เรื่องใต้กอสวะ
บ้านผมอยู่ริมแม่น้ำเจ้าพระยา แถวๆ สะพานพุทธฯ เวลาจะกลับบ้านต้องเดินเลียบริมน้ำ เป็นทางคอนกรีตแคบๆ เดินไม่ดีมีสิทธิ์ตกน้ำได้ แต่พวกเราเดินจนชินแล้ว
คืนหนึ่งดึกแล้ว ผมกลับจากงานส่งเมสเซ็นเจอร์ เดินเลียบทางมาคนเดียว จู่ๆ มีแมวดำตัวหนึ่งเดินตัดหน้าไป ใจหายวาบว่าจะเป็นลางร้ายอย่างเขาพูดกันมองตามแมวไปก็เห็นผู้ชายคนหนึ่งนั่งอยู่ตรงแนวตอที่ยื่นต่ำลงไปจากทางเดิน เขาตัวเปียกชุ่ม ใส่เสื้อไม่รู้สีอะไรเพราะมันสลัวมาก รู้แต่ว่าเขาหันมามองผม
ผมใจหายและรู้สึกหนาวๆ พิกล! อยากถามว่าเขาเป็นอะไรหรือเปล่า? ท่าทางคล้ายคนเมาตกน้ำ ตาขวางๆ พิลึก สะท้อนไฟเห็นวาบๆ ผมพูดไม่ออก ได้แต่รีบเดินผ่านเพราะเห็นว่าเขาก็ปลอดภัยดีนี่ เดี๋ยวคงขึ้นมาเองแหละ!
ผ่านไปอีก 2-3 วัน ผมกลับเกือบดึก บ้านกับร้านอาหารติดทางเดินเลียบแม่น้ำยังเปิดไฟสว่างผมเห็นผู้ชายคนนั้นอีกแล้วครับ
เขานั่งที่เดิม ตัวเปียก หัวหูโชกเชียว แต่ท่าทางไม่ทุกข์ร้อนอะไร แล้วก็หันมามองผมแบบจ้องเขม็ง คราวนี้จากแสงไฟผมเห็นเขาชัดขึ้น ร่างใหญ่ ใบหน้าอูม ผมรองทรงค่อนข้างยาว อายุราว 40 ปี ใส่เสื้อลายๆ สีแดงเลือดหมู และที่เห็นชัดก็คือตะเข็บแขนเสื้อของเขาขาดลงมาข้างหนึ่ง เหมือนมันไปเกี่ยวอะไรสักอย่างท่าทางเขาคล้ายๆ กับคนเมา
ผมอยากถามว่าไม่หนาวรึครับก็พูดไม่ออก ได้แต่ชำเลืองนิดหน่อยเท่านั้นสิ่งที่น่าแปลกใจคือ ทำไมเขามานั่งบนตอไม้ริมทางเดินนี่ แหม! สองคืนแล้วนะครับหรือว่าจะมาเล่นน้ำ?
คิดอีกทีอาจเป็นคนบ้าไม่เอาดีกว่า ไม่อยากยุ่งด้วย ข้อสำคัญผมยืนยันว่าแกปลอดภัยดี หวังว่าคงไม่ใช่คนที่คิดจะฆ่ๅตัวตายหรอกน่า!
ดีนะที่ผมเล่าให้แม่กับน้องฟังในตอนเช้าวันรุ่งขึ้น เพราะเป็นห่วงน้องที่เป็นผู้หญิงเกิดขี้เกียจอ้อมไกล ใช้ทางลัดเลียบแม่น้ำ จะโดนคนสติไม่ดีที่เกิดคลั่งขึ้นมาทำร้ายได้ใครจะไปรู้ครับ ไม่ใช่ใจร้ายหรอก แต่กลัวไว้ก่อนดีกว่า
ปรากฏว่าผู้ชายประหลาดนั่นไม่ใช่คนบ้าเขาน่าสงสารมากกว่านั้น!
