กล่องมอญ ของอาถรรพ์จากสวนจตุจักร!

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่บ้านของคุณเล็กแถวลำลูกกา เมื่อปี พ.ศ.2554 ส่วนตัวคุณเล็กนั้นชอบสะสมของเก่า ชอบเดินหาของเก่าตามสวนจตุจักร แล้วมีอยู่วันหนึ่ง ก็นัดกับเพื่อนไปที่สวนจตุจักร เพื่อไปหาดูของเก่า วันนั้นก็มีเพื่อนอีก 3 คน รวมคุณเล็กด้วยเป็น 4 คน คุณเล็กก็เดินไปเรื่อย ๆ และเดินผ่านร้านขายของเก่าร้านหนึ่งที่ขายกล่องไม้ คุณเล็กก็ไปสะดุดตากล่องไม้สีดำฝังมุก เป็นลายไทย สวยมาก ก็ถามลุงเจ้าของร้านว่า พี่นี่กล่องอะไร สวยจัง ลุงเจ้าของร้านตอบว่า ไม่รู้ ก็ไปซื้อเหมา ๆ มา น้องชอบไหมล่ะ พี่พยายามเปิดมาตั้งนานแล้ว แต่เปิดไม่ออก คุณเล็กก็หยิบกล่องขึ้นมาดู ลักษณะของกล่อง กว้าง 10 นิ้ว ยาว 15 นิ้ว เป็นไม้สีมัน ๆ ฝังมุกเป็นลายไทย มีรอยฝาปิด แต่ไม่มีกลอนล็อก ไม่มีรูกุญแจ พอเขย่า ๆ กล่องก็มีเสียง ก็อกแก็ก ๆ อยู่ข้างในกล่อง สุดท้ายแล้วคุณเล็กก็ซื้อกล่องใบนี้มา และเดินมาหาเพื่อน เพื่อนก็ถามว่า ไปซื้อกล่องอะไรมาวะ […]
คืนวันลอยกระทง เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

วันเพ็ญเดือนสิบสอง น้ำนองเต็มตลิ่ง เราทั้งหลายชายหญิง สนุกกันจริง วันลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอย ลอยกระทง ลอยกระทงกันแล้ว ขอเชิญน้องแก้วออกมารำวง รำวงวันลอยกระทง รำวงวันลอยกระทง บุญจะส่งให้เราสุขใจ บุญจะส่งให้เราสุขใจ แสงจันทร์เต็มดวงสาดส่องลงมากระทบกับผืนน้ำเป็นประกายระยิบระยับน่าหลงใหล กระทงหลายใบหลากสีสันไหลไปตามสายธาร เทียมที่ปักอยู่ส่องแสงสว่างจ้าไปทั่วทั้งบริเวณ ดูแล้วช่างตระการตาเสียจริง เพลงลอยกระทงถูกเปิดคลอในงานเทศกาลเบาๆ ลักษณะงานคล้ายคลึงกับงานวัด มีชิงช้าสวรรค์ที่ตกแต่งด้วยหลอดไฟฟลูออกเรสเซนต์หลากสีสัน รอบๆ งานมีร้านขายขนมโบราณนานาชนิดอยู่ทั่วบริเวณ ผู้คนอัดแน่นกันเต็มถนน และที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ในงานเทศกาลแบบนี้คือ ร้านขายกระทง ‘แวว’ หญิงสาวในชุดนักศึกษาเดินเบียดเสียดผู้คนไปตามท้องถนนเพื่อไปหาซื้อกระทงที่จะนำไปลอย ผิวที่ซีดจัดราวกับหิมะของเธอนั้นทำให้หญิงสาวดูโดดเด่นขึ้นมายามที่แสงไฟสีต่างๆ จากหลอดฟลูออเรสเซนต์มากระทบ “กระทงใบละยี่สิบจ้ะ ยายทำเองเลยนะ” แววหูผึ่งทันทีที่ได้ยินเสียงของหญิงชราคนหนึ่งใบละยี่สิบบาทไม่ใช่จะหากันง่ายๆ สมัยนี้! โชคดีจริงๆ เป็นเรื่องปกติของสาวๆ ที่เมื่อเวลาเห็นของถูกหูตาก็จะแวววาวเป็นพิเศษ หญิงสาวรีบเดินแหวกผู้คนเข้าไปข้างทางทันที โต๊ะอลูมิเนียมเล็กๆ แบบพับเก็บได้ตั้งตระหง่าอยู่ระหว่างร้านขายขนมทั้งสองข้าง