ท้องถิ่นบ้านล้านนา ในอดีตเมื่อเนิ่นนานมาแล้ว ล้วนอุดมสมบูรณ์ไปด้วยไม้ใหญ่ลำสูงขึ้นเบียดเสียดแน่นหนาอยู่ทุกภูดอย ป่ามีมากกว่าคน คนมีจำนวนน้อยกว่า จึงต้องนอบน้อมให้กับป่าใหญ่ดงหนาอันมีแต่สิ่งลี้ลับ
ชาวบ้านพื้นถิ่นต่างเชื่อถือและเคารพยำเกรงในความอาถรรพ์ของป่าดงพงไพร หากต้องย่ำกรายเข้าไปก็ต้องมีการเซ่นสรวงสังเวยเพื่อบอกกล่าวถึงจุดประสงค์กับเจ้าเขาอันรักษาผืนป่า แล้วก็ต้องรักษาสัจจะอันได้กล่าวไว้ข้างต้นตลอดเวลาที่อยู่ในป่า เช่น หากกล่าวว่าขอยิงสัตว์ไปเลี้ยงท้องเลี้ยงไส้สักหนึ่งตัว แต่พอยิงได้ตัวหนึ่งแล้วยังยิงเพิ่มอีก มักจะเจออาถรรพ์ต่างๆ นานา บ้างหนักหนาถึงขนาดต้องเอาชีวิตไปทิ้งไว้ กลายเป็นผีเฝ้าป่าเสียก็มี
พรานกลุ่มหนึ่ง ได้เดินป่าล่าสัตว์รอนแรมอยู่หลายมื้อหลายวัน กระทั่งเดินลึกเข้าไปในผืนป่าใหญ่ ต้นไม้เริ่มเป็นลำใหญ่ขนาดหลายคนโอบขึ้นอยู่หนาแน่น แผ่กิ่งก้านใบปกคลุมกางกั้นอยู่หนาทึบ แสงแดดแทบส่องไม่ทะลุ หากเดินกลางวันมืดเหมือนยามเย็น บรรยากาศจึงเย็นยะเยือกตลอดเวลา
พรานตกลงกันว่าจะหาที่พักเอาแถวๆ นี้ เพราะหากเย็นไปกว่านี้ถ้ายังไม่ได้ที่พักเกรงจะไม่ปลอดภัย จึงพากันเดินลึกเข้าไปเพื่อหาทำเลที่เหมาะสม กระทั่งทางเริ่มชันขึ้น มองลัดเลาะผ่านต้นไม้ไปข้างหน้า เห็นภูเขาเล็กๆลูกหนึ่ง ตั้งอยู่โดดเดี่ยวเป็นดอยโทน แปลกอยู่ตรงที่ต้นไม้ใบไม้มีสีเขียวเข้มคล้ำมากกว่าบริเวณรอบๆ หัวหน้าพรานพยักหน้าให้เป็นที่รู้กันว่าจะไปพักที่ดอยโทนลูกข้างหน้านั้น
หนทางสูงชันจนต้องใช้มือจับต้นไม้แล้วเหนี่ยวตัวขึ้นไปเป็นระยะๆ เดินยาก ไปยาก จนกระทั่งลุเข้าเขตดอยประหลาด รู้ได้จากต้นไม้กับบรรยากาศที่เปลี่ยนไป
เมื่อมาถึงที่หมาย หัวหน้าพรานไม่ลืมที่จะจุดธูปขอขมาบอกกล่าวสิ่งศักดิ์สิทธิ์ว่า พวกเราชาวบ้านมาเพื่อล่าสัตว์ ขออยู่พักอาศัยเพียงชั่วคืน ขออันตรายใดๆ อันเกิดจากสัตว์หรืออาถรรพ์ อย่าได้เกิดมีกับพวกข้าพเจ้าเลย ว่าแล้วก็ปักธูปลงดิน พร้อมวางเครื่องสังเวยอันมีดอกไม้ป่าที่พอหาได้แถวๆ นั้น
