เรื่องนี้ต้องย้อนกลับไปเมื่อ 38 ปีก่อน สมัยที่ผมเพิ่งจบ ม.ศ.3 ใหม่ๆ อายุราว 16-17 ปี ผมมีเพื่อนสนิทอยู่ 3 คน ชื่อ เต๊ก บุญเลิศ และชัย บ้านของผม เต๊ก และบุญเลิศ อยู่ที่กรุงเทพ ส่วนชัยมีบ้านอยู่ทางภาคอีสาน วันนั้นพวกผมเรียนจบ ม.ศ.3 กันพอดี จึงอยากจะไปเที่ยวพักผ่อน พวกผม 3 คนจึงจะไปเที่ยวหาชัยที่บ้าน ซึ่งชัยเขาได้กลับบ้านไปก่อนหน้านั้นแล้ว
เราเดินทางไปบ้านชัยโดยขึ้นรถไฟจากหัวลำโพงกันตั้งแต่เช้า เพื่อที่จะได้ไปถึงบ้านชัยไม่ค่ำมาก จะได้ไม่ลำบากตอนเดินเข้าไปหาบ้านชัย เพราะต้องเดินเท้ากันเข้าไปลึก เรานั่งรถไฟไปถึงประมาณบ่าย 3 โมงเย็น ชัยมารับพวกผมที่สถานีรถไฟและต่อรถสองแถวเข้าไปแถวระแวกบ้านของชัย
หลังจากที่ลงรถสองแถวพวกผมจะต้องเดินเท้าเข้าไปอีกประมาณ 2 กิโลเมตรเพราะไม่มีรถและก่อนที่จะไปถึงบ้านของชัยที่อยู่สุดทาง พวกผมได้ผ่านบ้านที่พ่อแม่ชัยพักอาศัยอยู่เพื่อจะมาดูแลไร่นา ซึ่งอยู่ด้านหน้าปากทาง กว่าจะเดินถึงบ้านชัยก็ปาไปบ่ายสี่โมงเย็น
พอจัดข้าวของเสร็จได้ซักพัก แม่ของชัยได้ขี่มอเตอร์ไซค์เข้ามาเรียกให้ชัยไปดูพ่อที่ไม่สบายที่บ้านตรงปากทางเข้า เพราะแม่ต้องไปเอายาในตัวอำเภอ ชัยได้ยินแม่เรียกจึงออกไปแล้วบอกกับพวกผมว่า พักอยู่ที่นี่ พวกมึงไม่ต้องเกรงใจนะ ทำตัวตามสบาย ผมจึงให้เต๊กไปเป็นเพื่อนชัยเผื่อจะได้ช่วยกันดูแลพ่อ ส่วนผมอยู่กับบุญเลิศที่บ้าน เพราะจะได้อยู่เป็นเพื่อนป้าของชัยที่พักอยู่ที่นี่
ป้าเป็นพี่สาวของแม่ชัย อายุราว 60-70 ปี แกนั่งอยู่บนเตียง แกอายุเยอะแล้วเลยเดินเหินไม่ค่อยสะดวก ในระหว่างที่ชัยและเต๊กออกไปบ้านหน้าปากทาง เวลาขณะนั้นก็ประมาณ 4 โมงเกือบจะ 5 โมงเย็นแล้ว ผมเลยเอาเบ็ดตกปลาที่เตรียมมาไปนั่งตกปลาอยู่หลังบ้านชัย ซักประเดี๋ยวผมก็ตกได้ปลานิลมาตัวนึง ตัวเท่าฝ่ามือ และได้ปลาช่อนมาอีกตัวนึง ตัวเท่าแขนเลย
พอนั่งถึงประมาณ 6 โมงกว่าๆ ท้องฟ้าก็เริ่มมืด เพราะที่ต่างจังหวัดมืดเร็วมาก ผมก็เดินกลับมาบ้านชัยพร้อมปลา 2 ตัว และเอาปลาใส่ในตุ่มน้ำเล็กๆ ข้างบันได หลังจากนั้นผมก็เดินขึ้นบ้านไป ก่อนจะถึงห้องของผม ผมต้องผ่านห้องนอนของป้าชัยก่อน ซึ่งตอนนั้นแกนอนอยู่บนเตียง ผมก็ไม่ได้สนใจอะไร และเดินผ่านเข้าห้องไป
พอเข้ามาในห้อง ผมก็เห็นบุญเลิศนั่งเล่นกีตาร์เบาๆ อยู่ นั่งเล่นกันได้ซักพัก ผมถามบุญเลิศว่า หิวข้าวไหม เดี๋ยวทอดปลากินกัน กูตกปลามาได้สองตัว มันตอบตกลง ผมให้เพื่อนไปจุดไฟที่เตา เดี๋ยวผมจะไปเอาปลาที่อยู่ในตุ่มข้างล่างมา
