ก่อนอื่นต้องเกริ่นก่อนว่า ผมเป็นคนสุราษฎร์ธานีแต่กำเนิด พ่อสุราษฯ แต่แม่ผมเป็นคนพะเยา เรื่องที่ผมจะเล่า มันเป็นเรื่องที่ยายของผมเล่าให้ผมฟังโดยตรง เรื่องมันเกิดในสมัยที่ยายผมยังเป็นวัยรุ่นอยู่
สมัยก่อนนั้น ทางภาคเหนือถือว่าเป็นภูมิภาคที่มีป่าเขาที่สมบูรณ์ เมื่อก่อนถ้าไม่ทำไร่ทำนาปลูกข้าว ก็ต้องเข้าป่าล่าสัตว์เพื่อเอามาใช้แลกเปลี่ยนหรือนำไปขายแลกเงิน และนั่นก็เป็นเรื่องของยุคสมัยที่ไฟฟ้ายังไม่เข้าถึงเลยสักหมู่บ้าน แม้แต่บ้านยายผมเองถึงจะอยู่ใน อ.เมืองของพะเยา แต่ใช่ว่าจะเจริญอะไรมากนัก ยายผมเล่าว่า เวลาพ่อของยาย (ตาทวดผม) ขึ้นเขาเข้าป่าไปล่าสัตว์ ไปครั้งนึงก็สองถึงสามเดือนอย่างต่ำ เลยทำให้ยายของผมคลุกคลีกับเรื่องป่าเขาพอสมควร
ตอนปี พ.ศ.2486 เป็นครั้งที่ตาทวดผมไม่มีวันลืมไปตลอดชีวิต มันเป็นครั้งสุดท้ายของการล่าสัตว์ในป่าลึกของท่าน กับประสบการณ์ลี้ลับของคณะเดินทางที่ต้องผจญกับเสือผีจากป่าแดนกะเหรี่ยง
ตอนนั้นยายทวดผมกำลังไม่สบาย ทำนาไม่ได้ เลยขัดสนเรื่องเงินที่จะใช้จ่ายภายในครอบครัว เพราะบ้านแม่ผมจนครับ ตาทวดผมเลยต้องเข้าป่า เพื่อไปล่าเขากวาง งาช้าง และของหายากในป่าเพื่อเอามาขายคนเมืองกรุง เลยชวนพรรคพวกที่รู้จักกันมาตั้งแต่เด็ก ชวนกันเดินทางไกลไปเขาภูซาง ซึ่งมีอาณาเขตติดกับเชียงราย-สปป.ลาว แต่ถึงตาทวดผมจะเคยเข้าป่าล่าสัตว์มาเยอะพอสมควร แต่การเดินทางครั้งนี้มีพรานไปกับแกด้วย หลังจากเตรียมอาหาร ข้าวเหนียว เนื้อแห้ง ปลาแห้ง เสร็จสรรพ ก็ออกเดินทางกันบ่ายวันนั้นเลย
ใช้เวลาเกือบสามอาทิตย์กับระยะทางเกือบร้อยกิโลจากบ้าน กว่าจะเดินทางไปถึง เนื่องจากพรานมาด้วยทุกคนก็ทำตามที่พรานแนะนำทุกอย่าง ทุกคนก็จัดแจงอุปกรณ์ ตัดไม้ไผ่มาทำห้างและทำกระบอกไม้ไผ่เอาไว้เยี่ยว เพราะตอนขึ้นห้างแล้ว ห้ามลงมาเด็ดขาดจนกว่าพระอาทิตย์จะขึ้นถึงจะลงได้ เนื่องจากมากันหกคน เลยทำห้างไว้สองที่ บนต้นไม้ใหญ่สองต้น
