วันนั้นเป็นวันเสาร์กลางเดือนธันวาคมปีที่แล้ว และเป็นวันเกิดครบ 56 ปีของป้าแหม่ม เพื่อนรักของแม่ด้วย ทุกๆ ปีแม่จะเอาของขวัญวันเกิดไปให้ป้าแหม่มถึงบ้าน แต่คราวนี้แม่ไม่สบาย เป็นไข้หวัดใหญ่ ผมก็เลยรับอาสาจะขับรถไปกับแฟน เอาเค้กผลไม้ไปให้ป้าแหม่มเอง
ปัญหามีอยู่ว่าผมไม่รู้จักบ้านป้าแหม่ม เพราะไม่เคยไปสักครั้ง แถมแม่จดที่อยู่ให้ผิดอีกต่างหาก!
ป้าแหม่มอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งแถวรามอินทรา แค่ทางเข้าหมู่บ้านก็วกวนแล้วละครับ เราไม่รู้ว่าจะเลี้ยวขวาหรือเลี้ยวซ้ายดี เลยลองเสี่ยงเลียบไปทางขวา และมองหาเลขที่บ้านไปเรื่อยๆ กลางหมู่บ้านเป็นบึงใหญ่ ปลูกบัวไว้สะพรั่งเชียว รอบๆ บึงเป็นบ้านผู้คนซึ่งแยกออกเป็นซอยๆ แม่เขียนไว้ว่า ป้าแหม่มอยู่บ้านเลขที่ 301 ซอย 12
นั่นไง! ปุ้ย – แฟนผมชี้ให้ดูซอย 12 ผมก็เลี้ยวเข้าไปเลย ยังบอกกับปุ้ยว่าง่ายจัง ทีแรกกลัวว่าจะหาไม่พบ เพราะดูๆ แล้ว หมู่บ้านนี้มีโครงสร้างแผนผังไม่ต่างจากรังผึ้ง ที่สำคัญมันเป็นหมู่บ้านจัดสรรที่สร้างมาเกือบ 30 ปีได้แล้วมั้ง? ผมทราบจากแม่น่ะครับ แม่เล่าว่า ตอนสร้างเสร็จใหม่ๆ น่ะ สวย สงบ ร่มครึ้ม แต่ตอนนี้มันเงียบเหงา รกเรื้อ และดูวังเวงพิกล
ปุ้ยออกความเห็นว่าเจ้าของบ้านออกไปทำงานกันหมด ลูกๆ ก็ไปโรงเรียน บางบ้านมีคนใช้ แต่บางบ้านไม่มีใครอยู่ก็ปิดล็อกไว้เฉยๆ ทั้งหมู่บ้านเลยดูเหมือนไร้ชีวิตชีวา
แสงแดดยามบ่ายส่องจ้า อากาศเย็น มองไปรอบๆ ทุกอย่างเหมือนภาพเขียนที่นิ่งสนิท กลางบึงมีกอบัวสีชมพูเข้มชูช่อสลอน น้ำในบึงเป็นสีเขียวทึบ ไม่มีระลอกคลื่นแม้แต่น้อย ด้านหนึ่งของบึงมีต้นไทรใหญ่ร่มครึ้ม รากไทรย้อยลงจรดแผ่นน้ำ น่าจะมีใครไปตัดแต่งมันบ้าง นี่รกจนเหมือนเป็นฉากหนึ่งในป่าทึบยังไงยังงั้น
ถ้ามีเสือย่างเยื้องออกมาละก็ไม่แปลกใจเลย!
หมู่บ้านจัดสรรแห่งนี้คงจะปลูกบ้านตามใจผู้อยู่ เพราะบ้านเรือนและรั้วของแต่ละหลังไม่เหมือนกันสักเท่าไหร่ ในซอย 12 ผมขับช้าๆ จนกระทั่งเห็นบ้านเลขที่ 301 ผมจอดรถที่หน้าประตูรั้วสีน้ำตาลแดง แล้วก็ลงไปกดออด โดยมีปุ้ยประคองกล่องเค้กอย่างทะนุถนอมด้วยมาดหญิงผู้เรียบร้อยสุดฤทธิ์ ผมมองแล้วก็อดขำไม่ได้
ประตูรั้วบ้านนี้เป็นเหล็กดัด ช่วงศีรษะกับช่วงขาทำเป็นเส้นโปร่งๆ ให้เห็นหน้ากัน คุยกันได้ จะปิดแผ่นทึบช่วงราวไหล่กับครึ่งน่อง ผมกดออดแล้วมองเข้าไปในบ้าน เห็นถนนเล็กๆ โค้งอ้อมต้นไม้ใหญ่ๆ ไปสู่โรงรถ ตัวบ้านเป็นตึกทรงเหลี่ยมตันๆ ไม่น่าสบายเพราะปลูกแบบทึบเชียวละครับแบบนี้ถ้าไม่มีแอร์ละก็อยู่ไม่ได้แน่เลย
ครู่หนึ่ง ผมก็ได้ยินเสียงสุนัขตัวเล็กเห่าบ๊อกแบ๊ก นั่นไง! หมาพุดเดิ้ลสีขาวมอมแมมตัวนิดเดียว วิ่งเหยาะๆ ออกมา น่าเอ็นดูเหมือนตุ๊กตา และที่ตามหมามานั่นเป็นหญิงสาวอายุไม่เกิน 25 รุ่นราวคราวเดียวกับผมและปุ้ยละครับเธอถักเปียสองข้าง ใส่แว่นตา นุ่งขาสั้น สวมเสื้อยืดสีเหลือง หน้าตายิ้มแย้ม
ผมส่งเสียงถามว่า คุณป้าแหม่มอยู่ไหม?