ในระหว่างที่ผมกำลังจะลุกไปเอาปลามาทอด ผมได้ยินเสียง กุกกั๊กกุกกั๊ก ดังมาจากในห้องข้างๆ ซึ่งเป็นห้องของป้าชัย ผมเลยเอาตาเข้าไปทาบกับผนังห้องข้างๆ เพื่อแอบมอง ซึ่งบ้านในต่างจังหวัดฝาผนังบ้านจะเอาแผ่นไม้มาตอกเรียงกันให้เป็นผนังกั้นห้อง แต่ก็ยังมีรูพอที่จะส่องเห็นกันได้
พอผมเอาตาส่องเข้าไปในห้อง ผมเห็นป้าของชัยนั่งหันหลังให้ผม และในระหว่างที่ป้าแกนั่งหันหลัง ผมได้ยินเสียงเหมือนป้าแกกำลังกินอะไรอยู่ในปาก ผมแอบมองได้ซักพัก ป้าแกหันควับ! มามองทางที่ผมกำลังแอบดูอยู่อีกห้อง แต่ไม่รู้ว่าป้าจะเห็นว่าผมแอบดูอยู่รึเปล่า อันนี้ผมไม่รู้ แต่ในระหว่างที่ป้าของชัยหันมา ผมแทบจะหมดสติลงทันที ปากของแกเปื้อนเลือดและยังคาบปลานิลไว้ที่ปาก และมันเหลือแค่ครึ่งตัว
ผมจึงหันไปหาบุญเลิศและส่งสัญญาณให้เงียบไว้ โดยใช้นิ้วชี้ทาบไว้ที่ปากเผื่อไม่ให้บุญเลิศส่งเสียงดัง เพราะกลัวว่าเดี๋ยวแกจะได้ยิน ผมเลยกวักมือเรียกบุญเลิศให้มาดู ในระหว่างที่แอบดูอยู่นั้น ใจผมแทบจะหยุดเต้น เพราะภาพที่ได้เห็นในตอนนี้คือ ป้าแกนั่งยองๆ ปากก็คาบปลานิลเอาไว้ และเสียง กุกกั๊ก กุกกั๊ก ที่ได้ยินนั้น มันคือเสียงปลาช่อนอีกตัวที่ดิ้นอยู่บนพื้นไม้ข้างๆ
ซักพักป้าแกก็กระโดดขึ้นเหมือนกับกบ ลงมาทับปลาช่อนเอาไว้แล้วคายปลานิลออก มืออีกข้างจับปลาช่อนขึ้น แล้วกัดตรงที่ท้องของปลาช่อน ผมกับไอ้บุญเลิศที่อยู่ในห้องข้างๆ นั่งสั่นกันงกๆ กลัวในสิ่งที่เห็น และผมสังเกตเห็นขนบนหัวของบุญเลิศลุกตั้งทั้งหัว และหันมากระซิบว่า
ไปเถอะ ไปเถอะ!
ผมถามกลับว่าแล้วเราจะออกไปยังไง เพราะถ้าเราออกไปเราต้องเดินผ่านห้องของแกก่อนเพื่อจะลงบันได ผมจึงบอกมันว่าผมไม่กล้าเดินผ่านไปหรอก ตอนนั้นบุญเลิศเองใจคอมันก็ไม่ค่อยดีแล้ว มันบอกผมกลับมา
งั้นเรากระโดดหน้าต่างหนีกันเถอะ!
แต่ตอนนี้เราอยู่บนบ้านสองชั้นยกพื้นสูง ผมเลยบอกว่า ถ้ากระโดดลงไป มีขาหักแน่ เราสองคนก็นั่งกอดกันเพราะความกลัว
เวลาผ่านไปสักพัก ก็มีเสียงเรียกจากเต๊กที่กลับมา เต๊กเดินขึ้นมาบนบ้านเห็นพวกผมนั่งกอดกันก็เกิดอาการงง ก่อนที่ผมจะทันพูดอะไร เต๊กบอกว่า
เดี๋ยวค่อยคุยกัน เดี๋ยวกูเอายาไปให้ป้าชัยก่อน
ผมกำลังจะร้องบอกเต๊กว่าอย่าไป! แต่ไม่ทันแล้ว เต๊กเดินเข้าไปหาป้าของชัยในห้องแล้วเอายาให้กิน และกลับเข้ามาถามหากระดาษทิชชู่ มันจะเอาไปเช็ดปากของป้าเพราะเห็นว่าเลือดเต็มปากเลย มันบอกผมว่า ป้าคงจะกัดลิ้นตัวเองจนเลือดไหล
ผมจึงบอกเต็กว่า มึงมานั่งตรงนี้ก่อน แล้วผมก็ชี้นิ้วให้มันมานั่งข้างๆ ผม ในขณะที่บุญเลิศก็บ่นพึมพำว่า พากูกลับบ้าน! พากูกลับบ้าน!
