อาชีพของกระผมเป็นพนักงานส่งเอกสารประจำบริษัทแห่งหนึ่ง ในทุกๆ เช้าผมจะมีหน้าที่มารับเอกสารจากฝ่ายต่างๆ ของบริษัท
อ้อผมลืมแนะนำตัวไป ก่อนอื่นผมขอแนะนำตัวเองก่อนนะครับท่านผู้อ่าน ผมชื่อบอล ปัจจุบันอายุยี่สิบสองปี ผมต้องขอบอกก่อนนะครับ เรื่องที่ผมจะเล่าดังต่อไปนี้เป็นเรื่องจริงไม่อิงนิยาย เป็นเรื่องที่ผมเจอะเจอมากับตัว พูดแล้วยังขนลุกไม่หายเลย ไม่นึกไม่ฝันว่าชาตินี้จะมาเจอเรื่องราวแบบนี้ได้ ผมขอเข้าเรื่องเลยละกันนะครับ
“บอล เดี๋ยวไปเก็บเช็คบริษัทนี้ให้พี่หน่อยนะ เมื่อวานใช้ตาจวนไปก็ไม่ได้กลับมา วันนี้เราว่างพี่วานไปอีกหนนะ”
พี่ออยเป็นพนักงานบัญชี มักจะใช้ผมไปทำงานรับเช็ค วางบิล ติดตามเอกสารต่างๆ ของแผนกอยู่เสมอ ด้วยความที่พี่ออยเป็นคนที่มีอัธยาศัยดี นิสัยดี พูดจาเข้าใจง่ายแถมใจดีอีกต่างหาก ทำให้เวลาพี่ออยสั่งงานผมมักจะได้รับหน้าที่ไปทำเสมอ แตกต่างจากพนักงานบัญชีคนอื่นๆ ที่ผมมักจะไม่ถูกคอ ยังมีเจ้มาลัยเจ้าแม่ฝ่ายบัญชีด้วย แล้วมีเรื่องทำให้ผมโดนด่าเป็นประจำ แหมก็แมสเซ็นเจอร์กับฝ่ายบัญชียังไงก็เป็นของคู่กันละครับ ก็เหมือนน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่าอย่างไงอย่างงั้น และไอ้เรื่องที่พี่ออยให้ผมไปรับเช็คนี่แหละคือจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้
เกือบจะสิบโมงแล้วที่ผมขับรถมอเตอร์ไซค์คู่ใจขับมาถึงที่บริษัทแห่งนี้ ก่อนอื่นผมขอบอกก่อนเลยนะครับว่า ผมยังไม่เคยมาเก็บเช็คบริษัทแห่งนี้เลย เพราะปกติเส้นทางสายนี้ผมไม่ได้มีหน้าที่มาเก็บเช็ค ผมจะวิ่งผ่านเส้นทางสายอื่นและอาจเป็นวันดวงซวยของผมก็ได้ที่ต้องมาเจอเหตุการณ์ที่ไม่มีวันลืมไปจนชั่วชีวิต
“โถ่ ขับรถภาษาอะไรของมันวะ ไม่ดูตาม้าตาเรือบ้างเลย คิดจะแซงก็แซงอย่างนั้นเหรอวะไอ้บ้า”
ผมสบถคำด่ารถเก๋งคู่กรณีออกไป หลังจากขับปาดซ้ายแซงจนเกือบชนรถมอเตอร์ไซค์ของผม ดีที่ผมอาศัยความชำนาญในการขับรถหลบหลีกได้ทันผมเลยไม่ได้ใส่ใจ ขับรถออกมาจากตรงนั้น ขับมาได้ไม่นานเสียงรถหวอขอทางกั้นอยู่อีกฝั่ง เห็นรถพยาบาลกำลังขับในความเร็วไปรับผู้ได้รับบาดเจ็บจากรถชนกัน
