ขึ้นชื่อว่า ปอบ คนไทยเราคงรู้จักกันดีทุกคน แต่ส่วนใหญ่ก็คงคิดว่าเป็นแค่ความเชื่อ เพราะปอบในสังคมไทยถูกทำให้กลายเป็นความงมงายจากคนที่หวังผลประโยชน์บางอย่าง และในโลกภาพยนตร์ก็กลายเป็นเรื่องตลกไปเสียเป็นส่วนใหญ่ ปอบนั้นเป็นผีที่แปลกกว่าผีชนิดอื่น คือไม่ได้เกิดจากวิญญาณคนตาย ข้อมูลจากวิกิพีเดียสารานุกรมเสรีบอกว่า
ปอบ เป็นผีจำพวกหนึ่ง ที่อยู่ในความเชื่อพื้นบ้านของไทย โดยเฉพาะในภาคอีสาน โดยเชื่อกันว่าเป็นผีที่กินของดิบๆ สดๆ กินเท่าไหร่ก็ไม่อิ่ม โดยมีความเชื่อว่า ผู้ที่จะกลายเป็นปอบนั้น มักจะเป็นผู้เล่นคาถาอาคม หรือคุณไสย พอรักษาคาถาอาคมที่มีอยู่กับตัวไม่ได้ หรือกระทำผิดข้อห้าม ซึ่งในภาษาอีสานจะเรียกว่า คะลำ ซึ่งผู้ที่เป็นปอบจะเป็นได้ทั้งผู้หญิงและผู้ชาย
ปอบ เป็นผีที่ไม่มีตัวตนเหมือนกระสือหรือกองกอย แต่ปอบจะเข้าสิงสู่คนที่เป็นสื่อให้ และจะกินตับไตไส้พุงของผู้ที่โดนสิงจนกระทั่งตาย ผู้ที่โดนกินจะนอนตายเหมือนกับนอนหลับธรรมดาๆ ไม่มีบาดแผล ซึ่งเรียกกันว่า ใหลตาย
ในทางมานุษยวิทยาและสังคมศาสตร์ อธิบายว่า ความเชื่อเรื่องปอบนั้นเป็นกลไกการสร้างความเชื่อของคนในชุมชน เนื่องจากไม่วางใจบุคคลแปลกหน้าหรือแม้แต่กระทั่งคนในชุมชนเดียวกันเอง ที่มีพฤติกรรมแปลกออกไป ซึ่งในสมัยโบราณบุคคลที่โดนกล่าวหาว่าเป็นปอบ จะถึงกับถูกขับไล่ให้ออกชุมชนเลยทีเดียว
ในชีวิตผม (เจ้าของบทความ) ได้ยินได้ฟังเรื่องของปอบ และได้มีส่วนร่วมในเหตุการณ์ที่เชื่อกันว่าเจอผีปอบอยู่สองครั้ง จึงขอนำมาเล่าให้อ่านกัน ไม่ได้มุ่งหมายให้เชื่อถือจนเกิดความงมงาย เป็นการเล่าเรื่องแปลกๆ สู่กันฟัง
เหตการณ์แรกเป็นเรื่องเล่าจากคนที่ผมรู้จัก ผมได้ร่วมงานกับน้องผู้หญิงคนหนึ่ง อายุสัก 25-26 ปี มาวันหนึ่งบริษัทฯ ของเราไปเที่ยวล่องแพกัน ก็เลยได้เห็นว่าน้องเขาคาดตะกรุดดอกใหญ่ แบบที่เรียกกันว่า ตะกรุดโทนยาวเกือบคืบไว้ที่เอว เป็นตะกรุดถักเชือกหุ้มลงรักสีดำ ผมแปลกใจไม่เคยเห็นผู้หญิงแขวนตะกรุดดอกใหญ่ขนาดนี้ อย่างมากก็เป็นตะกรุดเล็กจิ๋วแขวนไว้กับสร้อยพระ ผมก็เลยถามน้องเขาว่าแขวนไว้ทำไม น้องเขาก็เลยเล่าให้ฟังยาวเลยครับ