หลังจากขึ้นไปบนห้างได้ไม่นาน ทุกอย่างก็มืดสนิทมีแค่เสียงจิ้งหรีดเสียงกบร้องดังไปทั่วป่า และจุดที่ทุกคนอยู่ มันเป็นบริเวณดินโป่งที่พวกสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่จะมากินดินโป่งในเวลากลางคืน และเป็นจุดที่ช้างชอบมาที่สุด เนื่องจากรอยเท้ายังใหม่อยู่เลยทำให้ทุกคนแน่ใจว่าคืนนี้ต้องได้แน่นอน
เป็นจริงดังว่า เมื่อกวางผู้ตัวใหญ่เดินย่องๆ มากินดินโป่ง และแน่นอนตาทวดผมเป็นคนยิงเข้าไปหนึ่งนัด ไม่โดนคอก็หัวแน่นอน ทีเดียวล้มเลย และหลังจากสิ้นเสียงปืนได้ประมาณพักใหญ่ๆ พรานที่มาด้วยกันอยู่ๆ แกก็เริ่มลุกลี้ลุกลนเหมือนเห็นอะไร
และเรื่องราวแปลกๆ ก็เริ่มขึ้น เมื่อป่าที่เคยมีเสียงสัตว์อยู่ก็เงียบไปซะเฉยๆ และสมัยก่อนไฟฉายยังไม่มี มีแค่ตะเกียง เนื่องจากห้างอยู่ห่างกันพอสมควรเลยส่งสัญญานกันลำบาก ตาทวดผมอยู่ห้างเดียวกันกับพราน พรานบอกตาทวดผมว่า เอาลูกปืนออกมาให้หมด แล้วพรานก็ยื่นลูกตะกั่วสีดำๆ กับสีแดงให้คนละสิบกว่าเม็ด พรานแกบอกว่า ถ้าเห็นอะไรเป็นตาสีแดงๆ ให้ยิงได้เลย
เวลาผ่านไปสักพัก เสียงป่าที่เคยเงียบ อยู่ๆ ก็มีเสียงลิงเสียงค่างร้องดังใกล้เข้ามา ใกล้เข้ามา และสิ่งที่ทุกคนเห็นอยู่ตรงหน้านั้นมันไม่ใช่แค่ลิง แต่มันเป็นเงาของสัตว์ขนาดใหญ่ ใหญ่พอที่จะกระโดดขึ้นมาถึงห้างที่ทุกคนอยู่ เพียงแค่มันยังนั่งจ้องอยู่ใต้พุ่มไม้ สองตาคู่นั้นตาทวดผมบอกว่า มันมองเหมือนตาของคนที่กำลังแค้นใครสุดขีด
หลังจากที่ทุกคนอึ้งกับสิ่งที่เห็น พรานเองก็เตือนสติไม่ให้คนอื่นจิตตกแตกกระเจิงไปซะก่อน ต้นไม้ที่ขัดห้างเป็นต้นไม้ใหญ่ ยังไงกิ่งก้านมันก็พาดกับต้นอื่นๆ อยู่แล้ว
และเสียงปืนจากห้างอีกต้นหนึ่งก็ดังขึ้น พรานพูดขึ้นมาว่า ยิง!
