เรื่อง เจ้ากรรมนายเวร ตอนแรก >> คลิกลิงก์นี้
เรื่องนี้เป็นเหตุการณ์ต่อเนื่องที่เกิดขึ้นหลังจากผมกลับมาจากลำพูนแล้ว
ในอีกสองสามวันต่อมา ผมมีนัดพบลูกค้าที่อำเภอชาติตระการในจังหวัดพิษณุโลก เพื่อเยี่ยมลูกค้าและส่งมือถือพร้อมกับชุดอุปกรณ์กล้องวงจรปิดไร้สายที่สามารถเปิดดูได้ผ่านแท็บเล็ต ในยุคนั้นเป็นอะไรที่น่าตื่นตาตื่นใจมากและผมก็พร้อมที่จะนำเสนอให้กับลูกค้าเต็มที่ เพราะได้ค่าคอมมิชชั่นพิเศษเสริมเข้ามา แต่เนื่องจากอำเภอชาติตระการอยู่ไกลจากอำเภอเมืองประมาณร้อยกิโลเห็นจะได้ และเส้นทางก็เป็นภูเขาสลับซับซ้อน ถึงแม้ว่าผมจะออกจากหอพักแต่เช้าก็ตาม ก็ต้องกลับมืดค่ำอยู่ดี เพราะกว่าจะไปถึงลูกค้าในแต่ละจุดของอำเภอรวมกับการสาธิตกล้องวงจรปิดและปิดการขายก็กินเวลาอยู่มากโข
ในวันนั้นเอง ผมสามารถขายกล้องวงจรปิดได้หนึ่งชุดมูลค่าแปดพันกว่าบาท รวมทั้งมือถือรุ่นต่างๆ อีกประมาณสองหมื่นบาท ฟังดูเหมือนจะน้อยใช่มั้ยครับ แต่ผมขายเป็นเงินสดนะ เพราะนโยบายของบริษัทที่ต้องขายสินค้าเงินสดเท่านั้น และจะต้องโอนเงินค่าสินค้าวันต่อวันอีกด้วย
ผมขับรถคันเก่าของผมกลับหอพักในเมืองด้วยอารมณ์ที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมกับโทรแจ้งหัวหน้าของผมว่าวันนี้จะโอนเงินเข้าบริษัทมืดๆ หน่อยเพราะพึ่งกลับจากลูกค้า
ในช่วงเวลานั้นก็เป็นช่วงเย็นโพล้เพล้พระอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้ซักพักใหญ่ ผมขับเปิดกระจกกินลมชมวิวเสมือนหนึ่งว่าเรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับผมมาก่อนหน้านี้แทบไม่ได้มีความหมาย (คนที่สงสัยกรุณากลับไปอ่านภาคแรกนะครับ) แต่เปล่าเลยครับ ความสยองขวัญบทใหม่มันกำลังจะเริ่มบรรเลงขึ้นต่างหาก
ถนนที่ทอดยาวไปตามทางคดเคี้ยวของไหล่เขา ทำให้ผมไม่สามารถทำความเร็วได้ถนัดนัก บวกกับท้องฟ้าที่มืดแล้วจึงต้องขับแบบปล่อยเลยตามเลยถึงเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น ช่วงทางลงเขาก่อนตัดเข้าถนนใหญ่เริ่มมีไฟทางเข้ามาบ้างทำให้พอเห็นเส้นทางข้างหน้าได้ชัดขึ้น
จนกระทั่งมีวัตถุบางอย่างตั้งขวางอยู่กลางถนนบนเลนซ้ายที่รถของผมกำลังวิ่งอยู่ มองไกลๆ เหมือนกับเงาดำของต้นไม้ที่ตกกระทบจากแสงของหลอดไฟที่ส่องข้างทาง แต่พอรถเคลื่อนตัวเข้าไปใกล้มากขึ้น เงาดำนั้นก็ค่อยๆ ถอยตัวห่างออกไป ราวกับว่ามันเป็นรถนำขบวนที่รักษาระยะห่างด้วยความเร็วที่พอสมควร ผมฉุกคิดในใจเลยว่า
‘เอาอีกแล้วห่าเอ๊ย! ใจคอพวกมึงนี่จะเล่นกูให้ได้เลยใช่ไหม กะไม่ให้กูได้พักผ่อนหย่อนใจเลยว่างั้นเถอะ!’