ผมไม่ได้ฟังหรอกว่ารถอะไรชนกัน เพราะผมก็เพิ่งผ่านเหตุการณ์มาเมื่อครู่ เมื่อคิดภาพกลับไปแล้วมันก็ทำให้ผมอกสั่นขวัญแขวนได้มากทีเดียว อุบัติเหตุสมัยนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
ที่เคาน์เตอร์ด้านหน้าตึก ปกติแล้วมักจะมีประชาสัมพันธ์คอยบริการอยู่หน้าเคาน์เตอร์ ผมมองหาเท่าไหร่ก็ไม่พบ แปลก
ตึกนี้ผมขอเล่าก่อนนะครับจะได้บอกรายละเอียดของตึกให้ฟัง ตึกนี้อยู่กลางใจเมืองแถวๆ ทางไปสวนสาธารณะที่มีที่ออกกำลังกายและมีตลาดขนาดใหญ่ เป็นตึกสูงยี่สิบกว่าชั้นภายนอกดูใหม่แต่ภายในดูเก่าและทรุดโทรม ลานจอดรถมอเตอร์ไซค์ต้องอ้อมไปด้านหลังตึกและเดินเลาะมาด้านหน้าเพื่อเข้ามาทางหน้าตึก ยามที่เฝ้าไม่ได้ให้ผมแลกบัตรยืนทื่อสวมแว่นดำเหมือนกำลังหลับยาม
ด้านหน้าตึกติดถนนใหญ่แห่งหนึ่งที่มีสะพานลอยรถผ่านอยู่ด้านบนถนน ปกติแล้วผมจะต้องแลกบัตรประจำตัวประชาชน หรือไม่ก็บัตรที่หน่วยงานทางราชการเป็นคนออกให้ แต่ไม่มีพนักงานผมเลยเดินไปหายามแก่ๆ ที่ยืนหลบอยู่ตรงลิฟต์ แกคงเป็นคนเฝ้าลิฟต์อันนี้ผมคิดเอาเองนะ
“ลุงๆ”
รปภ.แต่งตัวดูโบราณเก่าๆ ชี้นิ้วมือมาทางตัวเอง เหมือนว่าผมไปเห็นแกด้วยเหรอ
“ลุงนั่นแหละ” ผมเดินไปใกล้ๆ แก
“เห็นลุงด้วยเหรอ” ผมนี้ร้องอ้าวเลย จะไม่เห็นได้ไงยืนหัวโด่อยู่ตรงนี้
“เห็นสิครับลุง ทำไมผมจะไม่เห็นลุง”
“เปล่าครับ ก็ผมยืนตรงมุมลิฟต์ ไฟมันดับ แสงมันมองไม่ถนัดนี่ครับคุณ” เสียงของลุงกล่าวเรียบๆ
“แล้วนี่จะไปชั้นไหนหรอครับ” ลุงรปภ.เอ่ยถามผม
“ไปชั้นสิบหกครับลุง”
คุณลุงรปภ.ตาโต เขาจะพูดอะไรก็ไม่พูด ผมสังเกตแววตาของแก สีหน้าของแกดูแปลกๆ
“มีอะไรหรือเปล่าลุง หากมีอะไรบอกผมได้นะ” ผมใจเริ่มกล้าๆ กลัวๆ นอกจากหน้าตาของลุงที่หน้ากลัวแล้วผมก็กลัวไอ้ตึกบ้าๆ นี่ด้วย
ผมสังเกตได้ว่าบริเวณที่ผมคุยกับลุงยามไม่มีใครเลยทั้งคนทั่วไป หรือพนักงาน
“ตึกนี้มันดูแปลกๆ นะลุง” ผมเอ่ยถามแกมสงสัย
“ตึกมันก็แบบนี้แหละ เขาย้ายออกไปกันจนจะหมดแล้วคุณ”
“ย้าย?” ผมตกใจกับคำว่าย้ายไปจนหมดแล้วของลุง
“ย้ายไปไหนล่ะลุง” ด้วยความอยากรู้ผมจึงถามลุงไปด้วยความสงสัย
“เออ มันก็ไม่มีอะไรหรอกคุณ” คุณลุงรปภ.แกดูเหมือนจะปกปิดอะไรบางอย่าง แกดูท่าทางอ้ำอึ้งไม่ยอมตอบ
“รีบขึ้นไปซิคุณ จะได้ส่งเอกสารเร็วๆ”
