เรื่องนี้เป็นเรื่องราวของผมเองครับ เกิดขึ้นเมื่อสิบห้าปีที่แล้วตอนที่ภรรยาตั้งท้องลูกคนแรกครับ หลังจากที่ผมกับภรรยาแต่งงานกันได้สองปี เธอได้ตั้งครรภ์ลูก ผมดีใจมาก พอครบหกเดือนไปอัลตร้าซาวด์ดูแล้วปรากฎว่าเป็นลูกสาว ผมตั้งชื่อให้น้องล่วงหน้าว่า น้องข้าวปุ้น เพราะภรรยาชอบทานขนมจีนมาก
พอถึงเดือนที่แปด เราตกลงใจกันว่าจะไปคลอดที่บ้านเกิดเธอที่ยโสธร ผมไปส่งเธอแล้วกลับมาพร้อมบอกว่าใกล้คลอดจะกลับมาหา หลังจากกลับมาทำงานต่อได้หนึ่งอาทิตย์ ทางเดียวที่จะติดต่อกันได้คือตู้โทรศัพท์สาธารณะที่ผมจะโทรไปสหกรณ์ใกล้ๆ บ้านเธอ
วันหนึ่งผมไปทำงาน มีน้องผู้ชายคนนึงเป็นคนสุรินทร์ อายุ 18-19 ปี ทำงานอยู่กับผม ใกล้สิ้นเดือนมันไม่มีเงินกินข้าวเลยมาขอยืมผม ด้วยความสงสารผมจึงให้เงินมันไป 500 บาท ปรากฎว่ามันเอาเงินไปแทงไฮโลและแทงบอลได้เงินมาหมื่นกว่าบาท มันเอาเงินมาคืนผมพันนึง ผมบอกว่าเอาแค่ห้าร้อยก็พอ มันบอกงั้นคืนวันเสาร์นี้ผมพาพี่ไปเที่ยวแล้วกัน เมียพี่อยู่บ้านนอกนี่นา สาวสวยเยอะมาก ผมบอกไม่ไปหรอกเปลืองตังค์ มันบอกผมเลี้ยงเองพี่
ถึงเย็นวันเสาร์ผมออกมาตามนัด มันยื่นตะกรุดดอกนึงให้ บอกว่าให้ใส่ในกระเป๋ากางเกง ผมถามมัน มันก็บอกแค่เพียงว่า
ไม่มีไรหรอกพี่! ตะกรุดสายล่างเฉยๆ
เมื่อไปถึงผับที่ว่า ผมนั่งโต๊ะกินเหล้ากับมันสองคน มีสาวสองคนเดินมาขอนั่งด้วย ดูคุ้นหน้ามากๆ เธอบอกว่าทำงานเป็นสาวออฟฟิศโรงงานนี้ ผมกับหมอนั่นหันมองหน้ากัน มันโรงงานกูนี่หว่า! พอหันกลับมาเท่านั้นแหละ น้องผู้หญิงสองคนมานั่งบนตักเราทั้งสองแล้ว น้องมากอดมาหอมผม ผมรีบจับตัวน้องนั่งเก้าอี้ดีๆ แล้วรู้สึกว่าในกระเป๋ามันสั่นๆ เอามือจับดูถึงรู้ว่าเป็นตะกรุดดอกนั้น
ผมกับน้องคนนั้นนั่งดื่มคุยกันจนถึงเที่ยงคืน น้องผู้หญิงคนที่มานั่งตักผมชวนไปต่อที่ห้องเธอ ผมบอกจะดีเหรอ น้องบอกว่าเป็นโสดอยู่คนเดียวเหงามาก ผมเลยตกลงไปก็ไป
เมื่อถึงห้องน้องเขา ผมก็ไปเอาแก้วมาชงเหล้า ส่วนน้องขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อน ปรากฏว่าน้องออกมาพร้อมกับชุดนอนสายเดี่ยวลายลูกไม้สีขาว (และคาดว่าชั้นในก็คงไม่ใส่ด้วย) ผู้ชายเวลาที่เมาและได้กลิ่นใหม่ๆ มันก็หวั่นไหวเหมือนกัน