วันถัดมาเป็นวันหยุดของผม ผมไปเดินเที่ยวห้าง และกลับบ้านราวบ่ายโมงเศษ ซื้อขนมกับปูผัดผงกะหรี่มาฝากแม่เพราะแม่ชอบ ผมเห็นป่อเต็กตึ๊ง ตำรวจและผู้คนมากมาย นึกในใจว่าเอาแล้วมีเรื่องแล้ว! ต้องเจอศพลอยน้ำอีกแน่ ปกตินะครับ แม่น้ำลำคลองเกือบทุกแห่งก็มักมีเรื่องแบบนี้อยู่เสมอผมอยากรู้อยากเห็นขึ้นมาทันที เลยเข้าไปชะแง้ดูกับเขาบ้าง
พอดีเจอคนคุ้นเคยกันยืนอยู่ในกลุ่มไทยมุงเลยถามเขาดู เขาบอกว่าเจ้าหน้าที่กำลังกู้ศพที่ลอยมาติดกอสวะ ข้างร้านอาหารที่ผมเดินผ่านทุกๆ คืนนั่นแหละครับ
ไม่รู้ยังไง ผมใจหายแว๊บนึกถึงชายร่างใหญ่ เสื้อสีเลือดหมูที่เห็นอยู่สองคืนนั่น!
สาธุอย่าให้เขาเป็นคนนั้นเลย! ผมยืนดูเจ้าหน้าที่พายเรือไปเกี่ยวร่างที่คว่ำปริ่มน้ำติดกอสวะผมใจหายวาบเมื่อเห็นเสื้อสีแดงเลือดหมู! ยิ่งศพหลุดออกมาผมยิ่งชาไปทั้งตัว ขนลุก พูดไม่ออก เห็นชัดว่าแขนเสื้อข้างหนึ่งของเขาหลุดออก..ใช่แน่ๆ ผู้ชายที่ผมเห็นจริงๆ โธ่! น่าสงสาร
ทันทีที่ศพพ้นน้ำ กลิ่นเน่าก็ฉุนกระจายจนไทยมุงแตกฮือ!
ศพเน่ามากครับ พองและเปื่อยยุ่ยเอ๊ะ! เขาน่าจะตกน้ำตายไม่ถึง 3 วันมานี่น่ะ เมื่อคืนวานซืนผมยังเห็นเขาอยู่เลย ไม่น่าเน่าจนเกือบหลุดขนาดนี้ใบหน้าเขาน่ะ บอกตรงๆ ผมไม่อยากมอง แต่เสื้อผ้าและรูปร่างใช่แน่ๆ ไม่ต้องสงสัย
ผมได้ยินเจ้าหน้าที่พูดกันว่า คงตกน้ำตายเกือบ 10 วันแล้ว! แปลว่าวันที่ผมเห็นเขาครั้งแรกน่ะเขาคงตายมาแล้ว 3 วัน! เป็นอันว่าผมเห็นผีใช่มั้ยครับ?! สยองเหลือเกิน ผมเดินผ่านเขาและศพของเขาทุกคืน แต่มันติดกอสวะอยู่ในน้ำ กลิ่นก็เลยไม่ค่อยมีเท่าไร
ตั้งแต่นั้นมา ผมยอมอ้อมเข้าทางถนน แล้วเดินวกวนในตรอกซอยไม่ไปแล้วครับทางลัดเลียบแม่น้ำ และผมก็ใส่บาตรให้ชายคนนั้นด้วย ทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร? ทำไมมาตายแบบนี้? ฆ่ๅตัวตาย ตกน้ำตาย หรือถูกใครฆ่ๅเอา?
ผมไม่กล้าเดินทางเก่ากลัวเขามานั่งรออีกมีหวังวิ่งหนีตับแตก หรือตกน้ำตกท่าไปเลย แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องเศร้าสุดสยองจริงๆ ครับ!