เรื่องเกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่น้องเขาอายุราวๆ 10 ขวบ วันหนึ่งมีญาติจากต่างจังหวัดมาขอพักอยู่ด้วยชั่วคราวระหว่างเดินทาง ญาติคนนี้มีศักดิ์เป็นอา แต่ก็ไม่ใช่อาแท้ๆ เขาพักอยู่แค่คืนเดียวแล้วก็เดินทางต่อไปจังหวัดอื่น แต่หลังจากญาติออกจากบ้านไปแล้ว แม่ของน้องก็ล้มป่วย มีอาการแปลกๆ ตัวไม่ร้อน ไม่เย็น ไม่มีไข้ ไม่เหมือนคนป่วยทั่วไป เอาแต่นอนซมหน้าตาซูบเซียวอยู่ในห้อง
พอออกจากห้องมาได้ก็เอาแต่กิน กินทีละมากๆ จนไม่น่าเชื่อว่าอาหารเหล่านั้นเข้าไปในท้องได้หมด แล้วก็ยังกินของดิบๆ พวกเนื้อสัตว์เข้าไปอีก กินเสร็จแล้วก็เข้าห้องนอนไม่พูดไม่จากับใคร กินมากแต่ร่างกายกลับผอมลง พอมีคนไปถามไถ่อาการป่วยก็ทำตาขวางใส่ คนในบ้านเห็นว่านี่ไม่ใช่การป่วยไข้ธรรมดาก็เลยไปหาคนช่วย จนได้รับคำแนะนำว่ามีพระที่มีวิชาอาคมอยู่ที่ไหนก็ไปตามหาแล้วนิมนต์ท่านมาช่วย
เมื่อพระมาถึงบ้าน ท่านก็เข้าไปดูคนป่วย เอาข้าวสารเสกออกมาโปรยใส่ แม่ของน้องซึ่งนอนอยู่ก็ร้องโวยวายดิ้นรนหนีเหมือนเจ็บปวดมาก คนในบ้านจึงมั่นใจว่าแบบนี้ต้องโดนผีเข้าแน่ๆ พระท่านก็ทำพิธีต่อไป ซึ่งน้องเขาก็จำไม่ค่อยได้ว่าทำอะไรบ้าง แต่เขาบอกว่าก็น่าจะมีการสวด รดน้ำมนต์ แล้วก็ผูกสายสิญจน์ให้ ซึ่งแม่ของน้องก็หายดีในเวลาต่อมา
พระที่นิมนต์มาท่านถามว่าแม่ไปทำอะไรมาบ้าง หรือเดินทางไปไหนต่างถิ่นไกลๆ หรือเปล่า จนในที่สุดก็สรุปได้ว่า น่าจะเกิดจากโดนปอบเข้าสิง และปอบนั้นคงมากับญาติที่มาพักที่บ้านในตอนนั้น พระท่านก็บอกว่าอย่าไปโกรธเคืองญาติเลย เขาคงไม่รู้ว่ามีปอบติดมากับเขาด้วย พอมันมาเจอคนที่มันเข้าสิงสู่ได้มันก็เลยเล่นงานเอา
พวกชาวบ้านที่ทราบเรื่องก็บอกว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น เพราะทางท้องที่ที่อยู่มาไม่เคยมีผีปอบ หรือไม่เคยมีคนที่ป่วยลงด้วยอาการพิกลแบบนี้ แล้วก็วิพากษ์วิจารณ์กันต่อไปว่าผีพวกนี้มันคงหิวโหยมา กินเอาๆ เท่าไรก็ไม่พอ ถ้ามันกินไม่อิ่มล่ะก็ คนที่โดนมันสิงนั่นแหละที่จะโดนกินตับไตไส้พุงจนผอมแห้งตายไปในที่สุด จากนั้นปอบก็จะออกหาผู้เคราะห์ร้ายรายใหม่มาเป็นอาหารของมัน คุณตาคนหนึ่งเล่าว่า บางคนที่ปลูกว่านศักดิ์สิทธิ์ ว่านอาถรรพ์ไว้มากๆ ทำผิดตำราหรือถึงเวลาต้นว่านมันลงหัวแล้วไม่เก็บไม่กู้ มันก็กลายเป็นปอบได้ ทีนี้มันไปกินใครแล้วโดนคนมีวิชาจับได้ พอถามชื่อมันก็จะอ้างชื่อเจ้าของนั่นแหละว่าเป็นปอบ