เมื่อเลือกต้นไม้ที่จะสร้างนั่งร้านอยู่ข้างบนได้ จึงแยกย้ายกันไปทำหน้าที่ บ้างก็ไปฟันไม้ทำนั่งร้าน บ้างก็จัดแจงหาฟืน พวกหาฟืนเดินอ้อมดอยไปอีกทาง เก็บไม้แห้งรายทางไปเรื่อยๆ จนกระทั่งไปพบเข้ากับอะไรบางอย่าง ลักษณะเหมือนถ้ำ ทุกคนไม่รอช้า เอาฟืนมากองรวมกันแล้วเดินไปเพื่อจะสำรวจถ้ำทันที
เมื่อทีมหาฟืนมาถึงปากทางเข้าถ้ำ ทุกสายตามองสำรวจเข้าไป ก็ต้องประหลาดใจ ลานดินหน้าถ้ำสะอาดเรียบโล่ง ไม่มีต้นหญ้าสักต้นหรือแม้แต่ใบไม้สักใบ เหมือนมีใครมาปัดกวาดไว้อย่างดี ทุกคนเริ่มเดินผ่านลานเข้าไปสำรวจอย่างระมัดระวัง บ้างยกมือไหว้ บ้างท่องบ่นคาถาอยู่งึมงำ
เมื่อเข้าไปภายในถ้ำไม่กี่เมตร ที่ผนังถ้ำมีอะไรบางอย่างถูกแขวนอยู่เป็นแนวยาว ค่อยลองเดินเข้าไปดูใกล้ๆ ปรากฎว่าเป็นเครื่องดนตรีพื้นเมือง สะล้อ ซึง ขลุ่ย และอุปกรณ์ทอผ้าอย่างเผี่ยนปั่นฝ้าย ถูกแขวนไว้อย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย ถัดเข้าไปในถ้ำไม่ลึกมาก มีถ้วยจานชาม กระทะใบบัว อุปกรณ์ทำครัวทั้งทำจากทองเหลืองและดีบุก ต่างคนต่างตกตะลึง คิดไม่ถึงว่าในป่าลึกขนาดนี้ จะมีใครเอาของอย่างนี้มาเก็บไว้
ถ้วยโถโอชามมีทั้งกระเบื้องเคลือบและโลหะมีค่า ยากที่ชาวบ้านสามัญจะมีไว้ครอบครอง ลานดินพื้นถ้ำก็สะอาดเหมือนมีคนดูแลเป็นอย่างดี พรานคนหนึ่งพอมีฝีมือทางดนตรี จึงลองปลดซึงจากผนังถ้ำลงมาดีด เสียงซึงดังก้องกังวานม่วนเพราะเสนาะหู ติดอกติดใจ จึงถือวิสาสะนำติดไม้ติดมือกลับมาด้วย หมายใจว่าจะเอามาดีดเล่นสักคืน แล้วพรุ่งนี้ค่อยเอาไปคืน
พรานมารวมตัวกันหุงหาอาหาร ฝ่ายสำรวจหาฟืนจึงเริ่มเล่าถึงสิ่งที่ไปพบมาอย่างตื่นเต้น พร้อมกับเอาซึงที่เอามาจากถ้ำมาดีดอวดเหล่าเพื่อนพราน เมื่อได้ฟังต่างพากันตื่นเต้น คำถามคำตอบสวนกันเป็นพัลวันระเบ็งเซ็งแซ่ ยิ่งฟังไป ฝ่ายที่ไม่พบก็ยิ่งอยากจะเห็น กะกันว่าพรุ่งนี้เช้าต้องออกไปดูให้เห็นกับตาให้ได้ มีแต่พรานหัวหน้าเท่านั้น ท่าทางหนักใจ ไม่มีคำถาม และไม่พูดอะไร
ตะวันลับฟ้า ความมืดมิดเข้ามาปกคลุม เหล่าพรานปีนป่ายง่ามคบไม้ใหญ่ขึ้นไปถึงนั่งร้านข้างบน บ้างสูบยา บ้างพนมมือสวดมนต์ สักพักก็พากันเอนกายลงนอน งอเข่าซุกตัวใต้ผ้าขาวม้าผืนบาง ยิ่งดึกอากาศยิ่งเย็นลง จิ้งหรีดเรไรส่งเสียงเหมือนขับกล่อมให้หลับดีนอนดี ลมหายใจทอดยาวสม่ำเสมอ ทุกคนหลับลึกเหมือนอยู่ในภวังค์