หญิงชราสวมเสื้อลายกล้วยไม้สีม่วงกับโจงกระเบนสีฟ้าที่กำลังนั่งพัดตนเองด้วยพัดสานอยู่บนเก้าอี้พลาสติกรีบเอ่ยทักหญิงสาวทันทีที่เห็นเธอเดินใกล้เข้ามา “แม่หนูสนใจกระทงยายมั้ย ยี่สิบบาทเอง” ทำไมจะไม่สน เป็นใครใครก็สน! กระทงใบตองสิบกว่าใบเรียงรายกันอยู่บมโต๊ะอลูมิเนียมเล็กๆ ทั้งหมดมีลักษณะเหมือนกัน รอบตัวกระทงพับใบตองเป็นแบบกลีบผกา ภายในตกแต่งด้วยดอกบานไม่รู้โรยและดอกดาวเรือง มีธูปปักอยู่สามดอกและเทียนอีกหนึ่งเล่ม “เอาใบนึงค่ะยาย” หญิงสาวเอ่ยพลางหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากเป้สะพายหลัง แล้วควักแบงค์ยี่สิบออกมาส่งให้หญิงชรา ไม่รู้แววรู้สึกไปเองรึเปล่า แต่เหมือนว่ากระทงเหล่านั้นกำลังเรียกเธออยู่ เลือกฉันสิเลือกฉัน […]
กลางดงดิบ | นางรำหม่องส่วยยี! อาถรรพ์ป่าพม่า

เกริ่นก่อนอ่าน: ในเรื่องเล่าต่อไปนี้ อาจมีตัวอักษรภาษาอังกฤษหรืออักษรที่มีลักษณะใกล้เคียงแทรกเข้ามาผสมในบางคำ วัตถุประสงค์เพื่อหลีกเลี่ยงคำที่sุนแsง เรื่องนี้เป็นประสบการณ์ของนายพรานคนหนึ่งที่ชื่อว่า พรานแดง ต้องขอเท้าความไปในอดีต จากที่เคยเป็นเด็กวัยรุ่น ยิงนก ตกปลา ตามประสาชาวบ้านป่า แต่แล้วก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่เป็นจุดเปลี่ยนที่ทำให้ ลุงแดง พรานรุ่นเยาว์กลายเป็น พรานแดง ผู้ช่ำชองเรื่องป่าและเป็นพรานประจำหมู่บ้านเหมือนอย่างในปัจจุบัน ในขณะนั้นหมู่บ้านมีเหตุการณ์ประหลาดเกิดขึ้น โดยคนในหมู่บ้านทยอยกันล้มตๅยโดยไม่ทราบสาเหตุ อาการก่อนตๅยคล้ายคนโดนผีเข้า ไม่นานนักก็มีการปรากฏตัวขึ้นของนายพรานคนหนึ่งซึ่งมาจากฝั่งพม่า ผู้อาสาเข้ามาจัดการกับสิ่งที่กำลังกัดกินคนในหมู่บ้าน สิ่งนั้นมันคือ ผีป่า! ซึ่งในตอนนั้นคนในหมู่บ้านไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำว่าผีป่าคืออะไรและจะจัดการกับมันยังไง โดยชาวบ้านต่างเรียกนายพรานผู้มาจากต่างถิ่นคนนี้ว่า ลุงหม่อง ลุงแดงพรานฝึกหัดเห็นนายพรานผู้เจนป่าก็เกิดความสนใจ จึงขอติดตามลุงหม่องเข้าป่าเพื่อขอดูวิธีการจัดการกับผีร้ายว่าเขาทำกันอย่างไร โดยที่ลุงหม่องได้บอกกับลุงแดงว่า เดี๋ยวข้าจะพาไปดูอะไร ถ้าเอ็งไม่เชื่อว่าผีป่ามีจริง เดี๋ยวข้าจะทำอะไรให้ดู สิ่งที่ลุงหม่องพูดถึง นั่นคือการนำร่างของคนตๅยศwล่าสุด ใช้เชือกผูกมัดขาแล้วนำร่างไปแขวนกับห้างสูงในลักษณะห้อยหัวลง จนความมืดมาเยือน วิธีการพิสูจน์อะไรบางอย่างก็ได้เริ่มขึ้น สิ่งที่เอ็งเห็นเป็นศwมันยังไม่ตๅย ผีป่ายังอยู่ในร่างมัน ลุงหม่องว่า จากนั้นลุงหม่องก็ให้ลุงแดงใช้ปืuกระหน่ำยิงไปยังร่างที่ห้อยต่องแต่งอยู่เบื้องหน้า