เรื่องมีอยู่ว่าตอนผมอายุประมาณ 23-24 ปี ผมคบกับแฟนคนหนึ่ง บ้านพักเขาอยู่ติดกับวัดแห่งหนึ่งในจังหวัดสมุทรปราการย่านแฟลตทหารเรือ แฟนผมได้ชวนผมไปบ้านเค้า พอผมไปถึงเดินผ่านบริเวณวัด ก่อนเดินไปตามทางริมคลอง ซึ่งเป็นทางปูนน่าจะประมาณ 1 เมตรเศษ พอเดินทางปูนริมคลอง ก็เดินลัดเลาะไปตามทางเล็กๆ เพื่อเข้าบ้านแฟนผม
แฟนผมชื่อวีครับ พอผมถึงบ้านวี ผมได้เจอกับครอบครัววีเป็นครอบครัวใหญ่อยู่กันหลายคนมาก มียาย พ่อ น้า น้าเขย น้าสะใภ้ น้องๆ หลานๆ วี ยั้วเยี้ยเต็มไปหมด แถมพื้นที่บริเวณชั้นล่างของบ้าน ยังเป็นพื้นที่ที่เหล่าบรรดายายๆ ป้าๆ เอาไว้บวกเลขฝึกสมองกันอีกด้วย
ผมไปถึงก็สวัสดีทุกๆ คน นั่งอยู่ชั้นล่างของตัวบ้านสักพัก ที่บ้านวีลักษณะเป็นบ้านไม้ 2 ชั้น ชั้นล่างมีโถ่งใหญ่กลางบ้าน ไว้ให้พวกยายๆ ป้าๆ นั่งคิดเลขบวกเลขกัน ด้านหลังเป็นห้องส้วมแล้วก็ห้องน้ำ มีกำแพงติดกับกำแพงวัดซึ่งใช้กำแพงเดียวกันเลยก็ว่าได้ ซึ่งตอนนั้นบ้านวีกำลังต่อเติมกั้นห้องเพิ่ม บริเวณชั้นล่างทำเป็นห้องใต้บันได (ถ้าหันหน้าเข้าบ้าน บันไดจะอยู่ตรงกลางชิดด้านหลัง ด้านขวาเป็นห้องน้ำ ด้านซ้ายเป็นห้องที่กำลังต่อเติม)
วันนั้นผมไปถึงบ้านวีตั้งแต่ช่วงสายๆ ก็เลยได้ไปนั่งกินข้าวนั่งคุยกับบรรดาผู้ใหญ่ที่บ้านวี ผมเอะใจว่าทำไมมีพวกกับข้าวต้ม ขนม นมเนย ที่ใส่บาตรเยอะจัง ผมเลยถามวีไป วีบอกว่า
อ้อตาเราบวชเป็นพระ เป็นหลวงตาที่วัดข้างหลังนี่แหละ
ผมเลยถึงบางอ้อ วีบอกต่ออีกว่า
เวลาวันพระวันโกนของจะเยอะมาก เพราะคนมาทำบุญกับหลวงตาเยอะ บางทีบ้านเรากินไม่หมดก็เอาไปแจกจ่ายคนเร่ร่อนบ้าง ญาติๆ กันบ้าง ให้ทานหมาแมวบ้าง
ผมก็อมยิ้มเพราะรับรู้ได้ถึงผลบุญจากการให้ทานที่วีเล่าให้ผมฟัง จนตกเย็น พ่อของวีชวนผมดื่มเหล้า อาจเพราะด้วยตัวผมเอง ดูเหมือนเป็นคนเรียบร้อยเหมือนผ้าที่ใช้เท้ายัดไว้ในใต้ถุนอีกที ผมเลยบอกพ่อวีไปด้วยความเคารพว่า
จะพอหรือครับพ่อกลมเดียว
เต็มที่เลยลูก หมดกลมนี้เอ็งออกนะ
ผมเลยยิ้มแบบแหยๆ ไปด้วยความเกรงใจ ผมก็นั่งดื่มกับพ่อวีไปจนกระทั่งในตอนนี้ เหลือผมนั่งอยู่กับวีกับวงไพ่ตองที่ยายของวีเป็นเจ้า เพราะพ่อวีเมาพับหลับไปก่อน ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ เวลาในตอนนั้นประมานเกือบจะเที่ยงคืนแล้ว อากาศก็เย็นลงเพราะบ้านวีเป็นกึ่งสวนอยู่ติดคลอง