“ครับๆ ลุง” ผมได้แต่กดลิฟต์พอหันมาอีกครั้งก็ไม่ปรากฏร่างของลุงคนนั้นอีกแล้ว ขนลุกโดยไม่ต้องบอกกันเลยทีเดียว
ภายในลิฟต์ดูเงียบ ลิฟต์ที่ผมขึ้นดูแปลกแหวกแนวต่างไปจากลิฟต์ที่ผมเคยเห็นจากตึกอื่นๆ มันคล้ายๆ ลิฟต์ตามโรงพยาบาลมากกว่าที่จะเป็นลิฟต์ทั่วไปตามตึก
ลิฟต์ค่อยๆ เคลื่อนผ่านมาถึงชั้นเจ็ดอย่างช้าๆ บรรยากาศภายในดูวังเวงเงียบๆ มันค่อยๆ เคลื่อนไปตามชั้นต่างๆ อย่างช้าๆ ผมมีความรู้สึกว่าอากาศภายในมันดูอึดอัดอย่างไงชอบกล ความหนาวเย็นจับจิตขับเคลื่อนผ่านเข้ามาทุกอณูรูขุมขน ตั้งแต่หน้าแข้งลุกชันไล่ตามระดับขึ้นมาจนถึงหนังหัว ลมจากไหนพัดเข้ามาผ่านวูบหน้าของผมไป
กลิ่นสาปสางลอยมาแตะจมูก จนผมที่ยืนอยู่หน้าแผงกดลิฟต์ต้องเอาลือมาอุดจมูก กลิ่นคราวเลือดแตะจมูกผม ผมรู้สึกเจ็บหัวอย่างรุนแรงเข่าอ่อนแทบทรุด เจ็บจี้ดที่หน้าอก หายใจไม่ทั่วท้อง พยายามยืนตัวตรงมองดูเลขหน้าปัดด้านหน้าว่าลิฟต์เคลื่อนไปถึงชั้นไหนแล้ว แต่ดูเหมือนว่ายิ่งอยู่ในนี้นานเท่าใด เวลากลับเดินช้าซะเหลือเกิน ผมพยายามกดชั้นสิบหกที่แป้นหลายต่อหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าลิฟต์มาหยุดที่ชั้นแปด ใจผมเต้นรัวๆ เมื่อประตูลิฟต์เปิดออก ผมมองออกไปสาดสายตาไปทางขวาไม่พบ ไปทางซ้ายแทบช็อก
“เฮ้ย” ผมร้องสุดเสียงด้วยความกลัวสุดขีด พี่ผู้ชายกับพี่ผู้หญิงสองคนโผล่หน้ามาทำให้ผมตกใจเป็นอย่างมาก
“คนจ่ะคนไม่ใช่ผี” พี่ผู้หญิงเอ่ยยิ้มๆ
“ตกใจน่ะสิพี่ คิดว่าโดนซะแล้ว” ผมร้องบอกไปในใจยังกล้าๆ กลัวๆ
“จะไปชั้นไหนละน้อง” พี่ผู้ชายมองหน้าผม
“สิบหกครับ” ผมตอบ สองสามีภรรยาเขามองหน้ากันทำหน้าแบบกลัวๆ
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่” ผมถามออกไปด้วยความสงสัย
“เปล่าหรอกจ้ะน้อง เอ่อถึงชั้นพี่พอดี”
ถึงชั้นสิบพอดี สองสามีภรรยาเดินออกไปจากลิฟต์ ด้วยความสงสัยผมจะถามแต่ก็ไม่ทัน โผล่หน้าออกไปสองสามีภรรยาเดินหายไปแล้ว หายไปไหน? ไวมาก ไวเกินคน เพียงแค่เสี้ยววินาทีเท่านั้น ผมถอยกลับมาหยุดอยู่ในลิฟต์ต่อ ไม่กล้าออกไป ได้แต่ภาวนาให้ถึงชั้นสิบหกไวๆ
ทำไมหนอ มันช่างขับเคลื่อนไปอย่างช้าๆ ผมใช้เวลานานมากที่อยู่ในลิฟต์ชั้นสิบสามก่อนจะถึงจุดหมายปลายทาง ลิฟต์เคลื่อนมาหยุดใจผมเต้นรัวๆ กลัวว่าจะเจอสิ่งที่มองไม่เห็น