สักพักก็มีเสียงหัวเราะดังลั่นป่าและศwที่ห้อยหัวอยู่นั้นมันก็กระดิก! ซึ่งในขณะที่มันกระดิกตัวและส่งเสียงหัวเราะอยู่นั้น มันก็ถุยกระสุนที่โดนสาดยิงก่อนหน้านี้ออกทางปากอีกด้วย นี่เป็นประสบการณ์ครั้งแรกของลุงแดงที่ได้เห็นอะไรที่ชวนสะพรึงเช่นนี้ แล้วจะจัดการมันยังไงล่ะลุงหม่อง ลุงแดงว่าเสียงสั่น ไม่ต้องรอให้ถามต่อ ลุงหม่องรีบปีนขึ้นห้างสูง จากนั้นก็บริกรรมคาถาใส่ปืuแล้วยิงแสกหน้าศwที่มีผีป่าสิงสู่ เสียงดัง ปัง! ตามด้วยเสียงร้องโหยหวนของผีร้ายที่ดังขึ้นแทรกฝ่าความมืดและหนีหายเข้าไปในป่าลึก จากเหตุการณ์ในครั้งนั้น ทำให้ลุงแดงฝากตัวเป็นศิษย์ของลุงหม่องผู้มีฝีมือและเข้มขลังไปด้วยอาคม […]
คุณไสยกระดูกผี เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เมื่อไม่นานมานี้ เรามีโอกาสได้อ่านดวงจากนักพยากรณ์ท่านหนึ่ง ว่าด้วยเรื่อง ราศีไหนกำลังจะโดนคุณไสย โดนคนทำของไม่ดีใส่ เจออะไรค่ำ ๆ มืด ๆ ห้ามทัก พออ่านจบ อ้าวนี่มันราศีเรานี่นา เเต่ตอนนั้นก็คิดว่ามันคงไม่มีอะไรหรอกมั้ง เเต่ลึก ๆ แล้วก็บอกตัวเองว่า ระวังไว้หน่อยก็ดี จนเวลาผ่านไปอาทิตย์กว่า วันนั้นเป็นช่วงบ่าย เราสังเกตุเห็นเงาคล้ายคนวิ่งไปวิ่งมาที่หน้าบ้าน ตอนนั้นเราลืมนึกเรื่องที่อ่านดวงไปเสียสนิท เราเลยตะโกนถามออกไป นั่นใครน่ะ แล้วเงานั้นก็หายไป จนตกค่ำเราได้กลิ่นเหม็นเน่าจากหน้าบ้าน กลิ่นเเรงมาก แต่แปลกที่คนในบ้านกลับไม่มีใครได้กลิ่นเลย กลิ่นแรงจนเวียนหัว จนเราเผลอสบถขึ้นมาว่า กลิ่นเ_ี้ยอะไรวะเนี่ย อะไรตายวะ! พอเราพูดจบ แม่หันมาตีเเขน มันดึกมันดื่นจะพูดทำไม? เราเลยบอกแม่ว่ามันเหม็น จนสุดท้ายเราก็หนีขึ้นไปนอน คืนนั้นเวลาประมาณตี 2 เราสะดุ้งตื่นเพราะได้ยินเสียงคนเรียกชื่อ เรียกอยู่นานมาก เสียงนั้นเย็นยะเยือกจนน่าขนลุก เเต่เราก็ไม่ขานรับ ได้เเต่นอนกอดหมอนข้างข่มใจไว้ด้วยความกลัว จนถึงช่วงเช้ามืด เราได้ยินเสียงเเม่เอะอะโวยวายลั่นบ้าน ตะโกนถามคนในบ้าน ปลุกจนตื่นหมดทุกคน ญาติข้าง ๆ บ้านก็ตกใจตื่น กำลังจะวิ่งมาที่บ้าน แต่ต้องชะงักเพราะตรงหน้าบ้านมีกองผงถ่านสีเทา ๆ ดำ ๆ […]
โรงแรมระนอง เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ.2530 คุณศักดิ์ได้ไปพากย์หนังที่โรงหนังพูลผลรามา ในจังหวัดระนอง ซึ่งในสมัยนั้นจะใช้วิธีการพากย์หนังกันสดๆ ในโรงหนังเลย ไปถึงช่วงเวลาประมาณบ่ายโมง ก็ได้เข้าไปเปิดห้องพักที่โรงแรมแห่งหนึ่ง ได้ห้องพักบนชั้นห้า จังหวะที่คุณศักดิ์เปิดห้องเข้าไป คุณศักดิ์มีความรู้สึกว่าเหมือนเบียดใครบางคนเข้าไป เหมือนมีใครมายืนบังอยู่ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจอะไร คุณศักดิ์วางของแล้วก็เข้าไปอาบน้ำ ในระหว่างที่กำลังอาบน้ำ คุณศักดิ์มีความรู้สึกว่า เหมือนมีใครอยู่ในห้องนอน ก็เลยลองเปิดประตูห้องน้ำออกมาดูสองสามครั้ง ก็ไม่เจออะไร จนอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย แต่งตัวเตรียมจะไปโรงหนัง เวลาประมาณหกโมงเย็น คุณศักดิ์เดินออกนอกห้องแล้วปิดประตูและล็อกห้อง แต่ในระหว่างที่กำลังล็อกห้อง มีความรู้สึกว่าเหมือนมีคนอยู่ข้างในห้อง ก็เลยเปิดเข้าไปดู แล้วเห็นเหมือนเป็นเงาวูบผ่านหน้าคุณศักดิ์ออกมานอกห้อง คุณศักดิ์มีความรู้สึกว่า มันไม่ค่อยจะดีแล้ว แต่ก็ไม่อยากคิดอะไรมาก ก็เลยปิดประตูล็อกตามเดิม แล้วหันไปทางซ้ายมือเพื่อที่จะเดินลงบันได แต่มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ที่บันไดแล้วมองมาที่คุณศักดิ์ คุณศักดิ์ก็ยิ้มให้ แต่เค้าก็ไม่ยิ้มตอบ คุณศักดิ์ก็เลยเดินลงบันไดไป แล้วหันกลับมามองอีกที ปรากฏว่าผู้ชายคนนั้นหายไปแล้ว มองหาจนทั่วแต่ก็ไม่เจอ คุณศักดิ์ก็เลยหันกลับแล้วเดินลงบันไดต่อ แต่แล้วก็ได้ยินเสียงคนไขประตูห้องแล้วเปิดประตู คุณศักดิ์หันกลับไปมอง ก็เห็นผู้ชายคนนั้นเดินเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู คุณศักดิ์ก็เลยเดินลงจนไปถึงข้างล่างแล้วก็นึกขึ้นได้ว่า ห้องที่ผู้ชายคนนั้นเข้าไปมันเป็นห้องของเรานี่หว่า! คุณศักดิ์เลยรีบเดินกลับขึ้นไป เพราะกลัวว่าจะเป็นขโมย พอถึงหน้าห้องก็ไขประตูแล้วถีบประตูเข้าไป ปรากฏว่าภายในห้องไม่มีอะไรเลย ทุกอย่างเหมือนเดิม คุณศักดิ์ก็เลยเดินไปถามที่เคาน์เตอร์ด้านล่างว่า กุญแจห้องนี้มันมีกี่ดอก แล้วห้องนี้มันเคยมีอะไรหรือเปล่า พนักงานก็ได้แค่ตอบว่า ไม่มีอะไร […]
กุฏิพระเล่นของ เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อหนึ่งปีที่ผ่านมา คุณเบนและน้องชายได้ไปบวชยังวัดแห่งหนึ่งย่านลาดพร้าว พระพี่เลี้ยงที่วัดก็ได้พาคุณเบนและน้องขึ้นกุฏิหลังใหญ่ซึ่งภายในประกอบไปด้วยห้องหลายห้อง ทางวัดได้จัดไว้ให้คุณเบนและน้องอยู่ชั้นสองของกุฏิ พอคุณเบนก้าวเข้าไปในห้อง คุณเบนก็รู้สึกแปลกๆ ห้องของพระทุกห้องน่าจะมีพระพุทธรูปตั้งอยู่ในห้องด้วย แต่ห้องของคุณเบนกลับมีเป็นบาตรพระที่ลงอักขระตั้งไว้แทน หลวงพี่ท่านได้กำชับว่า ห้ามแตะบาตรนี้เด็ดขาด นั่นก็ยิ่งทำให้คุณเบนและน้องชายเกิดความสงสัยขึ้นว่าเพราะอะไร เย็นวันนั้นคุณเบนและน้องชายก็ได้จัดแจงข้าวของและวางที่นอนให้เข้าที่เข้าทาง พรุ่งนี้ตอนเช้าจะต้องออกบิณฑบาต คุณเบนและน้องชายก็จะต้องท่องบทสวดให้พรเวลาญาติโยมใส่บาตรให้คล่องเสียก่อน จึงนั่งฝึกท่องกันในห้อง