เวลาในป่ายามค่ำคืนดูแสนเนิ่นนาน เหมือนกึ่งหลับกึ่งตื่น หูได้ยินเสียงแว่วๆ แผ่วจาง จับต้นทางได้ไม่ชัดเจน ได้ยินเสียงเหมือนมีคนแห่ฆ้องกลองกังสดาล มีเสียงคนโห่ร้องอย่างเอิกเกริกสนุกสนาน พรานคนหนึ่งสะดุ้งตื่นลืมตา ตั้งใจฟังว่าหูไม่ฝาดแน่ๆ จึงค่อยปลุกคนอื่นๆ ให้ลุกขึ้นมาฟังด้วย
เสียงแห่ประโคมดังขึ้นๆ หมายจับเอาทิศทางไม่ได้ บางทีเหมือนอยู่ใกล้ๆ บางทีก็ไกลออกไป เสียงผู้คนมากมายโห่ร้องเหมือนวัดมีงานฉลอง เสียงผู้คนคุยกันจอเแจแต่ฟังไม่ได้ศัพท์ เดี๋ยวดังขึ้นเดี๋ยวเบาลงจนกระทั่งค่อยๆเงียบไปในที่สุด พรานทั้งแก่หนุ่มต่างนั่งกอดเข่านิ่งตะลึงงัน หนึ่งในพรานอดสงสัยไม่ได้กระซิบถามเพื่อนว่า
นั่นเสียงอะไรกัน
อย่าเพิ่งถามตอนนี้ ให้รีบนอนดีกว่า
เมื่อเพื่อนปรามจึงนอนลงอีกครั้ง ตาหลับ แต่ใจยังตื่นอยู่ หูยังได้ยินเสียงใบไม้หล่นดังแกรกกรากชัดเจน พลันนั้นก็มีเสียงดังขึ้นอีกรอบ ทว่ารอบนี้ไม่ใช่เสียงประโคมฆ้องกลอง แต่เป็นเสียงร้องไห้วิเวกโหยหวนโศกเศร้า เสียงร้องแสนเวทนาเหมือนกับจะขาดใจ เสียงพูดหนึ่งพอฟังออกเป็นคำแต่น่าขนลุกว่า
เอาตาย! เอาตาย!
ทุกคนได้ยินแต่ไม่มีใครกล้าลุก ได้แต่นอนฟังเสียงนั้นอย่างขวัญผวาจนกระทั่งหลับไป
ถึงรุ่งเช้า ตะวันเริ่มขึ้นจากขอบฟ้าสีส้มๆ แดงๆ แต่ยังไม่พ้นขอบเขา แสงยังสลัวพอให้เห็นลายมือ จึงพากันไต่ลงจากห้างมาทีละคนแล้วมาปรึกษากันด้านล่าง ต่างลงมติเป็นเอกฉันท์ว่าน่าจะเป็นเพราะเอาซึงติดมือมาจากถ้ำนั้นอย่างแน่นอน เลยตัดสินใจเดินกลับไปที่ถ้ำนั้นเพื่อเอาซึงไปคืน
แต่พอไปถึงปากถ้ำเท่านั้น ใจคอมันตีบตันไม่อยากจะเข้าเอาเสียเลย ค่อยย่างค่อยก้าวอย่างระมัดระวังจนกระทั่งมาหยุดตรงผนังถ้ำที่เดิม ที่มันเคยแขวนอยู่ จัดการเอาซึงห้อยคืน แล้วหัวหน้าพรานจึงพาทุกคนกล่าวคำขอขมา พอกล่าวคำขอขมาจบ มีลมพัดเข้าถ้ำมาวูบใหญ่ กลิ่นเหม็นสาบเหมือนเนื้อเน่า