จากความกลัวกลายเป็นความโกรธบวกกับรำคาญกับการรังควาญที่ไม่จบสิ้นของสิ่งเหล่านี้ ผมเหยียบคันเร่งใส่เลยครับและดูเหมือนจะได้ผลซะด้วย เมื่อเข้าสู่ทางตรงเพราะรถเร่งความเร็วเร่งได้เต็มที่ ระยะห่างใกล้เข้ามาทุกทีจนผมเห็นเงาดำนั้นได้ชัดขึ้น รูปร่างของมันสูงใหญ่ตัวดำทะมึน ปรากฏให้เห็นเป็นชายที่มีร่างกายกำยำยืนกางแขนและกางขา ลอยตัวไปตามถนนนำหน้ารถของผมไป ยิ่งผมเห็นชัดขึ้นเท่าไหร่มันยิ่งไม่มีเหตุผลที่จะชะลอความเร็วหรือเบรคอีกต่อไป
ผมเหยียบใส่จนใกล้จะถึงตัวมันแล้วอีกแค่นิดเดียวเท่านั้น ห่างกันกับรถผมแค่เมตรกว่าๆ ผมก็เห็นหน้ามันชัดขึ้น แต่มันไม่มีหน้าครับ ซึ่งผมเองก็เตรียมใจรอไว้อยู่แล้ว จึงไม่สติแตกพร้อมแลกกับมันให้รู้แล้วรู้รอดกันไปข้างนึง มันฉีกยิ้มออกมาเป็นแสงสีขาวนวลๆ พร้อมกับกระโดดเข้าข้างทางจนผมตะโกนออกมาสุดเสียง
เฮ้ยยยยยย!!!
ผมไม่ได้ตกใจที่มันยิ้มให้พร้อมกับกระโดดหนีหรอกนะ แต่ภาพตรงหน้าผมหลังจากมันกระโดดไปแล้วนี่สิ สิบล้อครับ! ไฟแดงโล่สาดเข้ามาที่ตาบวกกับแถบสีเขียวสะท้อนแสงที่แทงเข้ากระจกมาอย่างจัง มันทำให้ผมต้องเหยียบเบรคตัวโก่ง
เสียงล้อที่เสียดสีกับถนนดังไปทั่วบริเวณ ก้องกังวานออกไปเป็นทอดๆ แล้วค่อยๆ หายไป ผมนั่งค้างอยู่หน้าพวงมาลัยพร้อมกับเปิดไฟผ่าหมากไว้ เสียงไฟกะพริบที่เป็นจังหวะบวกกับการสูดลมหายใจเข้าออกถี่ๆ หลายครั้งทำให้ผมใจเต้นช้าลงและเริ่มควบคุมสติได้
ผมจอดรถแช่อยู่พักใหญ่ พลันนึกถึงไอ้เงาดำห่าเหวนั่น มันตั้งใจยั่วโทสะผม พร้อมกับหลอกล่อให้ผมเร่งความเร็วพุ่งเข้าหามันโดยที่บังตาภาพเบื้องหน้าเอาไว้ไม่ให้ผมเห็นสิบล้อที่วิ่งอยู่
สุดยอดดด!