คุณเบนได้ลองเดินสำรวจไปทั่วห้อง แล้วมองออกไปนอกหน้าต่างก็สังเกตว่า ตำแหน่งของกุฏิหลังนี้มันอยู่ตรงกับทางสามแพร่งพอดี คุณเบนกลับมานั่งฝึกท่องบทสวดต่อ จนสักพักก็รู้สึกว่าเริ่มท่องไม่รู้เรื่องแล้ว ก็เลยแยกกันท่อง โดยพระน้องชายอาสาออกไปฝึกท่องอยู่ที่หน้าห้อง ส่วนคุณเบนก็ฝึกท่องอยู่ด้านใน น้องชายของคุณเบนก็ได้ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่หน้าห้อง หลวงพี่ก็เดินขึ้นกุฏิมาเห็นท่านก็ตกใจ แล้วบอกว่า พระแบล็ค ห้ามนั่งบนเก้าอี้ตัวนี้เด็ดขาด หลวงพี่ลืมบอก คุณเบนได้ยินเสียงก็เลยเดินออกมาดู ก็สงสัยว่าทำไมถึงห้ามแตะนู่นแตะนี่ อะไรก็ห้ามไปหมด คุณเบนก็ชวนพระน้องชายลงไปฝึกท่องข้างล่างแทน พอลงไปข้างล่างแล้ว หลวงพี่ที่อยู่ตรงข้ามกุฏิก็ได้ถามว่า ท่านทั้งสองรูปนอนที่ไหน คุณเบนก็ได้ตอบไปว่า นอนห้องนี้ครับ แล้วชี้นิ้วขึ้นไปยังกุฏิที่พัก หลวงพี่ก็ยิ้ม แล้วหัวเราะ จากนั้นก็พูดว่า ห้องนี้เหรอ ตรงข้ามกับห้องของผมเลยนะ ทำไมต้องหัวเราะแบบนั้นด้วยครับหลวงพี่? คุณเบนถาม อ๋อเปล่าๆ ไม่มีอะไร ห้องนั้นลมพัดเย็นดี หลวงพี่ตอบ คุณเบนรู้สึกผิดปกติและเริ่มรู้สึกกลัว ก็เลยเค้นกับหลวงพี่อีกที หลวงพี่ครับ ห้องนั้นมันมีอะไรกันแน่ บอกผมมาเถอะ เพราะว่าถ้าเกิดผมกับน้องชายผมเจอ ช็อคทั้งคู่เลยนะ! […]
คุณไสยปอบลิ้นดำ เรื่องเล่าสยองขวัญ

เรื่องราวและเหตุการณ์นี้ เป็นประสบการณ์ตรงสมัยที่คุณพงษ์นั้นบวชเรียนเป็นพระ และก็ได้ติดตามพระอาจารย์ออกเดินธุดงค์ สมัยนั้นเป็นปี พ.ศ.2542 ป่ายังมีอยู่เยอะมากไม่เหมือนกับสมัยนี้ พงษ์ได้เดินตั้งแต่จังหวัดฉะเชิงเทรามุ่งหน้าไปสู่อิสาน เดินแบบไปกันเรื่อยๆ ค่อยๆ ไป ค่ำไหนก็ปักกลดที่นั่น เดินธุดงค์เป็นเวลาสองเดือนเห็นจะได้ จนกระทั่งไปถึงจังหวัดสุรินทร์ในช่วงเวลาค่ำ แล้วพระอาจารย์ท่านก็ได้เลือกทำเลปักกลดซึ่งเป็นวัดร้างแห่งหนึ่ง พอตกค่ำหลังจากที่พระภิกษุทั้งสองรูปทำวัตรสวดมนต์กันเสร็จ ก็มีผู้ใหญ่บ้านมากับลูกบ้านอีกสี่ห้าคน เข้ามากราบนมัสการพระอาจารย์ แล้วก็พูดขึ้นว่า นมัสการครับพระอาจารย์ทั้งสอง ดีเหลือเกิน แถวนี้ไม่มีพระมาโปรดญาติโยมชาวบ้านนานมากแล้ว เนื่องจากสมัยนั้นทางภาคอีสาน วัดจะร้างกันเยอะ พระก็ไม่ค่อยจะมีเหมือนสมัยนี้ แล้วผู้ใหญ่บ้านก็ถามต่อไปว่า พระอาจารย์นั้นจะมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่สักกี่วัน พระอาจารย์ก็ตอบไปว่า ถ้าสถานที่และบรรยากาศสงบเหมาะแก่การปฏิบัติธรรมก็จะอยู่สักสองสามวัน เนื่องจากเดินธุดงค์มานานมากแล้วก็อยากพักปฏิบัติสักที ผู้ใหญ่บ้านนั้นก็อนุโมทนาสาธุแล้วก็พูดอีกว่า