พ้นเหตุการณ์นั้นไปนานหลายเดือน แม่ของน้องก็สุขภาพดีขึ้น แต่คราวนี้น้องเขากลับล้มป่วยด้วยอาการแบบเดียวกับแม่ และความรุนแรงของอาการนั้นหนักกว่า คือมีลักษณะท่าทางที่เปลี่ยนไปด้วย จากเด็กผู้หญิงเรียบร้อย กลายเป็นพูดจาฉุนเฉียวหยาบคายแล้วก็เก็บตัวไม่ออกจากห้อง จะออกมาแต่เวลามืดค่ำ ที่เหมือนกันก็คือจะกินอาหารมากๆ กินเนื้อดิบ และกินเหล้า หากไม่ได้กินก็จะอาละวาดรุนแรง
เหล้าที่กินเข้าไปก็เป็นเหล้าพื้นเมือง พูดตรงๆ ก็เหล้าเถื่อนที่ชาวบ้านต้มเองนั่นแหละครับ เหล้าพวกนี้ดีกรีสูง แต่น้องเขาเป็นเด็กกินเข้าไปทีละขวดสองขวดกลับไม่เมาเลย น้องบอกว่าเหล้าแรงขนาดนั้นผู้ใหญ่กรอกเข้าไปเป็นขวดๆ โดยไม่พัก ถ้าไม่หลับพับก็อาเจียน แต่น้องกลับไม่มีทีท่าของคนเมาแม้แต่นิดเดียว (เรื่องตรงนี้คือพ่อแม่ของน้องเล่าให้น้องฟัง ตัวน้องเองจำเหตุการณ์ช่วงนั้นไม่ได้เลย)
เมื่ออาการเป็นแบบเดียวกับที่เคยเห็น พ่อของน้องจึงรีบไปนิมนต์พระอาจารย์พาท่านขึ้นรถจากอีกจังหวัดมาทำพิธีให้อีกครั้ง คราวนี้ท่านทั้งซัดข้าวสาร พรมน้ำมนต์ ให้คนเอาสายสิญจน์เอาพระไปคล้องก็ไม่หาย น้องกลับหัวเราะใส่ เสียงที่หัวเราะก็ไม่เหมือนเสียงเด็กผู้หญิง แต่เหมือนผู้ชายโตๆ
พระท่านว่ามันคงไม่ใช่ผีตัวเดิมแล้ว มันต้องเป็นผีที่มีฤทธิ์มากกว่าที่ท่านจะปราบได้ พวกชาวบ้านถึงกับหน้าเสีย ไม่รู้ว่าจะไปหาใครมาปราบผี หลวงพ่อท่านจึงแนะนำว่าให้ไปหาอาจารย์คนหนึ่งของท่าน ซึ่งเป็นฆราวาสแล้ว ท่านก็บอกชื่อบอกที่อยู่ของอาจารย์ท่านให้
พ่อของน้องจึงไปตามที่ท่านบอก ต้องขับรถไปไกลหลายจังหวัด สอบถามทางไปเรื่อยจนไปเจออาจารย์ท่านจนได้ เป็นชายชราผมขาว สวมเสื้อผ้าเก่าๆ มอมแมม ดูเหมือนคนแก่ชาวบ้านธรรมดา ท่านปลูกกระท่อมอยู่ในไร่อ้อยโดดเดี่ยว พอได้รู้เรื่องที่เกิดขึ้นท่านก็ยินดีมาช่วยทันทีโดยไม่ถามถึงเงินทองเลยสักคำ
ทันทีที่พ่อพาท่านมาถึงบ้าน ลงจากรถได้ท่านก็เดินกระทืบเท้าขึ้นบันไดดังตึงๆ พ่อแม่น้องเล่าว่า เหมือนบ้านสั่นสะเทือนไปทั้งหลัง น้องที่อยู่ในห้องก็ร้องกรี๊ดขึ้นสุดเสียง โดยที่อาจารย์ยังไม่ได้เข้าไปถึงตัวบ้านเลย ตอนนั้นแม่อยู่กับน้องในห้องก็เลยเห็นว่าน้องดูหวาดกลัวมากๆ ผิดจากปกติที่แสดงท่าทางข่มขู่คนอื่นให้กลัวตลอด