น้องกับผมดื่มต่ออีกครึ่งชั่วโมง น้องเลยบอกพาหนูไปนอนเตียงหน่อยพี่ ผมเดินไปปิดไฟแล้วอุ้มน้องไปที่เตียง ผมมีความรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ แต่ไม่สนใจแล้ว ก้มลงหอมแก้มน้องเขา หางตาเหลือบไปเห็นในกระจกโต๊ะเครื่องแป้งว่ามีสองเงาดำคล้ายผู้หญิงผมยาว นั่งอยู่บนหัวเตียงก้มมองเราอยู่ ที่ตกใจหนักกว่าคือ มีเงาดำอีกเงาขี่คอผมอยู่! ผมเลยลุกขึ้นไปเปิดไฟแล้วใส่เสื้อผ้ากลับห้องเลย
ตื่นมาสายๆ วันอาทิตย์ ผมรู้สึกปวดเมื่อยตามตัวมาก ลงไปหาของกินแล้วกลับมานอนต่อ ผมไปทำงานด้วยอาการปวดเมื่อยตามตัว แต่ตะกรุดดอกนั้นผมก็ยังเอาใส่กางเกงมาอยู่ น้องสาวออฟฟิศคนนั้นก็มาหาผมถึงที่ ชวนผมไปกินข้าวและไปห้องเธออีก ผมบ่ายเบี่ยงหลายครั้ง แต่น้องก็ยังมาหาผมอยู่ทุกวัน แล้วพอดีมีงานเลี้ยงรุ่นที่แปดริ้ว ผมลางานและจะไปขอค้างบ้านเจ้าเบียร์ ซึ่งเป็นเพื่อนผม
ผมไปถึงตอนหกโมงเย็น เบียร์เห็นผมก็ยิ้ม แต่พอผมจะเดินเข้าบ้านมัน ผมกลับเหมือนโดนผลักจนกระเด็น พอลุกขึ้นเห็นลุงของเบียร์ยืนมองผมอยู่ ส่วนเจ้าเบียร์ตาค้างไปแล้ว
ลุงแกถามผมว่ามีอะไรไม่ดีติดตัวมาไหม ผมยืนคิดแล้วควักตะกรุดออกมาให้แกดู ลุงบอกให้ผมวางสิ่งนั้นไว้นอกรั้วบ้านแล้วค่อยเดินเข้ามา คราวนี้เข้าได้สบาย ลุงบอกให้ผมตามไปที่ห้องพระ แกถามว่าตะกรุดดอกนั้นได้มายังไง ใครให้มา ผมเลยเล่าให้แกฟัง
พอผมเล่าจบ แกพาผมออกมาที่ระเบียงแล้วสั่งให้ผมหลับตา ผมได้ยินเสียงสวดคาถาภาษาบาลี แล้วแกเอานิ้วชี้มาจิ้มตาสองข้างของผมแล้วบอกให้ผมลืมตา ภาพที่เห็นเบื้องหน้าในตอนนี้คือ เงาดำคล้ายผู้หญิงยืนอยู่นอกรั้วบ้านเกือบยี่สิบกว่าตน!
แกบอกตะกรุดดอกนี้ทำมาจากของต่ำ ปลายตะกรุดพันด้วยผ้าที่รองเสพสมกัน ตัวทาด้วยเลือดเสียสาวครั้งแรก และข้างในใส่ผงพรายผีตายโหงไว้เยอะมาก ที่ผมเข้าบ้านไม่ได้เพราะแกท่องคาถาล้อมรอบบ้านไว้ และสิ่งที่ทำให้เจ้าเบียร์ตาค้างเพราะมันเห็นผีขี่คอผม เกาะแขนสอง เกาะขาอีกสอง มิน่าผมถึงปวดเมื่อยเหลือเกิน
วันต่อมาแกพาผมไปที่วัดแล้วเอาตะกรุดไปฝังใต้ต้นโพธิ์ แล้วผมก็ไปทำบุญสังฆทานให้วิญญาณที่อยู่ในตะกรุดนั้น อาการปวดเมื่อยหายไปเลย แล้วพอกลับมาทำงานสาวออฟฟิศคนนั้นก็ไม่เคยมาหาผมอีกเลย ส่วนน้องที่เอาตะกรุดมาให้ก็ออกจากงานหายไป เรื่องราวก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ขอขอบคุณที่มา – คุณหาญ ใจสิงห์
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่แฟนเพจ คลังสยอง

กดแชร์บทความ