พรานหัวหน้าพูดว่า เขาคงไม่พอใจที่ไปเอาของๆ เขามาเล่น จากนั้นก็พากันเดินกลับออกจากถ้ำด้วยความเงียบงัน ต่างฝ่ายต่างนิ่งไม่พูดอะไร จัดการเก็บข้าวของเดินทางกลับ ตลอดทางไม่พบเจอตัวเนื้ออะไรเลย ทั้งกลุ่มกลับถึงหมู่บ้านมือเปล่า ไม่มีอะไรติดไม้ติดมือกลับออกมาเลยซึ่งนับว่าแปลกมาก ทั้งหมดเอาเรื่องนี้ไปถามกับพ่อเฒ่าพรานชราวัยเก้าสิบ ว่าสิ่งที่ไปพบเจอมานั้นมันคืออะไร เมื่อพ่อเฒ่าฟังจบมีสีหน้าตกใจ
สูทั้งหลายไปเจอได้อย่างใด สถานที่นั้นเป็นที่บ่ควรไป บ่ควรเห็น
มันเป็นอย่างไรพ่อเฒ่า
ที่นั้นมีชื่ออยู่ เขาเรียกต่อๆ กันมาว่า ดอยคูบ ดอยอาถรรพ์อันเจ้าพระยาตนเก่าแก่ในอดีตกาลนานมาหลายร้อยปีได้เอาของๆ ท่านมาเก็บรักษาไว้ คำบอกเล่าต่อๆ กันมาว่าพระยาท่านฝากคำไว้ ว่าหากบ้านใดมีงานฉลองต้องการจะใช้สอยเครื่องฆ้องกลองประโคมหรือเครื่องครัวอันใดก็ไปเอามาใช้ได้ แต่เสร็จแล้วต้องเอาไปคืนเหมือนเดิม เมื่อก่อนคนมีศีลมีธรรม คืนข้าวของครบทุกชิ้น แต่นานไปเกิดมีคนโลภ แอบซ่อนของไว้ที่บ้านไม่ยอมส่งคืน คนผู้นี้อยู่ไม่นานก็นอนตายเหยียดยาวไม่รู้สาเหตุ ว่ากันว่าท่านเกลียดคนไม่ซื่อ เมื่อใครคิดขโมยท่านจึงเอาถึงตาย ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีใครกล้าไปยืมของใช้จากที่นั่นอีกเลย สถานที่นั้นจึงถูกเก็บไว้เป็นความลับตายไปพร้อมกับพ่อเฒ่าแม่หม่อนจนไม่มีใครรู้จัก นี่ดีว่าพวกแกเอาของท่านไปคืนนะ ไม่งั้นก็คงกลายเป็นผีเฝ้าป่าไปเสียทุกคนแล้ว
ทุกคนต่างนิ่งอึ้งตะลึงงันกับคำตอบของพ่อเฒ่า ขนหัวขนแขนลุกซู่ๆ ว่าบุญหนักหนาที่รอดชีวิตกลับมาได้ ตั้งใจว่าตลอดชีวิตพรานนี้จะไม่ไปย่ำกรายสถานที่นั้นอีกเลย
ตั้งแต่ได้ยินเรื่องนี้มา ผมเองก็นึกว่าเป็นแค่ตำนานเรื่องเล่าอันไม่มีที่มาที่ไป แต่แล้ววันหนึ่งยายเล่าว่า
สมัยเมื่อสามสิบปีก่อน ตอนยายปลูกบ้านอีกที่แล้วไปอยู่ใหม่ๆ นะ พอตกกลางคืนก่อนวันพระ มักจะได้ยินเสียงฆ้องกลองประโคมสนุกสนาน เสียงฟังดูไกล ดังมาทางภูเขาด้านตะวันตกโน้น ซึ่งวัดแถบนี้ไม่มีใครเค้าแห่กลางคืนกันเลยสักวัด มันไม่ใช่ปกติวิสัย
แล้วเสียงมันมาจากไหนกันยาย?
มาจากดอยคูบ คนเฒ่าแต่ก่อนบอกไว้อย่างนั้น
คำตอบจากยาย ทำเอาผมนี่ขนลุกทั้งตัวเลยครับ
ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม

กดแชร์บทความ