‘งามตา’ เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากตุ๊กแกผีสิง
สมัยเด็กดิฉันอยู่ที่ อ.บ้านแพง จ.นครพนม พ่อแม่ทำงานโรงบ่มยาของโรงงานยาสูบ มีบ้านพักเป็นเรือนไม้ชั้นเดียวใต้ถุนสูง ปลูกเรียงรายกันไปใกล้ๆ โรงบ่มยานั่นแหละค่ะ
ตอนเย็นๆ เราจะลงไปอาบน้ำในลำโขง ลมพัดแรงเย็นสบาย หนุ่มสาวชอบนั่งเล่นรับลมบนหาด บ้างก็หาอะไรไปล้อมวงกินกัน เด็กๆ วิ่งเล่นเกรียวกราวน่าสนุก
บ้านพักของเราน่าแปลกคือมีห้องน้ำอยู่ข้างนอกชานเชิงบันได
ตอนกลางคืนเปิดไฟสว่าง ออกมานั่งรับลมที่ห้องรับแขกถัดจากระเบียง พ่อชอบฟังข่าวจากวิทยุ แม่จัดห้องนอน ดิฉันนั่งเล่นใกล้ๆ พ่อ มองไปข้างนอกก็มืดสลัว ที่โรงบ่มเคยคึกคักตอนกลางวันยิ่งดูมืดกว่าที่อื่น ขนาดอยู่จนชินแล้วยังอดหวาดๆ ไม่ได้เลยค่ะ
ระแวงว่าจะมีใครจ้องมองเข้ามาอย่างมุ่งร้ายหมายขวัญหรือเปล่าก็ไม่รู้? คืนไหนอากาศหนาวๆ ลมพัดมาเย็นวูบ เล่นเอาขนลุกซ่าไปทั้งตัวก็เคยไม่รู้ว่ากลัวอะไรเหมือนกัน
‘ตั๊บแก! ตั๊บแกตั๊บแก’
เสียงร้องดังขึ้นบ่อยๆ แต่ฉันชินเสียแล้ว เพราะได้ยินมาตั้งแต่จำความได้แน่ะค่ะ
สาเหตุเพราะมีตุ๊กแกอยู่ในห้องน้ำ ยั้วเยี้ยมากมายหลายสิบตัว มีเยอะแยะทุกบ้าน จนเด็กๆ คุ้นเคยตุ๊กแกกันทุกคน คนเก่าเรียกคับแค’ ก็มีค่ะ อย่างคางคกเรียกคันคาก’ ขนาดมีตำนานเก่าแก่เล่าถึงพญาคันคาก’ พวกผู้ใหญ่ก็จดจำสืบต่อกันมาเล่าให้เด็กๆ ฟัง
เหตุนี้ทำให้เราเติบโตเป็นผู้ใหญ่โดยไม่กลัว และไม่ขยะแขยงตุ๊กแกอย่างผู้หญิงส่วนมาก
วันนี้มีเรื่องตุ๊กแกผีมาเล่าสู่กันฟังค่ะ!
คุณผู้หญิงทั่วไปเอ่ยถึงตุ๊กแกก็ขนลุกแล้ว คิดอีกทีก็น่าเห็นใจเพราะรูปร่างหน้าตามันน่าเกลียดน่ากลัวจริงๆ บางคนขนาดได้ยินเสียงตุ๊กแกร้องถึงกับสะดุ้งโหยงก็มี
ลือกันว่า ตุ๊กแกโดดเกาะหลังใคร ถ้าฟ้าไม่ร้องมันไม่ยอมปล่อยเด็ดขาด!
เชื่อว่ามันตีนเหนียวมากๆ จึงเกาะเพดานอยู่ได้ทั้งวันทั้งคืน มีสำนวนว่าตีนเหนียวเหมือนตุ๊กแก’ ขนาดพืชที่ขึ้นตามรั้วยังเรียกกันว่าตีนตุ๊กแก’ นี่นา
เคยมีเพื่อนเล่าว่าพาญาติสาวจากกรุงเทพฯ มาเที่ยว วันหนึ่งโดนตุ๊กแกโดดเกาะหลังตุ้บ ไม่มีใครบอกเธอก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำหน้าเหมือนหยุดหายใจ แล้วถอดเสื้อยืดเหวี่ยงกระเด็น ยกมือปิดตาร้องกรี๊ดๆ เหมือนไฟไหม้ คนอื่นๆ ยืนตะลึงไปหมด
สาเหตุมาจากเธอสวมเสื้อยืดตัวเดียว ไม่ได้สวมยกทรงหรอกค่ะ พอรู้ตัวว่าโป๊เต็มๆ ถึงได้ร้องเป็นคนสติแตก ดังแสบแก้วหูยิ่งกว่าตอนแรกด้วยซ้ำ วิ่งเข้าห้องร้องไห้โฮเลย!