ตาแดงๆ เป็นสิบๆ คู่ โหนตัวไปตามกิ่งไม้ โหนไปโหนมาและเข้ามาใกล้เรื่อยๆ พอได้ระยะทุกคนก็ยิงพร้อมๆ กัน เสียงดังตุ๊บ! เหมือนมีบางอย่างหล่นจากที่สูงกระแทกพื้น
พอยิงกันไปได้สักพัก เกือบครึ่งชั่วโมง ทุกอย่างก็เหมือนจะเงียบลง แต่ก็ไม่มีใครกล้าลงไปดูว่าข้างล่างมีอะไร แม้แต่ตัวพรานเองอยู่ๆ ก็สั่นไปทั้งตัวเหมือนคนโดนผีเข้า คนที่เหลืออยู่ก็ทำอะไรไม่ถูก ได้แต่ส่องไฟตะเกียงหันหลังชนกัน และเล็งปืนไปรอบๆ
ตาทวดผมอยากจะตะโกนไปหาเพื่อนที่อยู่อีกห้างนึงก็ทำไม่ได้ เพราะเขาไม่ให้เรียกกันตอนกลางคืน ซึ่งเวลาตอนนั้นน่าจะประมาณตีหนึ่ง
จู่ๆ เสียงพุ่มไม้ด้านล่างก็ไหวไปมา เสียงใบไม้แห้งดังแกร่กๆ เสียงครางเบาทุ้มต่ำ ดังเข้ามาใกล้เรื่อยๆ และแน่นอน สิ่งที่ตาทวดผมเห็นไม่ใช่อะไร มันคือเสือลายพาดกลอนตัวใหญ่ ตัวมันใหญ่ที่สุดเท่าที่ในชีวิตนี้จะเคยเห็นมา เขี้ยวมันยาวงุ้มจนเลยคางออกมา
มันทำท่าเหมือนจะกระโดดขึ้นมาบนห้างซึ่งสูงพอสมควร ทั้งสามคน ตาทวดผม พราน แล้วก็เพื่อน ยิงไปที่เสือพร้อมกันทั้งสามคน ยิงไปชุดเดียว เหมือนจะโดนไปเต็มๆ ร่างเสือนอนนิ่งอยู่ใต้โค้นต้นไม้ ด้วยสัจจริง ตอนนั้นตาทวดผมแกบอก แกรู้สึกโล่งเหมือนเรื่องทุกอย่างมันจบแล้ว และคืนนั้นทั้งคืนไม่มีใครกล้าหลับสักคน
จนรุ่งเช้าทั้งสามก็ลงมาจากห้าง และภาพที่เห็นนั้นก็คือ ลูกพี่ลูกน้องตาทวด นอนจมกองเลือดอยู่ใต้โคนต้นไม้ ในมือยังถือมีดครกไว้แน่น ตามลำตัวพรุนไปด้วยกระสุน ตอนนั้นตาทวดผมได้แต่นั่งร้องอยู่ที่ข้างๆ ศพ จากนั้นพรานก็เดินตรงไปอีกห้างนึง
และภาพที่น่าเวทนาก็ปรากฏตรงหน้า ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ใช้ขัดอีกห้าง สองคนที่ตอนนี้เหลือเพียงแขนที่ขาดสะบั้น และยังคงกำปืนไว้แน่น ร่างของทั้งสองคนหายไปอย่างไร้ร่องรอย ไม่มีร่องรอยอะไรเลยแม้แต่รอยเท้าของสัตว์ใหญ่ก็ไม่เหลือทิ้งไว้ เท่าที่พรานบอกต้องมีใครสักคนลงมาเยี่ยวข้างล่างแน่นอน
เนื่องจากเข้าป่ามาลึกมาก หมู่บ้านที่ใกล้ที่สุดคือห่างไปภูเขาสามลูก ลงมาทางเชียงราย ทุกคนทำได้แค่เพียงทิ้งศพไว้ ณ ตรงนั้นเลย เพราะถ้าขืนแบกกลับไปด้วย ยิ่งจะถ่วงเวลาเดินทาง มีแต่ตายกับตายสถานเดียว
พรานพูดสั้นๆ ว่า รีบออกจากที่นี่ให้ไวเลย ทั้งหมดจึงรีบออกเดินทาง