อาจารย์ท่านเดินพรวดๆ เข้าไปในบ้านโดยที่ไม่ต้องมีใครบอกว่าน้องอยู่ห้องไหน แล้วก็เปิดประตูเข้าไปเจอน้องที่กำลังกระเสือกกระสนดิ้นรนหนี พ่อแม่บอกว่าเห็นอาจารย์ทำมือวนๆ เหมือนขีดวงล้อม แล้วก็รวบๆ คว้าจับอากาศแถวๆ หัวของน้อง จากนั้นเอาสายสิญจน์มัดๆ แล้วเก็บใส่ย่าม แค่นี้เท่านั้นน้องก็ทรุดล้มลงนอนหลับ อาจารย์ก็เดินออกจากห้องไปแล้วเรียกพ่อมาหา บอกว่า
ที่บ้านนี้มีเคราะห์ ผีปอบมันเลยรุม มันไม่ได้มาแค่ตัวเดียว ถ้าใครจิตไม่เข้มแข็งจะโดนมันรุมกินจนตาย ผีปอบมันไม่เหมือนผีอื่น บางตัวก็เกิดจากพวกมีอาคมแก่กล้า มันก็เลยไม่กลัวพระสงฆ์องค์เจ้า แต่พระพุทธเจ้านั่นแหละท่านสูงสุดกว่าทุกสิ่ง สูงกว่าเทวดา ให้ไปหาพระพุทธรูปมาตั้งไว้ในบ้าน องค์เล็กๆ ก็ได้ ทำหิ้งพระตั้งไว้ให้ดี หมั่นระลึกถึงพระพุทธ พระธรรม พระอริยเจ้าทั้งหลายไว้ ก็จะปัดเป่าสิ่งร้ายออกไปได้ แล้วท่านก็ให้สายสิญจน์ไว้จำนวนหนึ่งบอกให้เอาผูกข้อมือกันไว้ พอจะคุ้มกันได้บ้าง สำหรับนังหนูนั่นเป็นคนที่ต่อไปจะเจอเรื่องพวกนี้ได้ง่าย ให้มันแขวนตะกรุดนี้ไว้ตลอดเวลาห้ามถอดออก ต้องแขวนไปจนโต จนกว่าจะพ้นเบญจเพสถึงค่อยถอดออกได้
ซึ่งก็คือที่มาของตะกรุดที่น้องเขาแขวนไว้นั่นเอง
น้องยังเล่าอีกว่า หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ก็กลายเป็นคนมีเซนส์ เห็นอะไรแปลกๆ ที่คนไม่เห็น เธอบอกว่า ยิ่งเวลาไปโรงพยาบาลนะพี่ นั่นล่ะแหล่งรวมเลย เห็นเขาเดินกันเต็มไปหมด ผมถามยิ้มๆ ว่า เขาน่ะใคร น้องก็เลยสวนกลับว่า เขาก็พวกที่พี่ก็รู้ว่าใครไงล่ะ แล้วเธอก็หัวเราะชอบใจ ผมถามต่ออีกว่า แล้วจะแขวนตะกรุดไปถึงอีกเมื่อไร เธอตอบว่า ตอนนี้ก็แขวนจนชินแล้ว เลยเบญจเพสมาสักพักแล้วล่ะ ก็คงแขวนไปเรื่อยๆ ล่ะมั้ง
อีกเหตุการณ์หนึ่ง คือตอนผมไปภาคอีสาน ไปเที่ยวกับเพื่อนและญาติๆ ของเพื่อน ที่เราไปเที่ยวกันก็เป็นท้องนาแถวๆ บ้านเพื่อนนั่นเอง เพื่อนเรียกว่า “ไปกินข้าวป่า” คือไปหากับข้าวเอาข้างหน้า คือไปหาปลาหาหอยในลำห้วย หาไข่มดแดง กะปอม จั๊กจั่นตามต้นไม้ หาผักตามริมคันนามากินกัน