ผมอุทานออกมาด้วยความตกตะลึงในกลอุบายของมัน นี่สินะสาเหตุที่ทำให้เกิดอุบัติเหตุตายโหงจากสิ่งที่มองไม่เห็น แต่ในทางกลับกันถ้าผมเบรคไม่ทันล่ะ อะไรจะเกิดขึ้น! หน้ารถผมคงมุดเข้าไปใต้สิบล้อชนอัดยับตายคาที่ไปแล้วน่ะสิ
หลังจากที่ผมกลับเข้าสู่สภาวะปกติแล้ว ผมก็เปิดไฟเลี้ยวหักพวงมาลัยกลับเข้าสู่เส้นทางเพื่อมุ่งหน้าสู่อำเภอเมืองต่อไป
ผมขับกลับมาถึงตัวเมืองราวๆ สองทุ่มเห็นจะได้ และแวะกินบะหมี่ปูที่มีน้ำซุปหอมชื่นใจ เพื่อผ่อนคลายความเหนื่อยล้าและตึงเครียดของสมองกับสิ่งที่ผมได้เจอมา ในใจก็นึกว่าหลังจากถึงหอแล้วจะเจออะไรอีกไหมนะ ทางเข้าหอใกล้ๆ แค่นี้คงไม่มีอะไรแล้วล่ะมั้ง จะได้กลับไปอาบน้ำๆ เปิดแอร์เย็นๆ พักผ่อนให้เต็มที่เฮ้อออออ…ทำไมคนอย่างเราจะต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วยเนี่ย คนอื่นๆ ก็ไม่เห็นจะเจอกัน เล่าให้ใครฟังเค้าก็หาว่าบ้า น่าเบื่อจริงๆ’
หลังจากตัดพ้อตัวเองแล้ว ผมก็ขับรถกลับหอโดยเข้าไปที่ทางลัดซึ่งเป็นถนนแคบๆ เลาะชายทุ่งนาบรรยากาศต่างจังหวัดนี่มันดีจริงๆ ให้ตายสิ ผมเปิดกระจกลงสองฝั่งอย่างละครึ่งให้ลมโกรกเข้ามา ขับไปเรื่อยๆ อย่างใจเย็นจนต้องมาสะดุดกลับกลิ่นเหม็นๆ ที่ลอยมาเตะจมูกเข้าอย่างจัง ผมนึกใจ
‘กลิ่นอะไรวะ?’
เพราะโบราณท่านได้ห้ามไว้ ถ้าได้เห็น ได้กลิ่น ได้ยินเสียงอะไรที่ผิดปกติกลางค่ำกลางคืนอย่าร้องทักเพราะของอาจเข้าตัวได้ แต่กลิ่นเหม็นเน่านี้มันกลับทวีความรุนแรงขึ้น กลิ่นมันเหมือนซากสัตว์ที่เน่าเปื่อยแบบขั้นสุดผสมกับกลิ่นสาปแบบชวนคลื่นเหียนอาเจียนได้เลยทีเดียว ผมจึงเอามือหมุนปิดกระจกฝั่งของตัวเองด้วยความรวดเร็วพร้อมกับหันไปมองนอกหน้าต่างขณะหมุนกระจกขึ้นว่ามีซากสัตว์อะไรตายข้างทางบ้างรึเปล่า
แต่ขณะที่ผมหันกลับมาเพื่อที่จะเอื้อมมือไปหมุนปิดกระจกอีกฝั่งนั้น ผมถึงกับต้องผงะสะดุ้งแบบสุดตัว ใจมันหายวูบ เพราะสิ่งที่ผมเห็นอยู่ตรงหน้าคือ ชายรูปร่างสูงใหญ่ตัวแดงทั้งตัว ตามเนื้อตามตัวเหมือนฉาบไปด้วยของเหลวเน่าๆ เยิ้มๆ คล้ายน้ำเหลืองปนเลือด นั่งหลังตรงไม่พิงเบาะ มือวางแนบไว้บนตักทั้งสองข้าง ดวงตามองไปข้างหน้า แต่ผมรับรู้ได้ถึงความคับแค้นใจอะไรบางอย่าง