เรื่องผีตาเพลิน
สมัยเด็กผมอยู่ อ.ท่ายาง จ.เพชรบุรี ตอนนั้นก็ถือว่าเจริญแล้วครับ ขนาดมีโรงหนังถึงสองโรง ขณะที่ในตัวจังหวัดมีอยู่แค่โรงเดียวเท่านั้นเอง
นอกจากนั้นยังมีเรือกสวนไร่นากว้างขวาง ผลไม้ชื่อดังก็ต้องตาลกับมะพร้าวซีครับ แต่ที่น่าแปลกอยู่อย่างตรงที่ท่ายางมีสวนกล้วยน้ำว้ามากมายเหลือเชื่อ จะว่ามากที่สุดในเมืองไทยก็ยังได้ เพราะวันๆ จะมีรถบรรทุกกล้วยออกไปยาวเหยียด เขียวครึ่ดไปทั้งรถจริงๆ เอ้า!
ไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ผมมีเรื่องขนหัวลุกอีกเรื่องมาเล่าสู่กันฟังครับ
ตาเพลินกับตาเบี่ยงเป็นคู่หูกันมาตั้งแต่หนุ่มจนเข้าวัยใกล้ชรา พูดถึงฐานะก็ถือว่าเป็นปึกแผ่นไม่น้อยหน้าใคร ข้อสำคัญก็คือเป็นเจ้าของสวนมะพร้าวติดๆ กัน และชอบดวดดื่มน้ำตาลเมาที่เรียกว่า ซดน้ำตาล เหมือนกันอีกต่างหาก
สองเกลอเคยทำน้ำตาลเองสมัยหนุ่มๆ เมื่อตอนยังปีนป่ายได้คล่องแคล่ว แต่พออายุเลยห้าสิบได้ไม่เท่าไหร่ ความแข็งแรงก็ลดน้อยลงไป ขืนดันทุรังทำเอง เพราะลืมแก่ก็อาจจะพลาดพลั้งลงมาแข้งขาหักได้ง่ายๆ มีหลานชายตาเพลินชื่อเจ้าพินเป็นคนจัดการให้หมด โดยเฉพาะการทำน้ำตาล
ตอนบ่ายแก่ๆ ใกล้เย็น น้ำตาลจะเดือดปุดๆ ได้ที่ เรียกกันว่า สีดาร้องไห้ เหมาะแก่การซดให้ชุ่มฉ่ำดีนักแล สองเกลอก็จะมีพุ่มไม้ใกล้ๆ กันเป็นที่ตั้งวงซดน้ำตาลด้วยกะลา กับแกล้มก็ต้องปลาแห้งถึงจะเข้ากันเป็นปี่เป็นขลุ่ยดีนัก
จนกระทั่งวันเกิดเหตุ หลังจากดวดน้ำตาลเข้าไปเต็มคราบจนใกล้ค่ำ สองเกลอก็ชวนกันกลับบ้าน พอถึงปากทางก็แยกย้ายกันไปตาเบี่ยงเดินร้องลิเกสัปดนด้วยความครึ้มอกครึ้มใจ ใกล้จะถึงบ้านอยู่รอมร่อจู่ๆ ก็ได้ยินตาเพลินร้องโหวกโหวยมาเข้าหูชัดเจน.
ช่วยด้วยโว้ย งูกัด! โอ๊ย
ตาเบี่ยงใจหายวาบ รีบวิ่งกลับไปดูเพื่อนเกลอก็เจอ ตาเพลินนอนดิ้นพรวดพราด หน้าตาบิดเบี้ยวเหยเก มือกุมน่องไว้แน่นพอดีเจ้าพินวิ่งหน้าตื่นมาดูเพราะได้ยินเสียงลุงเข้าพอดี ช่วยเหลืออะไรไม่ทันแล้ว ตาเพลินกลายเป็นศพตอนที่ถูกหามร่องแร่งกลับบ้านพอดี ท่ามกลางเสียงร้องไห้โฮของลูกเมียแก
เมื่อเผาศพได้ราว 7 วัน ตาเพลินก็กลับมา!