ผมเลยถามวีว่า จะผมนอนที่ไหนล่ะ (น้ำไม่อาบละเพราะหน้าหนาว) วีทำหน้าเขินๆ แล้วบอกผมว่า นอนบนบ้านไง เดี๋ยวขึ้นไปจัดที่นอนให้นะ ผมแอบยิ้มในใจ หึ หึ สักพักวีก็ลงมาเรียกผมขึ้นไปบนบ้าน ผมเดินตามวีไป โดยที่วงไพ่ตองข้างล่างไม่ได้สนใจอะไรกับผมเลย ได้แต่ลุ้นกันตัวเกร็ง
พอผมขึ้นไป วีบอกผมว่า นอนห้องนี้นะ (ขออธิบายก่อน ห้องนั้นเป็นห้องกว้างประมาน 3 เมตร ยาวประมาน 4-5 เมตร ซึ่งอยู่ทางหลังตัวบ้านถ้าเปิดหน้าต่างไปก็เจอวัดเลย เพราะห้องนี้อยู่เหนือห้องน้ำหลังบ้าน) ผมบอกวีว่า ให้ผมนอนกับใครล่ะ วีบอกนอนกับพี่ชายเรา แต่พี่ชายวันนี้ไม่กลับบ้าน เลยต้องนอนคนเดียวไปก่อนละกัน
ผมนี่เอ๋อแดรกทันที แต่ผมก็พยายามทำใจดีสู้เสือเอาไว้ เพราะวงคิดเลขข้างล่างน่าจะเลิกกันดึกดื่นเผลอๆ ยันเช้าด้วยซ้ำ ผมนอนโดยหันเท้าไปทางหน้าต่างซึ่งเปิดไปจะเห็นวัด ด้านล่างเป็นห้องน้ำ ผมนอนไปสักพักก็เคลิ้มหลับ
จนราวๆ ตี 3 ก็รู้สึกปวดฉี่ จึงเดินลงไปเข้าห้องน้ำข้างล่าง พอลงไปก็ใจชื้นขึ้นหน่อย เพราะห้องน้ำเปิดไฟไว้ แต่วงไพ่กลับกันหมดแล้ว ส่วนในครัวก็เปิดไฟไว้ ยายของวีนอนตรงตั่งไม้ข้างล่างโดยหันเท้ามาทางบันได เพราะยายของวีอ้วนมากๆน่าจะเป็นไขข้อเสื่อม น้ำหนักตัวเยอะ จึงขยับไปไหนได้ไม่ไกล (่แต่ทำไมนั่งเล่นไพ่ได้เป็นวันๆ) พอผมทำธุระเสร็จจึงขึ้นไปนอน พลิกไปพลิกมาพยายามข่มตาหลับก็ไม่หลับ สักพักผมก็ได้ยินเสียง
วี๊ดดดดดดดด!!!
ผมเอะใจว่านี่มันตีอะไรละวะ ทหารยังมาซ่อมกันตอนนี้ ดูนาฬิกาเวลาตอนนั้นตี 3.25 น. ผมนอนฟังอยู่แบบนั้น เสียง วี้ดดดดด ก็ดังมาอีกครั้ง เสียงมันยาวกว่าคนจะเป่านกหวีดได้นานขนาดนั้น น่าจะเสียงลากยาวประมานเกือบ 5 นาทีได้ ถ้าเป็นคนคงหมดลมตายก่อนเป็นแน่แท้
และอีกอย่างเสียงมันไม่ได้ดังมาจากหัวนอนซึ่งเป็นแฟลตทหาร เสียงมันมาจากปลายเท้าเรา ความสงสัยเกิดในหัว ตอนนั้นบอกตรงๆ ไม่ได้คิดเรื่องผีสางเลย คิดสงสัยแค่ว่าเสียงนกหวีดอะไรมันมาดังตอนตี 3 ซะมากกว่า
นอนฟังอยู่แบบนั้น จนลุกขึ้นนั่งแล้วเอาหูแนบหน้าต่างฟัง เห้ย! ชัดเลย (นึกภาพตามนะครับ หน้าต่างเป็นบานพับไม้แบบ 2 บาน ประกบเปิดปิดเข้าออกหากัน มีกลอนตรงกลาง) ซึ่งด้วยความกล้าหรือความสงสัยยังไงก็ไม่ทราบ ผมค่อยๆ แง้มหน้าต่างบานนั้นออก
แต่! หน้าต่างเจ้ากรรมเหมือนผ่านการใช้งานมาสุดจะทน ตรงบานพับมันฝืดมาก เสียงมันเลยดัง เอี๊ยดดด ผมจึงชะงักแล้วหยุด เสียงวี้ดยาวๆ นั้นก็ดันหยุดตามผมด้วย ผมเอาตาแนบแอบดูตรงร่องระหว่างช่องแคบๆ นั้นประมาณไม่กี่เซน