ผมสติหลุดเลยครับทำได้แค่จับพวงมาลัยขับไปตามทางเท่านั้น มันเหมือนกับว่าเวลาหยุดเดินแล้วสตาฟผมไว้กับชายลึกลับคนนี้ เสียงลมที่พัดเข้ามาจากทางฝั่งคนนั่ง กระทบกับพระที่ห้อยอยู่หน้ารถเสียงดัง กร๊องแกร๊งๆๆ มันเย็นยะเยือกหนาวจับใจไปถึงกระดูกดำ พลันนึกในใจ ขนาดพระในรถมึงยังไม่กลัว คงไม่ใช่วิญญาณธรรมดาเป็นแน่
ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะแต่ก็รวบรวมความกล้า ถามออกไปแต่ปากขยับไม่ได้ครับ จะตะโกนให้คนช่วยก็ไม่ได้ นี่ผมโดนอำเหรอเนี่ย ไม่อยากจะเชื่อ! ปกติผีจะอำได้ก็ต่อเมื่อจิตของคนคนนั้นอ่อนแรงไม่มีสติควบคุมแล้ว ซึ่งจะอำได้ง่ายที่สุดตอนนอนหลับหรือตอนเคลิ้มๆ กึ่งหลับกึ่งตื่น ที่พูดมานี่คือผมโดนมาครบหมดแล้ว แต่เฮ้ยยย! นี่ผมขับรถอยู่ มีสติสัมปชัญญะครบถ้วน มึงยังสามารถอำกูได้อีกเหรอ
ด้วยสัญชาตญาณของคนที่มีภยันอันตรายเข้ามาใกล้ตัว ไม่ว่าคนหรือสัตว์จะต้องขู่ไว้ก่อน ยิ่งเสียงดังยิ่งดี ผมจึงตะโกนออกไปเป็นการพูดคุยกันทางจิต
มึงเป็นใคร มึงต้องการอะไร!
..……  มันนิ่งเงียบไม่ตอบ
กูถามว่ามึงเป็นใคร! ผมตะโกนใส่ในจิต
ทันใดนั้นเอง มันเริ่มกลอกตามาหาผม พร้อมขยับหน้าเอียงมา แล้วแหกปากตะโกนสุดเสียง
มึงฆ่าพวกกูทำไม!!!
เสียงของมันลากยาว ก้องเข้ามากระทบโสตประสาทผม จนหัวใจผมแทบจะหลุดออกมากองตรงนั้นให้ได้ หูของผมวิ้งไปหมดเหมือนคนโดนตบเข้าไปที่กกหูอย่างจัง มันตกอยู่ในอาการเบลอเหมือนเมาหมัดเลยทีเดียว
แล้วทันใดนั้นเอง ภาพเหตุการณ์ในอดีตชาติที่เค้าต้องการจะสื่อสารกับผมก็กระแทกเข้ามาที่จรดหว่างคิ้วเข้าอย่างจัง มันเป็นภาพคล้ายๆ หนังกางแปลงที่เคลื่อนไหวไปมาแบบสั่นๆ แต่ไร้ซึ่งเสียงใดๆ เป็นภาพการสู้รบกันในพื้นที่เล็กๆ แห่งหนึ่งคล้ายหมู่บ้านที่มีไฟลุกท่วมโชกโชน ผมเหมือนลอยอยู่ในอากาศ มองเห็นภาพเบื้องหน้าราวกับว่าดูหนังอยู่บนอัฒจรรย์
แล้วสักพักภาพก็ตัดมาเป็นชายคนหนึ่งหน้าตาเหี้ยมเกรียม ถือดาบสองมือกำลังไล่ฆ่าคนในหมู่บ้านอย่างสนุกสนานกับพรรคพวก ราวกับว่าเป็นกลุ่มโจรปล้นฆ่าเผาทำลาย ผมเห็นผู้ชายคนนึงกำลังยกมือไหว้ร้องขอชีวิตข้างๆ ชายคนนั้นมีเมียและลูกน้อยที่ตัวสั่นร้องไห้กอดกันด้วยความกลัว แต่ก็หาทำให้ชายผู้มีใบหน้าโหดเหี้ยวผู้นั้นสงสารไม่ เค้าจับผู้หญิงดึงหัวขึ้นมาแล้วเอาดาบปาดคอต่อหน้าเลือดไหลอาบลงมาเต็มหน้าอก ตามด้วยเอาดาบที่อยู่อีกมือหนึ่ง เสียบเข้าไปที่ตัวเด็กแล้วชูขึ้นหัวเราะด้วยความสะใจ คนเป็นพ่อจึงลุกพุ่งเข้ามาด้วยความโกรธแค้นจนขีดสุดแต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้ เค้าโดนลงดาบไปที่ตัวอย่างนับครั้งไม่ถ้วน ตามด้วยโดนถีบเข้ากองไฟที่กำลังโหมกระหน่ำอย่างแรง ร่างนั้นได้แต่ยกแขนขึ้น ตวัดกวัดแกว่งไปมา ดิ้นทุรนทุรายด้วยความน่าสงสารสุดเวทนา