เดี๋ยวผมกลับไปจะให้ลูกบ้านไปป่าวประกาศบอกกับชาวบ้านคนอื่นๆ ว่ามีพระมาปักกลดโปรดญาติโยมอยู่บริเวณนี้ จะได้มาทำบุญใส่บาตรกัน ว่าแล้วชาวบ้านทั้งหมดก็ขอตัวกราบลากลับไป พระทั้งสองรูปก็ปฏิบัติธรรมกันต่อ ทั้งนั่งสมาธิ แล้วก็เดินจงกรม จนกระทั่งเวลาถึงเที่ยงคืนก็เข้ากลดจำวัดกัน เพื่อที่ว่าเมื่อถึงเวลาตีสี่ก็จะต้องตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์ คืนแรกนั้นก็ผ่านไปไม่มีอะไรเกิดขึ้น จนถึงตีสี่ก็ตื่นขึ้นมาทำวัตรสวดมนต์และก็ปฏิบัติกันจนเกือบหกโมงเช้า พระภิกษุทั้งสองรูปก็เตรียมตัวที่จะออกบิณฑบาต แต่ว่าพระอาจารย์นั้นบอกว่า วันนี้ไม่ต้องไปบิณฑบาตหรอก นั่งรออีกสักพัก ชาวบ้านก็จะมาทำบุญที่นี่เอง แล้วท่านพระอาจารย์ก็พูดต่อไปว่า ท่านจำเอาไว้นะ เดี๋ยวตอนที่ชาวบ้านมาทำบุญใส่บาตรเรานั้น ท่านจงสังเกตเอาไว้ให้ดี จะมีหญิงวัยกลางคนอยู่สองคนที่จะแต่งตัวไม่เหมือนคนในพื้นที่นี้ และกับข้าวที่จะนำมาถวายเรานั้นก็จะไม่เหมือนกับชาวบ้านทั่วไปบริเวณนี้ พระพงษ์ซึ่งตอนนั้นก็บวชได้แค่เดือนเดียว ได้แต่รับฟังในสิ่งที่พระอาจารย์นั้นบอก และท่านก็ได้บอกต่อไปว่า […]
โอ่งดองผี เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เป็นเรื่องราวที่ลูกพี่ลูกน้องเล่าให้คุณอู๋ฟังอีกทีหนึ่ง เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นที่บ้านหลังหนึ่งแถวภาคตะวันออก เมื่อประมาณเจ็ดปีที่ผ่านมา คุณเอทำอาชีพขายผลไม้ดอง โดยการดองผลไม้เองแล้วขายส่งตลาดใหญ่ เขาอาศัยอยู่กับคุณพ่อคุณแม่และลูกจ้าง คุณพ่อคุณแม่จะไปเฝ้าที่ตลาดใหญ่ทั้งวัน แล้วช่วงกลางคืนก็จะกลับมานอนที่บ้าน ลูกจ้างมีทั้งหมดสี่คน คือป้าสีกับลุงชัย มีหน้าที่ปอกผลไม้กับเฝ้าแผงที่ตลาด และอีกสองคนอยู่ที่บ้าน ชื่อพี่เป้กับกอแก้ว ทำหน้าที่ล้างและดองผลไม้ อยู่มาได้สักพัก ป้าสีก็ได้พาหลานชายมาฝากทำงานด้วยคนหนึ่ง ชื่อพี่ชาย เพิ่งจะพ้นโทษออกมาจากคดียๅเสwติด บ้านที่คุณเออยู่จะเป็นบ้านเดี่ยวสองชั้น มีรั้วล้อมรอบ ชั้นหนึ่งจะมีสามห้องนอน คนงานทั้งห้าคนจะพักอยู่ที่ชั้นหนึ่ง หลังบ้านจะเป็นที่วางโอ่งดองผลไม้ ซึ่งมีอยู่หลายสิบโอ่งด้วยกัน พี่เป้ซึ่งเป็นสามีของแก้ว ตกเย็นมามักจะชอบนั่งดื่มเหล้าทุกวัน ไม่ค่อยสนใจภรรยา และเมื่อมีพี่ชายเข้ามาทำงานด้วย พี่เป้จึงเริ่มมีปากเสียงกับแก้วหนักขึ้นเรื่อย ๆ เพราะเกิดอาการหึงหวง เหตุการณ์เป็นแบบนี้อยู่ประมาณหนึ่งอาทิตย์ เช้าวันหนึ่ง คุณเอเดินลงมาที่ชั้นล่างและบอกให้พี่เป้ตักผลไม้ดองไปส่งที่ตลาดเหมือนเช่นทุกวัน แต่เมื่อลงมาถึงก็เจอพี่เป้นั่งอยู่คนเดียว คุณเอจึงถามออกไปว่า อ้าว แล้วชายกับแก้วมันไปไหน