เราเที่ยวกันอย่างสนุกสนาน แต่ทุกมื้อก่อนที่จะกิน ลุงสุ (แกเป็นพี่ชายของพ่อเพื่อนผม) จะตักอาหารนิดหน่อยใส่ใบไม้ไปวางที่จอมปลวกก่อน แกบอกว่าให้เจ้าที่เจ้าทางเขากินก่อน แล้วก็มีคืนหนึ่งขณะที่เรากำลังดื่มกินกันอยู่รอบกองไฟหน้าเถียงนา พ่อของเพื่อน (จากนี้จะขอเรียกว่าพ่อแล้วกันนะครับ) กับลุงสุก็ลุกขึ้นยืนมองไปในทุ่งนา แล้วหันมองหน้ากัน ท่าทางทั้งสองตั้งใจมองฝ่าความมืดออกไป และตั้งใจฟังเสียงจากเบื้องนอก ทำเอาพวกเราเด็กๆ รีบเงียบเสียงแล้วตั้งใจฟังบ้าง
แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่ได้ยินอะไร พ่อกับลุงสุทำท่าทางให้เราเงียบๆ แล้วหยิบไฟฉายกับปืนออกเดินไปส่องดูรอบๆ เถียงนา เราก็นั่งกันตัวเกร็ง ไม่กล้าถามว่าท่านเห็นอะไร จนสักพักท่านก็กลับมานั่งเหมือนเดิม แต่วางปืนไม่ห่างตัว เราถามว่าอะไร ท่านก็ส่ายหน้าบอกไม่มีอะไรหรอก แล้วก็เตือนว่ากลางคืนอย่าเดินออกไปไกลนักนะ เผื่อมีงูมีตะขาบ
จนพ่อไปนอนแล้ว เราถามลุงสุอีกที ลุงถึงบอกว่าพ่อกับลุงเห็นบางอย่างที่ไม่ค่อยดี เหมือนคนแต่ไม่ใช่ พอพูดเท่านี้พวกเราก็ขนลุกเกรียวเลยครับ ลุงบอกว่าไม่เป็นไรหรอก อย่าออกไปเดินมั่วซั่วก็แล้วกัน ก่อนนอนก็สวดมนต์ด้วยล่ะ ลุงบอกแค่นั้นแล้วเดินหนีไปนอน
คืนนั้นผมนอนอยู่บนเปล หลับไปแล้วตื่นขึ้นมากลางดึกได้ยินเสียงเหมือนคนเดินลุยกอหญ้าอยู่รอบๆ เถียง เสียงเดินช้าๆ ซวบซาบ แบบเสียงเดินระยอดหญ้าแห้ง ทีแรกก็คิดว่าลมพัด แต่มันดังเป็นจังหวะเหมือนคนเดิน จนทนรำคาญใจไม่ไหวก็เลยผงกหัวขึ้นเอาไฟฉายส่องดู แต่ไม่เห็นอะไรผิดสังเกต กวาดแสงไฟไปทั่วไม่พบใครก็ล้มตัวลงนอนต่อ
พอรุ่งเช้า เรากินอาหารเช้าเสร็จก็จะกลับเข้าหมู่บ้าน ซึ่งเป็นการกลับแบบปุบปับ เพราะลุงกับพ่อเร่งให้กลับ ทั้งที่เราออกเดินทางกันบ่ายๆ ก็ยังได้ เราขนของขึ้นท้ายรถกระบะ บางคนก็ขึ้นไปนั่งบนรถแล้ว พ่อเป็นคนขับก็สตาร์ทเครื่องเตรียมเดินทาง แต่ผมยังอยู่ข้างล่างเพราะรอจะถ่ายรูปทุกคนที่นั่งท้ายกระบะ
ลุงสุนั้นยืนบนพื้นเอนตัวพิงท้ายรถ เพื่อนผมกับญาติๆ ก็นั่งยิ้มรอบนรถ ผมยกกล้องขึ้นจะถ่าย ก็ได้ยินเสียงคนวิ่งตึ้กๆ มาจากข้างหลัง ผมเอี้ยวตัวหันไปมองว่าใครพึ่งมา ก็รู้สึกถึงความเย็นวูบหนึ่งผ่านข้างตัวไปทางท้ายรถ เหมือนมีคนวิ่งเร็วๆ ผ่านเราน่ะครับ แต่มองไม่เห็นใครเลย ขณะที่ผมตกตะลึงอยู่นั้น ผมก็เห็นลุงสุยกกำปั้นต่อยใส่อากาศ ตวาดว่า “ไป!” แล้วแกก็หันไปดึงมีดพร้ายาวจากท้ายรถ ไล่ฟันอากาศฉับๆ พวกเราตกตะลึงว่าแกทำอะไร ลุงสุก็ตะโกนบอกว่ารีบไปๆ ไปขึ้นรถ ผมก็วิ่งไปขึ้นรถด้วยความงุนงง
