทุกวันเสาร์และอาทิตย์รวมถึงช่วงเย็นนับตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไป เพื่อที่จะนำขึ้นแสดงในงานสำคัญของโรงเรียนอันเป็นงานใหญ่พอสมควรในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า ดังนั้นผู้ควบคุมดูแลวงก็จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากเขา ถ้าไม่นับรวมครูนาฏศิลป์อีกสามท่านที่มาช่วยดูและปรับท่ารำให้นางรำเพื่อให้เข้ากับนักดนตรีซึ่งก็จะไม่ค่อยได้มาที่ห้องดนตรีบ่อยเท่ากับเขามากนักในฐานะครูผู้ควบคุม ครั้นเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงนั้นเอง ในขณะที่นักเรียนทุกคนออกจากห้องไปรับประทานอาหารในสถานที่รับรองกันหมด ห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงความเงียบงันเข้ามาปกคลุมแทน  ครูวีระซึ่งไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกห้องเช่นครูคนอื่นๆนั้น  ด้วยความเหนื่อยล้าสมองต้องการผ่อนคลายจิตใจบ้างเขาจึงเดินไปหยิบพิณโปร่งตัวหนึ่งขึ้นมาจากแท่นวางข้างๆโต๊ะที่ทำงาน แล้วนำมานั่งบรรเลงบนเก้าอี้ด้วยความสบายอารมณ์ ภายในท่วงทำนองสำเนียงอีสานที่ระรื่นหูไม่มีขัดโน้ต จากการสลับไล่เรียงนิ้วในช่องคอร์ดที่ชำนิชำนาญ แต่ในขณะที่เขากำลังบรรเลงเล่นลายเพลงไปเพลินๆอยู่นั้น สายตาของเขาที่กวาดมองไปมาโดยไร้จุดหมายนั้นก็พลันมาสะดุดเพ่งเล็งอยู่กับสิ่งๆหนึ่งบนโต๊ะทำงานของตนเอง โดยโต๊ะตัวนี้นั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบโต๊ะทำงานของพนักงานหรือของพวกเจ้านายทั่วๆไป แต่มีกระจกบานใหญ่วางซ้อนทับอีกชั้นหนึ่งไว้ด้วย และใต้กระจกบานนั้นเขามองเห็นปลายๆมุมของกระดาษหรือคาดว่าน่าจะเป็นแผ่นภาพถ่ายอะไรสักอย่างซึ่งถูกบดบังไว้ด้วยกองสมุดงานนักเรียนอีกทีหนึ่งอยู่ตรงนั้น  คงด้วยความไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนเลย เขาจึงนึกฉงนใจขึ้นในบัดนั้นนั่นเอง หยุดการเล่นพิณพร้อมกับนำไปวางไว้ที่เดิม แล้วจัดการย้ายกองสมุดนักเรียนเหล่านั้นมาไว้อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านตรงข้าม และเมื่อเขาได้พบว่ากระดาษที่เห็นแค่มุมน้อยๆเมื่อครู่แผ่นนั้นมันคือภาพถ่ายของใครคนหนึ่ง ครูหนุ่มก็ยิ่งเริ่มมีความสนใจกับมันมากขึ้น เขาจ้องมองมันอย่างพิจารณาก็พบว่า ในภาพถ่ายใบนั้นปรากฏเป็นภาพของชายผู้หนึ่งใส่ชุดนักดนตรีวงพื้นบ้านซึ่งน่าจะเป็นวงโปงลาง เป็นชุดไหมสีเหลืองทองงามตา มีสร้อยดอกรักคล้องไว้ที่คอ นุ่งผ้าโสร่งที่หลากสีสันดูสะอาดสะอ้าน ที่เอวก็ผูกมัดไว้ด้วยผ้าข้าวม้าอย่างเรียบร้อย ชายในภาพถ่ายนั้นอยู่ในกิริยาอาการนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่ง ซึ่งมือทั้งสองของเขากำลังแสดงการบรรเลงซออีสานคันหนึ่งอย่างองอาจในมาดศิลปินและพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ชายผู้นี้ตัดผมรองทรง สีผิวน้ำตาลแดงใบหน้าคมสันแลดูเข้มและบวกกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูมีเสน่ห์อย่างไรพิลึกเมื่อได้คู่กับหน้าที่ที่เขาได้ทำ แก้มทั้งสองข้างถูกปาดเอาไว้ด้วยแป้งสีขาวอันเป็นรอยนิ้วมือปาดเป็นขีดไว้พองาม […]