และแล้วสิ่งที่ผมคิดก็เกิด ลิฟต์เจ้ากรรมดันเปิดออก ปรากฏตอนแรกผมคิดว่าจะเจอผีหรือไม่ก็มีคน แต่มีผู้หญิงผมยาวปรกหน้า ชุดยาวมอซอ เดินมายืนอยู่อีกฝั่งของผม ลองนึกภาพตามนะครับ ว่าผมยืนตรงแป้นกดด้านขวา ผู้หญิงคนที่เข้ามาใหม่ยืนตรงด้านซ้าย ผมสังเกตเธอ เธอไม่พูดอะไร แตกต่างจากสองสามีภรรยาที่ผมเจอ ผมเลยชักไม่แน่ใจเสียแล้ว ว่าไอ้ที่ผมเจอคนหรือผีกันแน่
“ไม่ทราบว่าจะไปชั้นไหนครับ” ผมเอ่ยถามเมื่อเห็นว่าลิฟต์เคลื่อนผ่าน เธอเงยหน้ามาทำเอาขนแขนของผมลุกชัน หนังหัวตั้งเด่ชี้ฟูเหมือนไปร้านซาลอนมา ผู้หญิงคนนั้นเลือดทะลักออกมาจากริมฝีปาก ใบหน้าขาว ดวงตาขาวสนิทไม่เห็นตาดำ ตาของหล่อนโตราวกับตกใจเมื่อมองมาทางผม นี้ผมเจอดีเข้าให้แล้วหรือ ผมกลัว กลัวจนพูดอะไรไม่ถูก หากใครได้ไปยืนอยู่จุดๆ นั้นจะรู้ว่าเป็นอย่างไร ผมก็ตกใจฉี่ผมราดเลอะกางเกงไปหมด ผมแหกปากลั่นทำอะไรไม่ถูกแล้ว พ่อแก้วแม่แก้วจ๋าช่วยลูกด้วยเถอะ ผมภาวนายกมือปิดหน้าปิดตาจนสลบไป
ผมตื่นขึ้นมาตอนไหนไม่รู้ รู้แต่ว่ามีผู้หญิงคนนึงปฐมพยาบาลผมอยู่ ผมรู้สึกเจ็บหัว ปวดเมื่อยตามตัวไปหมด ตาพร่าเมื่อมองกระทบหลอดนีออนทำให้กะพริบถี่ไปมา ผมค่อยพยุงลุกมานั่งมองรอบเป็นห้องสำนึกงานแห่งหนึ่ง เห็นพนักงานนั่งทำงานกันอยู่ ใจผมยังกล้าๆ กลัวๆ ใช่คนหรือเปล่า คนเป็นๆ หรือเปล่า? ผมสับสนไปหมดแล้ว
“ไม่ต้องกลัวหรอกน้อง คนไม่ใช่ผี”
“โห่พี่ ผมพึ่งเจอมาน่ากลัวโคตรๆ” ผมเสียงสั่น พี่ผู้หญิงแอบหัวเราะเบาๆ
“ไหนเล่าให้พี่ฟังซิว่าเกิดอะไรขึ้น”
ผมเริ่มนึกถึงเหตุการณ์ภายในลิฟต์ตั้งแต่เจอลุงยามที่หน้าตาน่ากลัว เจอสองสามีภรรยาที่เดินหายออกไปอย่างรวดเร็ว เจอผีผู้หญิงสาวที่มาหลอกหลอนผมในลิฟต์ ทุกเหตุการณ์ทำให้ผมกลัวสุดๆ จนเยี่ยวราดลดกางเกง อับอายทั้งชาติก็คราวนี้ พอผมเล่าจบพี่ผู้หญิงและพนักงานอีกสองสามคนก็มาห้อมล้อมผมโดยรอบ พูดไปขนก็ลุกไป ด้วยอาการกลัวกับเหตุการณ์สยองขวัญที่พึ่งผ่านมา จนพี่ผู้หญิงคนนั้นตบบ่าผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยเสียงเรียบ
“ใครเขาก็เจอกันทั้งนั้นแหละน้อง” พี่ผู้หญิงเป็นคนบอก
“โห่ ผมนี่จำติดตาเลยนะครับ หน้าขาว ปากแดง มีเลือดไหลออกมา ดวงตาขาวโพลนไม่เห็นตาดำ ใส่เสื้อสีขาวมอๆ ซอๆ”