ทำไมถึงไม่มาช่วยกัน แต่อยู่ ๆ พี่เป้แกก็น้ำตาไหลสะอึกสะอื้น แล้วตอบคุณเอว่า ไอ้ชายกับอีแก้วมันหนีตามกันไปแล้ว พี่เป้แกปล่อยโฮอยู่พักใหญ่ คุณเอก็ยืนนิ่งไม่รู้จะปลอบยังไง เพราะยังไม่รู้ว่าเรื่องมันเป็นมายังไง พี่เป้พูดทั้งน้ำตาว่า เดี๋ยววันนี้ผมจะขอลางานนะพี่ เดี๋ยวจะไปตามหาอีแก้วมันสักสองสามวัน เดี๋ยวให้ลุงชัยแกเข้ามาช่วยงานในบ้านไปก่อนนะพี่ คุณเอเห็นแล้วก็รู้สึกสงสารจึงอนุญาตให้ไป แต่ก่อนที่พี่เป้จะไป คุณเอก็พูดขึ้นว่า เอ็งก็อย่าคิดสั้นนะ […]
ของเขมรที่บุรีรัมย์ เรื่องเล่าเขย่าขวัญ

เรื่องนี้เกิดขึ้นที่จังหวัดบุรีรัมย์ เมื่อปี พ.ศ. 2557 ซึ่งคุณวิทย์ได้อยู่ในเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด และคุณวิทย์ได้เล่าว่า ต้นกับเหมียวเป็นสามีภรรยากัน ต้นเป็นเด็กฝึกงานที่ฝึกงานกับคุณวิทย์ เป็นผู้ช่วยพนักงานขาย ต่อมาก็ได้เลื่อนขึ้นมาเป็นเซลล์ ซึ่งต้นนั้นเป็นเด็กหนุ่มที่หน้าตาดี อายุประมาณ 24-25 ปี ด้วยความที่หน้าตาดี ต้นจึงมีนิสัยเป็นผู้ชายที่เจ้าชู้ ตอนนั้นต้นก็ติดตามคุณวิทย์อยู่ตลอด จนคุณวิทย์กลับบ้านที่จังหวัดขอนแก่น ต้นก็ไปเจอกับเหมียว ที่เป็นหลานของคุณวิทย์ แต่เป็นญาติห่างๆ ทั้งคู่เกิดชอบคอกัน พอคุณวิทย์รู้ว่าต้นชอบหลานก็บอกกับต้นว่าไม่ได้นะ เพราะเหมี่ยวเป็นหลานคุณวิทย์ ถ้าจะจริงจังก็จริงจังไป อย่าเล่นๆ เหมือนคนอื่นที่ต้นเคยจีบ จนสุดท้ายทั้งคู่ก็ได้แต่งงานกัน โดยผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายรับรู้ แต่ด้วยความที่ต้นเป็นคนเจ้าชู้ ต้นก็ไม่หยุดพฤติกรรมแย่ๆ ของตัวเอง ส่วนเหมียวด้วยความที่เป็นเด็กจบใหม่ก็รักต้นมาก เพราะน่าจะเป็นรักแรก บ่อยครั้งที่ต้นชอบโพสต์รูปเซลฟี่กับผู้หญิงคนอื่นลงเฟซบุ๊กโดยไม่แคร์ความรู้สึกของเหมียวเลย ตอนนั้นคุณวิทย์ก็รู้สึกผิดที่ยุให้ทั้งคู่แต่งงานกัน จนวันหนึ่ง เหมียวก็โทรมาหาคุณวิทย์และบอกว่าไม่ไหวแล้ว จะไม่ทนกับต้นแล้ว คุณวิทย์ก็บอกให้อดทนไว้ก่อน และนั่นก็เป็นสายสุดท้ายที่คุณวิทย์ได้คุยกับเหมียว เพราะหลังจากนั้นเรื่องก็เงียบหายไปร่วมเดือน ในส่วนของต้นเป็นอะไรที่น่าเหลือเชื่อมากสำหรับเซลล์มือใหม่ๆ เพราะต้นทำยอดขายได้ถล่มทลายในชนิดที่ว่าคนเก่าๆ อย่างคุณวิทย์ก็สู้ไม่ได้ ซึ่งทำให้ต้นได้เป็นพนักงานขายยอดเยี่ยมในรอบ 6 เดือนของบริษัท แล้วก็จะมีงานจัดเลี้ยงเล็กๆ ให้กับพนักงานขายซึ่งผู้จัดการก็ได้เรียกต้นขึ้นมารับรางวัล คุณวิทย์ได้สังเกตอยู่ตลอดเวลา วันที่จะมอบรางวัลเหมือนต้นจะอยู่ไม่ค่อยสุข กระวนกระวาย พอรับรางวัลเสร็จคุณวิทย์ก็ชวนต้นไปกินเลี้ยงกัน แต่ต้นตอบกลับว่า […]
