เรื่องนี้เป็นเรื่องนานมาแล้วนะคะ นานระดับตำนานเลยก็ว่าได้ เราฟังจากคุณยายของเพื่อนเรามาอีกที
คุณยายจำนงค์ แกเป็นคน อ.สำโรงทาบ จ.สุรินทร์ ส่วนจะอยู่หมู่บ้านไหนนั้น เราก็ไม่อาจทราบได้ เรารู้จักคุณยายเมื่อตอนเราเรียนอยู่กรุงเทพ เราไปเที่ยวบ้านเพื่อนบ่อยๆ เลยรู้จักสนิทสนมกับคุณยายเป็นอย่างดี เวลาเราไปหา คุณยายก็จะทำขนมอร่อยๆ ไว้ให้กินเสมอ กินไปด้วยแกก็จะเล่าเรื่องเก่าๆ ของแกไปด้วย
มีอยู่วันหนึ่งคุณยายแกก็เล่าเรื่องราวแปลกประหลาดเรื่องหนึ่งให้เราฟัง
คุณยายเล่าว่าตอนนั้นคุณยายอายุประมาณ 14-15 ปี ที่หมู่บ้านของคุณยาย มีสาวสวยอยู่คนหนึ่งชื่อยุพดี แต่คนแถวนี้เขาก็เรียกกันสั้นๆ ว่ายุ คุณยายว่าพี่ยุเป็นรุ่นพี่คุณยาย อายุซัก 18 ปีเห็นจะได้ แกเป็นคนสวยมาก สวยคมเหมือนแขก แต่ผิวขาวราวกับหยวกกล้วย ผอมสูง ทรวดทรงงามระหง เวลาพี่ยุแกไปไหนมาไหนที ผู้ชายทั้งหนุ่มทั้งแก่พากันเหลียวมองคอแทบหัก ความที่แกเป็นคนสวยก็ย่อมมีผู้ชายมาติดพันเป็นธรรมดา พี่ยุแกก็คุยกับทุกคน ใครมีเงินเยอะๆ มาขอแกกับพ่อแม่ แกก็ชอบคนนั้นแหละแกว่า
ทีนี้ปีนั้นน่ะ มีพ่อค้าขายของเร่คนหนึ่ง ขายของพวกน้ำผึ้งป่า พวกไม้มงคล เร่ขายของมาจนถึงเรือนพี่ยุ พี่ยุแกก็นั่งตำสาด (เสื่อ) อยู่หน้าบ้าน พอพ่อค้าขายเร่คนนี้เห็นพี่ยุก็ชอบพี่ยุเข้าอย่างจัง แรกๆ ก็มาบ่อย ชอบเอานู่นเอานี่มาขาย หลังๆ พี่ยุไม่ซื้อแล้วเขาก็เอามาให้ฟรีๆ ดูว่าจะหลงรักพี่ยุเอามาก พี่ยุแกก็รู้ แกก็เลยบอกว่า ถ้าชอบแกก็ให้ไปหาทองมาขอแกกับแม่ แกอยากได้ทองแกว่ายังงั้น
พ่อค้าขายเร่ก็ชอบใจใหญ่ บอกว่าอีกไม่นานจะกลับมาหา ความจริงพี่ยุแกก็พูดไปอย่างนั้นแหละ ใครจะไปชอบพ่อค้าขายเร่ไม่มีหัวนอนปลายตีน
ไม่กี่วันถัดมา พ่อค้าขายเร่ก็เอาทองมาให้หีบใหญ่ ไม่รู้ไปเอามาจากไหน เอามาให้พี่ยุ บอกว่าวันนี้จะมาขอพี่ยุกับแม่ พี่ยุแกก็ตกใจใหญ่ แกไม่คิดว่าพ่อค้าท่าทางจนๆ จะมีเงินทองมากมาย แกกลัวจะได้ตบแต่งเป็นเมียเขานะทีนี้ แกว่าเขารูปชั่วตัวดำ คลำหาความหล่อก็ไม่เจอ แกเลยออกอุบายว่า วันนี้มืดค่ำแล้ว พรุ่งนี้เช้าค่อยมาใหม่ ส่วนหีบทองก็เอาไว้กับแกที่นี่แหละ