ลุงสุวิ่งกลับมาที่รถแล้วกระโดดขึ้นนั่งท้ายกระบะ พ่อก็ออกรถทันที ลุงสุตะโกนบอกเพื่อนผมว่าเอาปืนมา เพื่อนผมยื่นปืนลูกซองให้ แกก็ยกขึ้นลำยัดลูกปืนที่ล้วงออกมาจากกระเป๋ากางเกง ว่าคาถางึมงำแล้วยิงตูมออกไปทางท้ายรถ เรางงกันมากว่าแกยิงอะไร แกยิงเสร็จก็ยัดลูกเข้าไปใหม่แล้วท่องอะไรก็ไม่รู้ แต่หนนี้แค่ถือเตรียมพร้อมไว้ไม่ได้ลั่นไก ส่วนพ่อก็ขับรถแบบแทบจะเหาะออกมาเลย จนกลับถึงบ้านนั่นแหละ พ่อกับลุงถึงเล่าให้ฟัง
พ่อบอกว่าที่เราเจอนั้นคือปอบ มันไม่มีตัวตนให้เห็นหรอก แต่ท่านรู้สึกได้ว่ามันมา เท่าที่ผมทราบจากเพื่อนคือ พ่อของเขากับลุงสุนั้นมีวิชาอยู่พอตัว เพราะบวชอยู่นานทั้งคู่และศึกษาวิชามาจากอาจารย์เดียวกัน ที่เถียงนานั้น ท่านทั้งคู่รู้สึกพร้อมกันว่ามีอะไรบางอย่างมุ่งตรงมาทางเถียงนา เลยลุกไปส่องไฟดู ที่ส่องไฟก็เพื่อดูว่าเป็นสัตว์หรือเป็นคน ส่วนผีน่ะเราไม่เห็นมันง่ายๆ หรอก ทีนี้มันคงรู้ว่ามาเจอคนมีวิชา ก็เลยวนอยู่รอบๆ ไม่กล้าเข้ามา
ลุงสุบอกว่า ตอนผมจะถ่ายรูป มันวิ่งเข้ามาจะอาศัยเกาะติดรถเราไปด้วย เสียงตึ้กๆ น่ะไม่ใช่เสียงฝีเท้ามันหรอก แต่มันทำให้เราตกใจ ใครขวัญอ่อนมันก็จะเอาคนนั้นแหละ แกเลยตวาดแล้วต่อยใส่มัน ผมถามว่าต่อยโดยไหม แกขำแล้วบอกว่า
จะไปโดนอะไร แต่เป็นการข่มขวัญกันด้วยจิตน่ะ คนใจแข็งมีตบะอำนาจมากกว่าผี ผีก็หนีไป แต่ที่ให้รีบเผ่นออกมาเพราะไม่รู้ว่ามันจะเข้ามาเล่นลูกหลานคนไหนหรือเปล่า ปลอดภัยไว้ก่อนดีกว่า โดนปอบเข้าถึงไล่ออกไปได้ก็เจ็บไข้ไปนานแหละ
ผมฟังแล้วก็คิดว่ายังมีเรื่องพิศวงเหนือการพิสูจน์ที่เราไม่รู้อีกมากมาย ถ้าไม่ได้รู้สึกด้วยตัวเองผมก็คงไม่เชื่อ บางทีจะคิดว่าลุงแกมโนหลอกตัวเองหรือแกล้งหลอกพวกเราเล่นสนุกๆ ไปเท่านั้น
ขอขอบคุณที่มา จากผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า เพชรอาภา แสงสุวรรณ และ แอปเปิ้ล จัง
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่ คลังสยอง

กดแชร์บทความ