มีคนผ่านไปเห็นชายชราผมขาวโพลนนั่งพิงโคนมะพร้าว ก้มหน้างุดคางจรดอก เห็นแล้วคลับคล้ายคลับคลาจนต้องเดินเข้าไปดูใกล้ๆ พอดีใบหน้านั้นเงยขึ้นมอง ตาเพลินนั่นเอง! เล่นเอาคนอยากรู้อยากเห็นร้องจ้า เผ่นหนีล้มลุกคลุกคลานจนจับไข้จับหนาวไปหลายวัน
เจ้าพินที่เคยขึ้นมะพร้าวไปทำน้ำตาลกลางวันแสกๆ เกิดเสียวสันหลังยังไงไม่ทราบ ก้มหน้าลงไปมองก็เห็นตาเพลินยืนแหงนหน้ามองอย่างห่วงใย แต่เจ้าพินถึงกับมือตีนอ่อนพลัดหล่นลงมาจุกแอ้ดๆ แม้ว่าผีตาเพลินจะหายไปแล้ว แต่เจ้าพินก็ใส่ตีนหมา โกยอ้าวไม่คิดชีวิตจนถึงบ้าน หอบแฮกๆ ปานจะสิ้นใจ
รุ่งขึ้นมันก็เก็บเสื้อผ้าขออำลาไปอยู่บ้านญาติที่ชะอำทันที บอกว่าไม่อยากโดนผีหลอกจนขาดใจตายแต่ใครๆ ก็ยังไม่เดือดเนื้อร้อนใจเท่ากับตาเบี่ยงผู้เป็นเพื่อนสนิท!
ตั้งแต่วันที่ตาเพลินโดนงูกัดตายเป็นต้นมา แกไม่ยอมเหยียบย่างไปยังแหล่งสำราญที่เคยซดน้ำตาลอย่างมีความสุขกับเพื่อนเกลออีกเลย แต่สั่งให้เด็กไปเอาน้ำตาลมาส่งถึงม้านั่งหน้าบ้าน ใครถามก็บอกว่ากลัวงูน่ะตาเบี่ยงไม่แยแสว่าใครจะหัวเราะขบขัน เพราะรู้ทันว่าแกกลัวผีตาเพลินจับอกจับใจ!
วิญญาณตาเพลินอาจจะหงอยเหงา หรือคิดถึงเพื่อนคู่หูในอดีตก็เป็นได้ คืนหนึ่งเดือนหงายนอกจากเสียงยอดไม้กระซิบกระซาบกับสายลมแล้ว สรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบเชียบตาเบี่ยงเข้ามุ้งนอนไปแล้วก็มีเสียงเยือกเย็นโหยหวนดังแทรกสายลมขึ้นมา
เบี่ยงโว้ยนอนหรือยัง? ข้าคิดถึงเอ็ง
เสียงนั้นไม่ใช่เบาๆ ขนาดคนบ้านใกล้เรือนเคียงยังได้ยิน ผมเองยังขนลุกขนพองไปหมดขณะกระซิบถามแม่ว่าได้ยินมั้ย? แต่แม่ดุให้เงียบ ขู่ว่าเดี๋ยวตาเพลินได้ยิน!
ไม่มีเสียงตอบใดๆ จากตาเบี่ยง ได้แต่เดากันว่าแกคงนอนเหงื่อแตก หัวใจเต้นโครมครามแน่นอนเสียงตาเพลินร้องเรียกเพื่อนเกลออยู่พักใหญ่ๆ ก่อนจะเงียบหายไปในที่สุด
รุ่งขึ้นชาวบ้านโจษจันเรื่องนี้กันยกใหญ่ ตาเบี่ยงยอมรับว่าแกได้ยินเต็มสองหูแต่ไม่กล้าขานรับถ้าไม่มีศาลพระภูมิป้องกัน ผีตาเพลินคงบุกขึ้นเรือนมาหาเพื่อนรักอย่างแกแน่นอนพวกเราได้ยินเสียงสยองอีกหลายคืนจนกระทั่งหายเงียบไปเองคิดว่าวิญญาณแกคงไปผุดไปเกิดแล้ว
ตาเบี่ยงอยู่มาจนอายุเจ็ดสิบกว่าจึงสิ้นอายุขัยนึกถึงเรื่องนี้แล้วขนหัวลุกครับ!
ขอขอบคุณที่มา: ใต้กอสวะ | ผีตาเพลิน

กดแชร์บทความ