จะด้วยความซื่อหรือความรัก พี่ยุว่ายังไงแกก็ทำตามหมด พี่ยุแกเลยเล่าให้พ่อกับแม่แกฟัง พ่อกับแม่แกเลยบอกว่าให้เอาทองไปซ่อนไว้ ส่วนพี่ยุก็ไปหลบอยู่บ้านญาติต่างอำเภอซักพัก
เช้ามาพ่อค้าเร่ก็มาแต่เช้าตรู่ พ่อแม่พี่ยุก็ต้อนรับขับสู้ไปตามประสา ตาพ่อค้าแกก็ไม่ยอมเสียเวลา แจ้งความจำนงค์ตามประสงค์ในทันที
พ่อพี่ยุก็ตบอกผาง บอกว่าไม่เห็นมีใครรู้เรื่อง อย่ามาพูดพล่อยๆ นะ ตอนนี้ลูกสาวแกก็ไม่อยู่ กลับไปได้แล้ว พูดเสร็จเขาก็ไล่ตะเพิดแกอย่างหมูอย่างหมา แกไม่พูดอะไรซักคำ แต่รู้ได้ว่าแกคงเจ็บแค้นอย่างหนัก แกมาคอยเฝ้าดักรอพี่ยุอยู่เป็นเดือนสองเดือน ทางนั้นก็รู้เอาตัวรอดเป็นยอดดี ไม่ยอมย่างกรายกลับมาเลย
จนวันหนึ่งมีคนเห็นแกเดินเข้ามาทำลับๆ ล่อๆ อยู่หลังเรือนพี่ยุ ท่าทางแกเหมือนคนบ้า บ่นอะไรพึมพำงึมงำอยู่คนเดียว ใครเข้าใกล้แก แกก็จะวิ่งไล่ตีเขาหมด คนที่เข้าใกล้แกได้ บอกว่าแกมักจะพูดว่า เงินทองกูยกให้ แต่ชีวิตมึงต้องให้กู อะไรนี่แหละ ก็ไม่ใคร่มีคนใส่ใจ เพราะเขาคิดว่าแกคงเสียใจจนสติไม่ดี จากนั้นไม่กี่วันก็ไม่มีใครเห็นแกอีกเลย
พอรู้ว่าแกไปแล้ว ทีนี้พี่ยุก็กลับมาบ้าน ใช้ชีวิตอย่างปกติสุข มีทองหยองใส่เต็มตัว คุณยายเคยถามแกว่าไม่สงสารเขาบ้างเหรอ
อยากโง่เองทำไมล่ะ แกตอบลอยหน้าลอยตา
หน้าฝนปีเดียวกันนั้น พี่ยุแกก็ล้มป่วย กินข้าวกินปลาไม่ได้เลย แกซูบผอมจนเหลือแต่หนังหุ้มกระดูก จากผิวพรรณสวยงามผุดผ่องของแก เดี๋ยวนี้แตกแห้ง หยาบกร้าน ลอกออกมาเป็นแผ่นๆ ตาคมๆ ของแกก็เหลืองขุ่นเหมือนไม่มีชีวิตชีวา เรียกว่าไม่เหลือเค้าโครงความสวยเลย
มีเรื่องแปลกอยู่เรื่องหนึ่ง วันพระวันโกนทีไรแกจะร้องห่มร้องไห้ แก้ผ้าตัวเองล่อนจ้อน แล้วก็วิ่งชนข้างฝาบ้าง เสาบ้าง จนหน้าแตกยับเยินไม่มีชิ้นดี พ่อแกต้องล่ามโซ่แกไว้ เพราะเวทนาแกหนักหนา พาแกไปหาหมอที่ไหนก็รักษาไม่ได้ แกป่วยอยู่สองปี จนพ่อแกหมดปัญญาจะรักษา เลยหันไปหาหมอผีหมอธรรมแทน เคยพามาดูเขาต่างก็ส่ายหน้า เขาว่านางนี่โดนของ เขาเอาหนัก กะจะให้ตาย แต่ไม่ให้ตายดีหรอก ให้ตายแบบทรมาน ช่วยอะไรไม่ได้แล้ว ใกล้ถึงวันที่เขากำหนดแล้ว