เต๊กเริ่มงงและอยากจะรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจึงเล่าสิ่งที่เพิ่งเห็นให้เต๊กฟังก่อนหน้าที่มันจะกลับมา พอเล่าให้เต๊กฟังเสร็จผมก็ได้ยินเสียงมาจากห้องของป้าอีกครั้ง ผมจึงแอบดูที่ข้างฝาอีกครั้ง ปรากฏว่ามองไปที่พื้นและเตียงไม่เห็นร่างของป้าชัยแล้ว ผมจึงเหลือบมองสูงขึ้น สูงขึ้น ไปตรงโครงหลังคาบ้าน เพราะบ้านไม่มีฝ้าเพดาน
ภาพที่เห็นคือ ป้าของชัยนั่งอยู่บนขื่อ มือขวาจับขื่อและมือซ้ายจับไก่แจ้ไว้ แกจับไก่เอาไว้และกัดกินไก่แบบสดๆ เมื่อเห็นดังนั้น! พวกผมตัดสินใจกระโดดลงหน้าต่างไปโดยไม่สนใจว่าจะสูงขนาดไหน แล้วก็รีบเดินให้ถึงหน้าปากทางให้เร็วที่สุด ท่ามกลางความมืด กึ่งเดินกึ่งวิ่งกันไป กว่าจะถึงบ้านหน้าปากทางก็เกือบครึ่งชั่วโมง พยายามประคองกันและพึมพำบอกกันว่า อย่าวิ่ง อย่าหนี
พอเดินออกมาได้ก็เห็นแสงไฟวิ่งใกล้เข้ามา พวกผมทั้งกลัวทั้งเหนื่อยกันมากๆ จึงพากันนั่งลงข้างทาง แสงนั้นใกล้เข้ามาๆ ปรากฏว่าเป็นแสงไฟจากรถของชัยที่ขับเข้ามา ชัยก็ตะโกนถามว่า
พวกมึงทำไมมานั่งกันตรงนี้ ทำไมไม่อยู่บ้าน พวกผมจึงเล่าให้ชัยฟัง หลังจากเล่าเสร็จก็พากันนั่งมอเตอร์ไซค์อัดสี่กันมาที่บ้านหน้าปากทาง
พ่อของชัยได้ฟังเรื่องราวทั้งหมด และคนที่รู้เรื่องราวนี้ดีที่สุดคือพ่อของชัย และนี่เป็นเหตุผลที่ทำให้พ่อไม่กลับเข้าไปอยู่ในบ้านหลังนั้น เพราะเขาเคยเจอเหตุการณ์ที่พวกผมเพิ่งเจอมาก่อนหน้านั้นแล้ว คำแรกที่พ่อของชัยถามผมคือ
ตอนนี้ไก่เหลือกี่ตัวแล้ว
ผมบอกว่าตอนที่เห็นคือเหลือสองตัว พ่อยังบอกอีกว่าตอนแรกไก่ที่พ่อเลี้ยงมีเป็นสิบๆ ตัว พ่อเห็นป้ากินไก่วันละตัวสองตัว แต่พ่อไม่กล้าบอกแม่เพราะกลัวว่าแม่ชัยจะกลัว เลยตัดสินใจย้ายออกมาอยู่บ้านหน้าปากทาง และไม่ยอมกลับไปนอนบ้านหลังนั้นอีกเลย
พอรุ่งเช้า พวกผมตัดสินใจกลับกรุงเทพ พอกลับกรุงเทพมาได้ 2-3 วัน เพื่อนผมที่ชื่อบุญเลิศมันก็ไปกระโดดน้ำตายที่สะพานซังฮี้ ส่วนเต๊กทุกวันนี้กลายเป็นคนเสียสติ น้ำลายยืด ไม่รับรู้อะไรเลย ได้แต่พูดอยู่ประโยคเดียวคือ
เอากูกลับบ้านเอากูกลับบ้าน
หลังจากนั้นไม่นาน ชัยก็กลับมาหาผมที่กรุงเทพ คำแรกที่ผมถามชัยคือ
ชัยมึงได้กลับไปดูป้าบ้างรึเปล่าวะ
ชัยบอกว่า หลังจากที่พวกผมกลับกรุงเทพได้สามวัน พ่อ แม่ และก็ชัย ได้กลับไปดูป้าแกอีกครั้ง สิ่งที่พบคือคุณป้าได้เสียชีวิตแล้ว สภาพศพแห้งกรัง มีแต่หนังสีดำๆ หุ้มกระดูกเอาไว้ พ่อกับแม่จึงแจ้งผู้ใหญ่บ้านว่ามีคนชราเสียชีวิตที่บ้านหลังนี้
หลังจากสวดศพสามคืน ก็เผาร่างของแก เมื่องานศพเสร็จสิ้นแล้ว บ้านตรงสุดทางหลังนั้นก็ถูกรื้อทิ้งทันที
ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่
คลังสยอง

กดแชร์บทความ