ด้วยที่ห้องน้ำด้านล่างเปิดไฟไว้ แสงไฟที่ลอดผ่านช่องอิฐระบายอากาศ ได้สาดแสงไปตกกระทบกับวัตถุหนึ่ง ซึ่งในตอนนั้นมันอยู่เกือบจะสุดปลายแสงแล้วด้วยซ้ำ มันจึงค่อนข้างเลือนลาง ผมเห็นเป็นลักษณะเหมือนต้นไม้ยืนต้น ลำต้นตรงๆ สีดำๆ ซึ่งดำกว่าความมืด มันโอนเอนไปมาช้าๆ ผมเลยคิดในใจว่า อ้อวัดนี้คงปลูกต้นหมากไว้ ร่มรื่นดี พร้อมกับลืมเสียงวี้ดนั้นไป ผมจึงปิดหน้าต่างพร้อมล้มตัวลงนอน แล้วหลับไปในที่สุด
ตื่นเช้ามาตอนราวๆ 6 โมงกว่า ผมลงมาอาบน้ำ กินข้าวเช้ากับวี นั่งกินข้าวกันไป ผมก็ถกเรื่องนี้มาคุยกับวี วีบอกว่า
เป็นเสียงนกรึป่าว แถวนี้นกเยอะนะ
ไม่น่าใช่นะ นกอะไรเสียงแหล้มแหลม เสียงยาวด้วย เราว่าเค้าฝึกทหารกันมากกว่า
บ้าเหรอ! นี่มันแฟลตทหารเรือนะ ไม่ใช่ค่ายทหาร จะมีทหารมาฝึกได้ไง!
ผมก็เอ้อ! ลืมคิดไป เพราะเคยเป็นทหารมาเลยชินกับเสียงนกหวีด จู่ๆ ยายของวีก็พูดแทรกขึ้นมาว่า
แม่งเอ๊ย! เมื่อคืนเปรตบ้านใครวะ มาวี๊ดๆ อยู่หลังบ้านเรา ตอนตี 3 กว่า!
พอผมได้ยินดังนั้น ช้อนที่กำลังจะตักข้าวเข้าปาก หลุดจากมือหล่นใส่ชามดัง เพล้ง! ทุกคนในบ้านหันมามองผมเป็นตาเดียวกันหมด วีเลยบอกยายว่า นี่ไงๆ เสียงที่ผมได้ยินตอนตี 3 กว่า ยายวีบอกว่า
ดีนะเอ็งได้ยินแค่เสียงมัน ยายเห็นขามันยืนโยกๆ เยกๆ อยู่หลังบ้านเราแน่ะ!
ผมนิ่งเงียบพร้อมกับนึกในใจว่า รึต้นหมากที่ผมเห็นเมื่อคืนมันคือ คิดได้ดังนั้น ผมเลยบอกวีว่า
วีขึ้นไปบนบ้านกับเราหน่อยสิ
ผมจูงมือวีตรงปรี่ขึ้นไปบนห้องที่ผมนอนเมื่อคืน พอผมพาวีขึ้นไปบนห้อง แล้วเราก็ตรงไปที่หน้าต่าง ผมยืนหลับตาทำใจอยู่ครู่นึง ก่อนจะสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ แล้วเปิดหน้าต่างนั้นออกไป ผมถามวีทั้งๆ ที่ยังไม่ลืมตาว่า
วีเห็นอะไรไหม
เห็นสิก็โบสถ์ไง มีอะไรเหรอ?
ผมบอกไม่ๆ อย่างอื่นล่ะ วีบอกให้ผมว่าลืมตาแล้วมองเองดีกว่า เพราะเธอไม่รู้ว่าผมต้องการสื่อถึงอะไร ก่อนผมจะลืมตา ผมพูดในใจ ว่าขออย่าให้เป็นอย่างที่ผมคิดเลย ผมลืมตาขึ้นมา แล้วมองไปตรงหน้ามันคือความว่างเปล่า เห็นเพียงโบสถ์ที่อยู่ห่างออกไปประมาน 15 เมตร พื้นที่ตรงนั้นโล่งไม่มีอะไรเลย แล้วต้นหมากที่ผมเห็นเมื่อคืนนี้ล่ะ?!!
ขอขอบคุณผู้ใช้เฟซบุ๊กนาม เจ้าชาย ในกระจกเงา
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่ คลังสยอง

กดแชร์บทความ