คนเป็นพ่อเป็นแม่พอรู้ว่าลูกกำลังจะตาย ใครล่ะจะนิ่งนอนใจได้ เที่ยวเสาะหาตามหา หมอไหนอาจารย์ไหนว่าดีไปหมด แต่ผลที่ได้ก็เหมือนเดิม พี่ยุไม่ดีขึ้นเลยมีแต่จะทรุดลงกว่าเดิม
อยู่มาวันหนึ่งมีพระธุดงค์รูปหนึ่งท่านมาจากไหนไม่มีใครรู้ ท่านปักกลดอยู่ท้ายหมู่บ้าน ท่านเดินมาหยุดอยู่หน้าเรือนคนป่วย ท่านถามเจ้าของเรือนว่าต้องการความช่วยเหลือไหม ถ้าต้องการท่านก็จะช่วย แต่ถ้าไม่ ท่านก็จะไม่ยุ่ง พ่อพี่ยุก้มกราบท่านแล้วบอกว่า
หลวงพ่อช่วยลูกข่อยทีเถอะ ว่าแล้วเลยนิมนต์ท่านขึ้นไปบนเรือน
คุณยายว่า พระท่านเห็นสภาพพี่ยุตอนนั้นท่านถึงกลับเบือนหน้าหนี ท่านคงสังเวชในภาพตรงหน้า หลวงพ่อท่านให้ไปหาไขไก่มาสี่ใบ ท่านก็สวดคาถาภาวนาจิตของท่าน คุณยายว่าฟังไม่ออกแต่รู้ว่าเป็นภาษาเขมร สวดไปซักพักท่านก็ยื่นให้พ่อพี่ยุแล้วบอกว่า
ใบแรกให้กลิ้งจากศีรษะด้านซ้ายลงมา กลิ้งออกไปที่ปลายแขนด้านซ้ายตลอดจนสุดนิ้วมือ
ใบที่สองกลิ้งจากศีรษะด้านขวาลงมา กลิ้งออกไปที่ปลายแขนด้านขวาตลอดจนสุดนิ้วมือเช่นเดียวกัน
ใบที่สามให้กลิ้งจากหน้าอกด้านซ้ายลงมา กลิ้งออกไปจนสุดปลายนิ้วเท้า
ใบที่สี่กลิ้งจากหน้าอกด้านขวาลงมา กลิ้งออกไปจนสุดปลายนิ้วเท้าเช่นเดียวกัน
พ่อพี่ยุก็ทำตามที่ท่านบอก ท่านก็รับไข่ทั้งสี่ใบมา จากนั้นท่านก็เอาสายสิญจน์ลากวนไปรอบๆ ไข่ไก่ เสร็จแล้วท่านก็ยื่นไข่ให้พ่อพี่ยุ ทุบให้แตกหมดทุกใบเลยนะท่านว่า
พ่อพี่ยุแกก็รับมาทุบลงพื้น ทุบกันจะๆ ทุบกันให้เห็นตรงหน้า ทันทีที่เปลือกไข่แตกออกแทนที่จะเป็นเนื้อไข่ดิบ กลับกลายเป็นของเหลวสีขุ่นขลั่ก มีเศษเนื้อชิ้นเล็กชิ้นน้อยปะปนอยู่ กลิ่นเหม็นจนสุดจะบรรยาย คุณยายแกนั่งดูอยู่ด้วยตอนนั้น แกว่ากลิ่นเหม็นเหมือนเศษเนื้อ หรือเศษอาหารเน่ามาแรมปี
หลวงพ่อท่านให้พี่ยุดื่มน้ำมนต์ ซักพักพี่ยุแกก็อ้วกออกมา แกอ้วกออกมามีแต่เศษใบไม้ เศษดิน เศษโคลน สงสารแต่แม่พี่ยุร้องไห้เจียนจะขาดใจ แกพนมมือไว้พระทั้งน้ำตา พร่ำพูดแต่ว่า