“น้องจำรูปร่างหน้าตาได้มั้ย”
“ใช่คนนี้หรือเปล่า”
พี่ผู้หญิงอีกคนควักรูปให้ผมดู เมื่อส่งมาให้ผมผมตกใจสุดขีด ใช่ๆ ใช่คนเดียวกับที่ผมเจอแน่ๆ ผมแทบเข่าทรุดล้มไปนั่งที่พื้นเลยก็ว่าได้
ผมมาทราบภายหลังว่า ตึกนี้เป็นตึกที่กำลังจะถูกขายแต่ดันเกิดเรื่องการเผาตึก สองสามีภรรยาเจ้าของเกิดโดนฆ่าตาย ฆ่าเอาประกันกันในเครือญาติ ทำให้วิญญาณของทั้งสองยังวนเวียนดูแลตึกนี้อยู่
ส่วนผีผู้หญิงคนนั้นเธอเกิดปัญหากับแฟนหนุ่มที่มาพัวพัน วันนั้นเป็นวันที่เลิกงานดึก พี่ผู้หญิงคนนั้นทะเลาะกับแฟนด้วยความหึงหวงจึงทำให้ผู้ชายพลั้งมือฆ่าเธอตายตรงชั้นสิบสาม กว่าจะเจอศพก็ตอนเช้าของวันจันทร์แล้ว พูดไปพูดมาทำเอาขนแขนสแตนอัพขึ้นมาทันทีทันใด
“พี่ผมกลัว ผมไม่กล้าลงลิฟต์อีกแล้ว” ผมบอกพี่ๆ ทุกคนในห้องนั้นด้วยความหวาดกลัวกับเหตุการณ์ที่พึ่งผ่านเข้ามา
“ไม่ต้องกลัวหรอกน้อง เดี๋ยวพี่ๆ ก็จะลงไปทานข้าวกันแล้ว ยังไงก็ลงไปพร้อมๆ กัน”
“ที่นี่เขาไม่มีใครลงไปคนเดียวหรอก ลงไปคนเดียวเจอดีทุกราย”
คำว่า เจอดีทุกราย ทำเอาขนแขนลุกชันขึ้นมาอีกครั้ง สาธุ สาธุ ขอให้อย่าเจอผีอีกเลย ครั้งนี้ครั้งเดียวผมสาบานว่าต่อไปจะไม่มาเก็บเช็คที่ตึกนี้อีกแล้ว
. . .
ผู้คนในตึกเริ่มหนาแน่นกว่าตอนเช้า อาจจะเป็นเพราะว่าตึกนี้มักมีบริษัทที่มาเช่าเป็นชาวต่างประเทศ เวลาทำงานก็เก้าโมงสิบโมง บางบริษัทก็มาเที่ยง หญิงสาวสองสามคนที่เดินออกมาจากลิฟต์ด้วยกัน ต่างก็มองหาใครบางคนอยู่
“ยัยขวัญ ทำไมลงมาช้านักนะ” ใครคนหนึ่งในกลุ่มบ่นพึมพำ
“ไอ้นนท์กับยัยหมอนด้วยอีกคน” ผู้หญิงที่ดูเป็นหัวหน้าเอ่ยเสียงดุดุ เมื่อไม่ปรากฏร่างของสามคนที่เอ่ยถึง
“นัน นัน ไอ้หนุ่มนั่นมันไปยัง”
นันยิ้มๆ “ไปแล้วค่ะ หลังจากออกมาจากลิฟต์ก็เผ่นแนบไปเลย” นันและเพื่อนสาวอีกสองคนต่างหัวเราะรวมไปถึงสายใจ ผู้เป็นหัวหน้าของทุกคน
“ดีมาก จะได้ไม่ต้องมาตามเก็บเช็คอีก เบื่อจะตายตามเก็บทวงหนี้ได้ทุกวัน” สายใจร้องบ่น เห็นสายขวัญวิ่งเยาะๆ มาตามทางเดิน หน้าตาขาวซีดปากแดงผมรุงรัง
“ช้าจริงๆ มัวทำอะไรอยู่” สายใจบ่นๆ
“แหมพี่สายใจ กว่าขวัญจะเปลี่ยนเสื้อผ้า ล้างหน้าล้างตาได้ก็นานพอควรนะค่ะ” สายขวัญกล่าวเรียบๆ