เธอทำสีหน้าขบขัน แล้วบอกว่าที่นี่ไม่มีป้าแหม่ม มีแต่ตัวเธอละที่ชื่อแหม่ม! ผมเอากระดาษที่แม่จดเลขที่บ้านให้เธอดู เธอบอกว่าผิดแล้วละ เลขที่บ้านเลขที่ซอยน่ะเป็นบ้านนี้จริงแม่คงจดผิด มีอะไรบางอย่างสับสน
พอถึงตอนนี้ผมงงเลยครับ ทำไงดีล่ะ? เลยคว้ามือถือโทร.หาแม่ ขณะนั้นปุ้ยก้มลงนั่งยองๆ กับพื้น เธอรักหมาครับ เห็นหมาไม่ได้ต้องเล่น ต้องอุ้ม
สาวปุ้ยยื่นมือไปทำท่าจะลูบหัวหมา แต่แล้วเธอก็ชักมือกลับ ยืดตัวขึ้นยืนช้าๆ หันมามองหน้าผม ปากสั่น สีหน้าคล้ายจะร้องไห้ แล้วก็เอามือเย็นเฉียบมาถึงมือผม
กลับเธอขึ้นรถเดี๋ยวนี้ เธอพูดเสียงสั่น เดี๋ยวนี้เลย!
ผมทำสายหลุด ต้องโทร.ใหม่ แต่สีหน้าท่าทางของปุ้ยบ่งบอกว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว
บอกให้ขึ้นรถ! เธอน้ำตาปริ่ม ผมหันไปมองหญิงสาวที่ยิ้มแป้น โผล่หน้าเหนือแผ่นเหล็กทึบขอบประตู ฝืนยิ้มให้ก่อนผละออกมาครั้นขึ้นรถเรียบร้อย ปุ้ยก็กัดฟันพูดเสียงเข้ม แต่ไม่วายสั่นเครือ ขับออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้!
ผมทำตามอย่างว่าง่าย แล้วหันไปถามว่ามีอะไรรึ?
มีซี่ เธอตอบเสียงแหบแห้งน่าใจหาย ผู้หญิงคนนั้นไม่มีขา!
ตอนปุ้ยก้มลงเล่นกับหมา เธอน่าจะได้เห็นหน้าแข้งถึงข้อเท้าของผู้หญิงที่มายืนคุยกับเราที่ประตู แต่เธอบอกว่าไม่เห็นอะไรทั้งนั้นมันว่างเปล่า เห็นแต่ถนน
และหมาตัวนั้นนัยน์ตาของมันกลวงโบ๋!!
ผมว่าปุ้ยตาฝาดหรือเปล่า? เธอปิดหน้าร้องไห้โฮเลยครับ ตัวสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ เล่นเอาผมพลอยสับสน สองจิตสองใจแต่ก็รู้สึกเสียวไขสันหลังวาบๆ ปากคอแห้งผากไปหมด
แม่ของผมบอกที่อยู่ที่ถูกต้องให้ ป้าแหม่มอยู่ซอย 13 บ้านเลขที่ 201 ผมส่งเค้กให้ป้าแหม่มแล้วคุยกันสักพัก ก่อนบอกว่าเมื่อตะกี้ผมหลงไปบ้าน 301 ป้าแหม่มตาเหลือก แล้วบอกว่า บ้านนั้นผีเฮี้ยนนะ! มันเป็นบ้านร้างมาหลายปีแล้ว ผมไม่รู้ว่าเธอเป็นใคร? ตายอย่างไร? แต่เธอเฮี้ยนจริงๆ ครับ!
คอลัมน์ขนหัวลุก – ใบหนาด

กดแชร์บทความ