ใครมันทำร้ายลูกข่อยขนาดนี้
แกกอดพี่ยุที่มีแต่หนังหุ้มกระดูกเอาไว้ตลอด เหมือนกลัวว่าแกจะสูญเสียลูกสาวคนเดียวไป
เกือบตายแต่ดีนะที่ยังไม่ตาย ดีที่ยังมีบุญเก่าช่วยหนุนอยู่ ไปทำร้ายจิตใจเขา เขาเจ็บแค้นเลยทำคุณไสยใส่ เขาเอาดินที่ลูกสาวโยมอยู่อาศัย ไปทำพิธี ทำให้อยู่ไม่ได้ ร้อนดั่งไฟแผดเผา เขาใช้ปลาหมอตัวหนึ่งเป็นตัวแทนชีวิตของลูกสาวโยม
เขาขังปลาหมอตัวนั้นไว้ในโอ่งหลังบ้าน ไม่ให้อาหารมันกิน ปลามันก็ผ่ายผอมเพราะมันขาดอาหาร บางทีเขาก็แกล้งปล่อยน้ำออกจากโอ่ง ปลามันขาดน้ำมันก็ดิ้นทุรนทุราย กระเสือกกระสน ว่ายชนโอ่งบ้าง ไถไปกับโอ่งบ้าง อาการใดที่เกิดกับปลาตัวนั้น ลูกสาวโยมก็จะได้รับเช่นกัน เคราะห์ดีที่ปลาหมอตัวนี้ไม่ตายซักที มันอยู่มาได้ตั้งหลายปี ถ้ามันใจเสาะตายไป ป่านนี้ลูกสาวโยมชะตาขาดไปแล้ว
แล้วจะทำอย่างไรต่อไป แม่พี่ยุแกถามหลวงพ่อ
หลวงพ่อเลยบอกว่า ไม่ต้องทำอะไรดอก เวรกรรมทำหน้าที่ของมันแล้ว อโหสิกรรมให้เขาด้วย พ่อค้าเร่คนนั้นเขาเป็นโยมพี่ชายของอาตมาเอง เขาเพิ่งหมดอายุขัยตายไปได้ไม่กี่วัน เมื่อเขาตาย มนต์ต่างๆ ที่ฝังไว้ก็คลายหมดเช่นกัน เหลือแต่เสนียดจัญไร ของร้ายของไม่ดีที่ยังคงอยู่กับตัวลูกสาวโยมนี่แหละ
อาตมามาช่วยเพราะไม่อยากให้เกิดความสูญเสีย ไม่อยากให้ต้องอาฆาตจองเวรกันไปถึงชาติภพหน้า สิ่งใดไม่ดีอาตมาเอาออกให้แล้ว หมดเคราะห์หมดโศกเสียที จากนี้ไปก็ระมัดระวัง อย่าได้เที่ยวพูดจาหว่านเสนห์ล่อหลอกใครอีก ความรักมันจะกลายเป็นความแค้น ความแค้นนั้นก็จะย้อนกลับมาทำร้ายเรา จะพูดสิ่งใดต้องคิด อย่าให้เสียมิตรหรือมีศัตรูเพราะคำพูด อาตมาไปล่ะนะ เจริญพรโยม
คุณยายแกว่า พี่ยุก้มกราบหลวงพ่อทั้งน้ำตา เจ็บป่วยครั้งนี้แกคงสำนึกได้ พอแกหายป่วยแกก็กลายเป็นคนดีมีศีลธรรม ยึดมั่นถือมั่นอยู่ในศีลห้ามาโดยตลอด ชาวบ้านละแวกนั้น จะเห็นแกนุ่งขาวห่มขาวไปวัดฟังธรรมอยู่เสมอ จวบจนวาระสุดท้ายของชีวิต
ขอขอบคุณที่มาเรื่องเล่าจากคุณ Bee Sirinthip

กดแชร์บทความ