“เป็นไงบ้างคะพี่สายใจ ผลงานหลอกผีของขวัญได้ผลดีมั้ยคะพี่”
สายใจตบบ่าสายขวัญ หัวเราะชอบใจที่พนักงานทุกคนร่วมมือกันหลอกผีสำเร็จ และนี่ก็ไม่ใช่รายแรก แต่มีอีกหลายต่อหลายรายที่เจอ
“พี่นะอดขำไม่ได้จริง ไอ้หมอนั่นนะฉี่ราดกางเกงเหม็นไปหมด”
“แต่ขวัญทำเลือดทะลัก นายนั่นก็เป็นลมล้มพับลงไป ตอนแรกคิดว่าจะหัวใจวายไปแล้วซะอีก”
“ไอ้นนท์กับหมอนไปไหนนะ”
“เห็นว่าลงมาก่อนขวัญอีกนะคะพี่ นี่ขวัญก็ไม่เห็นเหมือนกัน” สายขวัญมองรอบๆ
“ไม่เป็นไร พวกเราไปฉลองกันดีกว่าจ้า หลอกผีคนทวงหนี้สำเร็จ” ห้าสาวมองกันและกันต่างก็หัวเราะชอบใจ
แผนการหลอกผีบรรดาเจ้าหน้าที่ทั้งหลาย ทำเอาหลายๆ คนไม่กล้ามาทวงหนี้บริษัทนี้อีกเลย บางรายจับไข้หัวโกร๋นไปสามวันสี่วันกันเลย แต่เรื่องไม่จบเท่านี้น่ะสิ
“ใครเป็นอะไรละนั่น” ไทยมุงดูเหตุการณ์ รถปฐมพยาบาลขับมาจอดอยู่ด้านหน้าตึก ไทยมุงหลายต่อหลายคนมองดูเหตุการณ์อยู่
“ไปดูกันว่าเกิดอะไร” สายใจเดินฉับๆ นำหน้าลูกน้องไป
“หน้าสงสารจริงๆ เลยนะ โดนรถเก๋งเหยียบสมองไหลเลย ยังหนุ่มแท้ๆ” ไทยมุงคนหนึ่งบรรยายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พวกของสายใจเดินเข้าไปพอดี
“รถนะเขาขับมา แต่ดันไปแซงอีท่าไหนไม่รู้ เลยกวาดมอเตอร์ไซค์ของไอ้หนุ่มนั่นไปอยู่ใต้ท้องรถ น่ากลัวมาก เห็นเขาบอกตายคาที่เชียว”
“คนขับล่ะ คนขับหนีหรือเปล่า” ใครคนนั้นเอ่ยถาม ยายคนที่เล่าส่ายหัว
“ไม่หนี ตกใจไม่กล้าลงมาจากรถ นี่เกลี้ยกล่อมมาชั่วโมงกว่าแล้วนะ”
“ตายมานานหรือยัง”
“เมื่อตอนสายๆ นี่เอง”
“น่าสงสารพ่อหนุ่มคนนั้นเนอะ”
สายใจและลูกน้องเดินไปดูใกล้ๆ ศพของผู้ตายยังคงนอนอยู่ใต้ท้องรถ ตำรวจและกู้ภัยมาตรวจสอบ บันทึกภาพเหตุการณ์และสอบปากคำคนที่เห็นรวมทั้งการเคลื่อนย้ายศพ เสียงกรีดร้องของห้าสาวที่มาดูศพของคนตายดังสนั่นทั่วทิศ! สายใจล้มทั้งยืน เมื่อศพที่พบเป็นคนคนเดียวกันกับที่มาเก็บเช็คเมื่อซักครู่ที่ผ่านมา
และที่พวกเธอเห็นหนุ่มคนที่มาเก็บเช็คนั้น ผี! คนหลอกผี ผีหลอกคน!
และในหลายๆ ครั้งที่ชั้นสิบหก จะได้ยินเสียงของแมสเซ็นเจอร์หนุ่ม ขึ้นไปด้านบนพร้อมกับเสียงเรียกว่า “เก็บเช็คครับเก็บเช็ค”
ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่ คลังสยอง

กดแชร์บทความ