วันหนึ่ง ญาติข้างแม่ชื่อป้าพวงอยู่ อ.เพ็ญ จ.อุดรธานี พาลูกสาวชื่อพี่เพ็ญมาเยี่ยมเราตอนปิดเทอมใหญ่
ไม่ทราบว่าที่นั่นไม่มีตุ๊กแกหรือไงเพราะพี่เพ็ญกลัวตุ๊กแกมากๆ แค่จะเข้าห้องน้ำคนเดียวยังไม่กล้า ต้องชวนดิฉันไปเป็นเพื่อนที่หน้าห้อง ทั้งที่เป็นกลางวันแสกๆ กลางคืนก็เปิดไฟสว่าง เธอทำหน้าราวจะร้องไห้ทุกครั้งที่มีความจำเป็น ขนาดถามว่าห้องน้ำที่ไม่มีตุ๊กแกน่ะมีมั่งมั้ย?
ขำก็ขำ สงสารก็สงสาร เพราะเธอทำหน้าเหยเกคล้ายจะไปตายงั้นแหละค่ะ!
ค่ำหนึ่ง กินอาหารแล้วเราก็มานั่งคุยกันที่ระเบียงสว่าง แม่เข้าไปดูแลห้องนอนที่ใช้รับแขก พี่เพ็ญเกิดปวดห้องน้ำ ขอให้ดิฉันไปเป็นเพื่อนตามเคย
เปิดไฟพอสว่างทิ้งไว้ ดิฉันยืนรับลมเย็นๆ นึกถึงพี่เพ็ญที่ขนลุกเกรียวกราวทุกครั้งที่จะเข้าไปอยู่กับตุ๊กแกฝูงใหญ่พอดีได้ยินมันร้องตุ๊กแกๆๆ ดังเซ็งแซ่มากระทบหู ตามด้วยเสียงกรีดร้องน่าขนหัวลุก
‘ว้ายตายแล้ว! ช่วยด้วยโอ๊ย’
แทบไม่ขาดเสียงประตูก็เปิดผาง พี่เพ็ญเผ่นพรวดออกมา ผ้าผ่อนแทบหลุดลุ่ย มือหนึ่งโบกว่อนพลางร้องกรี๊ดๆ ไม่ขาดปากจนผู้ใหญ่พากันวิ่งเข้ามา พี่เพ็ญกอดแม่ร้องไห้โฮ พร่ำแต่ว่าตุ๊กแกนรก! ตุ๊กแกผีช่วยด้วยแม่จ๋า! มันจะฆ่าหนูแล้ว
ใครๆ ช่วยปลอบโยน แต่พี่เพ็ญกลัวจนเป็นลมผ้านุ่งเปียกโชกเลยค่ะ!
แม่ต้องเอายาหม่องมาทาจมูก พี่เพ็ญรู้ตัวก็เอาแต่ร้องไห้สะอึกสะอื้น เล่าว่าเห็นตุ๊กแกตัวใหญ่เท่าแขน ตาแดงก่ำราวเปลวไฟจ้องเขม็ง แลบลิ้นแดงแจ๋ กรูเกรียวกันเข้ามาหาเป็นสิบๆ ตัว
‘มันจะกินหนู! มันจะฆ่าหนู! โอยกลัวแล้ว! ฮือ’
รุ่งเช้า น้าพวงรีบเก็บของพาลูกสาวกลับอุดรฯ ทันที ได้ข่าวว่าพี่เพ็ญเจ็บหนักปางตาย เพ้อถึงตุ๊กแกผีอยู่หลายวัน กระทั่งดิฉันมาเรียนต่อที่กรุงเทพฯ จนจบ มีงานทำและมีครอบครัวแล้วบางวันเหงาๆ ก็อดคิดถึงตุ๊กแกที่บ้านแพงไม่ได้ค่ะ!
ขอขอบคุณที่มา: ข่าวสดออนไลน์

กดแชร์บทความ