นั่นคือเราเหรอเนี่ยไม่น่าเชื่อ! น้ำตาผมไหลออกมาแบบไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่มือก็ยังกำพวงมาลัยขับรถต่อเข้ามาได้จนถึงหอพัก
รถเข้าไปจอดใต้หลังคาโรงจอดรถอย่างช้าๆ จากความกลัวกลายเป็นความน่าสมเพชเวทนาบวกกับความช็อค ผมดับเครื่องยนต์พร้อมกับชายคนนั้นที่ดับสูญอันตรธานหายไป ไม่มีทั้งภาพ ไม่มีทั้งกลิ่น ไม่มีทั้งเสียงใดๆ เสมือนว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้นตรงเบื้องหน้ามาก่อน
ผมเดินอย่างหมดเรี่ยวแรงเข้าหอพัก กดลิฟต์ขึ้นชั้น 4 พอเข้าห้องได้ก็ถอดเสื้อผ้าอาบน้ำอุ่น นั่งแช่อยู่เป็นชั่วโมงบวกกับน้ำตาที่มันไหลออกมาไม่หยุด ความโศกเศร้าเสียใจที่ถูกถ่ายทอดออกมาผ่านเวทนาที่หลงเหลือตกค้างของชายคนนั้น มันทำให้ผมได้สำนึกถึงสิ่งที่ผมได้กระทำลงไปเมื่อครั้งอดีต
คืนนั้นผมจึงโทรหาอาจารย์ที่สอนกรรมฐานผม ท่านเป็นฆราวาสเป็นชาวบ้านธรรมดาทั่วไปที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ท่านชื่ออาจารย์อมตะครับ ผมได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ท่านฟัง ท่านจึงได้คำแนะนำแก่ผมว่า
โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้เห็น โชคดีแค่ไหนแล้วที่ได้รับผลกรรมไวกว่าคนอื่นๆ จะได้รีบชดใช้ให้หมดๆ กันไปในชาตินี้ ขอให้ระลึกสำนึกจากใจจริง นั่งสมาธิแผ่เมตตาออกไป เค้าจะต้องรับรู้ได้อย่างแน่นอน ให้ไปเรื่อยๆ ถึงเค้าไม่รับก็ให้ไป ธรรมดาจิตที่มีโทสะอยู่ย่อมไม่ฟังใคร เหมือนเราที่กำลังโกรธอยู่ ใครพูดอะไรก็ไม่ฟังใช่ไหมนั่นแหละเหมือนกัน แผ่เมตตาไปเรื่อยๆ ให้จิตเค้าเย็นลงสงบลง แล้วรับรู้ได้เมื่อไหร่ ทั้งเค้าและเราก็จะหลุดพ้นจากบ่วงกรรมนี้เอง
สุดท้ายนี้ก็ขึ้นอยู่กับวิจารณญาณของแต่ละบุคคลนะครับ ที่ผมนำมาถ่ายทอดไม่ได้จะให้เชื่องมงายในเรื่องของภูตผีวิญญาณ แต่อยากให้ทุกคนเชื่อในกฎแห่งกรรมและตั้งมั่นอยู่ในความดี  ขอให้หยิบยกไปแต่ในสิ่งที่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ตนเองได้ก็เพียงพอครับ สวัสดี
นวริณ  ปริณชร

กดแชร์บทความ