คุณไสยยาสั่งเขมร เรื่องเล่าสยองขวัญ

สวัสดีครับทุกคน เรื่องนี้เป็นเรื่องจริงที่ผมเจอมากับตัว มีพยานบุคคลที่อยู่ร่วมเหตุการณ์สามารถยืนยันได้ชัดเจน แต่ชื่อของตัวละครในเรื่องผมได้ทำการเปลี่ยนใช้ชื่อสมมติทั้งหมด เพราะผู้คนที่อยู่ในเหตุการณ์นี้ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบัน ถ้าใช้ชื่อจริงอาจทำให้กระทบต่อชีวิตประจำวันเขาได้ จึงได้เปลี่ยนเป็นชื่อสมมติเพื่อความเหมาะสมครับ เรื่องนี้เกิดเมื่อ 3-4 ปีก่อน ตอนนั้นผมยังเรียนอยู่ ม.ปลาย คือช่วงที่ผมพึ่งจะศึกษาศาสตร์วิชากับครูบาอาจารย์ได้เพียงปี-สองปี คนที่รับรู้เรื่องของผมก็มีเพียงพ่อ แม่ และญาติใกล้ชิดเท่านั้น การรับมือกับสถานการณ์แบบนี้ ครั้งนี้จึงถือเป็นครั้งแรก และตั้งแต่ตอนนั้นถึงตอนนี้ ก็ยังถือว่าเป็นครั้งที่มีผลต่อผู้ถูกกระทำรุนแรงที่สุดด้วยครับ เรื่องมีอยู่ว่า พี่ต้อมเป็นญาติห่างๆ ของผม ซึ่งพ่อของผมกับแม่ของพี่ต้อมเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน (ปู่ผมเป็นพี่ชายของตาพี่ต้อม) ด้วยความที่บ้านอยู่ใกล้กัน ผมจึงค่อนข้างสนิทกับบ้านพี่ต้อมตั้งแต่เด็ก ซึ่งเรื่องที่ผมชอบเรียนรู้วิชานี้บ้านพี่ต้อมก็รับรู้ด้วย พี่ต้อมมีแฟนสาวชื่อพี่ผึ้ง ทางบ้านพี่ต้อมค่อนข้างจะยากจนเพราะพ่อพี่ต้อมติดสุรา ทำให้ครอบครัวของพี่ผึ้งไม่ค่อยจะปลื้มเรื่องนี้นัก ออกจะกีดกันเสียจนออกนอกหน้าด้วยซ้ำ โดยเฉพาะแม่ของพี่ผึ้งที่แสดงออกชัดเจนว่าไม่เอาพี่ต้อมเป็นลูกเขยแน่ๆ พี่ต้อมกับพี่ผึ้งจึงต้องแอบไปมาหาสู่กัน โดยมีเพียงผู้ใหญ่ฝ่ายพี่ต้อมรับรู้ โดยพยายามหลบทางบ้านพี่ผึ้งที่จะคอยกีดกัน หนักเข้าถึงขั้นขังพี่ผึ้งไว้ในบ้านเพื่อไม่ให้เจอกับพี่ต้อม พอพี่ต้อมพยายามไปตามที่บ้านก็ถูกไล่ตะเพิดออกมา ทั้งยังพูดจาดูถูกที่บ้านพี่ต้อมสารพัด วันหนึ่งพี่ผึ้งแอบหนีมาหาพี่ต้อมที่บ้านตอนกลางดึก แม่พี่ผึ้งรู้เข้าถึงขั้นตามมาโวยวายถึงบ้านพี่ต้อมจนเป็นเรื่องราวใหญ่โต วันรุ่งขึ้นทางบ้านพี่ต้อมจึงต้องยกกันไปเจรจากับแม่พี่ผึ้งถึงบ้าน ครั้งนี้ทางพี่ต้อมเอาคุณตามน ตาของพี่ต้อมที่อยู่บ้านหลังใหญ่ (แม่พี่ต้อมแยกออกมาปลูกบ้านอยู่กับสามีในที่ของตามน) มาร่วมเจรจาด้วย ตามนเป็นคนที่ชาวบ้านเคารพนับถือ แม่ของพี่ผึ้งจึงจำยอมให้ลูกสาวคบกับพี่ต้อมอย่างเปิดเผย โดยทางบ้านพี่ต้อมได้วางเงินหมั้นไว้จำนวนหนึ่ง และได้ขอพี่ผึ้งให้มาอยู่ที่บ้านด้วยกันเลย หลังจากนั้นพี่ผึ้งก็ได้ย้ายเข้าบ้านพี่ต้อม โดยที่แม่ของพี่ผึ้งไม่ค่อยพอใจนัก ยังพยายามพาลูกไปโน่นนี่บ่อยๆ เพื่อให้พี่ผึ้งไม่มีเวลาอยู่กับพี่ต้อม จนวันหนึ่งเวลาประมาณสองทุ่ม […]