ทั้งสามคนอ่อนเพลียเต็มทน ด้วยสภาพที่ไม่ได้นอนทั้งคืนทำให้เรี่ยวแรงเหลือน้อยเต็มที ตาทวดผมเหมือนจะถอดใจแล้ว แต่พรานที่มาด้วยก็มีของดีไม่ใช่น้อย เนื่องจากใกล้มืดเต็มที ทุกคนหาที่โล่งอันน้อยนิดในป่าลึก แล้วพรานก็เอามีดหมอขึ้นมาทำพิธี ใช้มีดขีดเป็นวงกลมใหญ่พอสมควร แล้วก็ปักมีดไว้ตรงด้านหน้า
ทั้งสามคนได้แต่นั่งหันหลังชนกัน พร้อมปืนกระบอกใหม่อีกสามกระบอก ซึ่งเป็นของผู้เคยมีชีวิตสามคนก่อนหน้านี้ ทุกกระบอกบรรจุกระสุนตะกั่วสีดำ เว้นแต่ของพรานที่ใช้เป็นกระสุนเขี้ยวหมูตัน พรานพูดสั้นๆ ว่า ถ้าหากมีอะไรอย่าวิ่งออกจากวงนี้เด็ดขาด ทุกคนนั่งรอเหมือนรอความตาย เพราะทุกคนรู้สึกได้ถึงสายตาอะไรสักอย่างที่กำลังจ้องมองมา
แล้วมันก็โผล่ออกมาจริงๆ เสือโคร่งลายพาดกลอนตัวเดิม และที่เลวร้ายไปกว่านั้นคือ คราวนี้มันมาสองตัว!
ตาทวดผมได้แต่สั่นจนน้ำตาไหลออกมา แกไม่อยากจะเชื่อว่านั่นมันใช่เสือจริงๆ หรอก ทำไมตัวมันใหญ่ได้ขนาดนั้น แถมเขี้ยวยังยาวเฟื้อย พรานพูดเสียงเบาๆ ว่า อย่ายิง รอให้เข้ามาใกล้ๆ ก่อนค่อยยิง
พอเสือมันย่องเข้ามาจนได้ระยะ พรานจึงตะโกนออกมาว่า ยิง!
ปืนทั้งหกกระบอก คนสามคน ช่วยกันลั่นไกสลับกันไปมา เพราะมันบรรจุได้ทีละนัด เสือร้องครางดั่งลั่นป่า แล้วมันก็ล้มนอนตายอยู่ตรงนั้นเลย แต่ตัวที่ทุกคนยิงล้มนั้น มันเป็นแค่เสือโคร่งธรรมดา ไอ้ตัวใหญ่มันยังคงนั่งเฝ้าอยู่เงียบๆ จ้องมาที่พรรคพวกของตาทวดผมอย่างไม่ละสายตา
แต่แล้วจู่ๆ พรานแกก็ชักมีดออกมาอีกเล่ม แล้วเอามาปักลงดินด้านหน้า เขี้ยวหมูตัน ตับเหล็ก หุ่นควายปั้น ถูกนำออกมาจากย่าม จากนั้นพรานก็พนมมือบริกรรมคาถา แกบอกถ้ามีตัวอะไรเข้ามา อย่าให้มันมายุ่งกับมีดเล่มนี้เด็ดขาด ตาทวดผมทำได้แค่พยักหน้าและทำตามทุกอย่างที่พรานบอก
จากนั้นพรานก็พูดออกมาสั้นๆ เป็นภาษากะเหรี่ยง อยู่ๆ เงาดำๆ ขนาดใหญ่พอๆ กับเสือลายพาดกลอนตัวนั้น ก็วิ่งตรงไปยังเสือที่นอนตะคุ่มๆ อยู่ในพุ่มไม้นั้น เสียงควายร้องดังลั่นป่า ตาทวดผมถึงกับอึ้ง เงาดำๆ นั้นเป็นควายแน่ๆ ภายใต้เงาดำทะมึน แต่สามารถเห็นเขาที่ยาวโง้งจนดูน่ากลัว
ทุกคนได้แต่จ้องไปยังเงาทะมึนตรงเบื้องหน้า มันทั้งสองกำลังขู่กันเสียงดังก้องป่า แสงสว่างจากดวงจันทร์ในคืนเดือนหงาย ก็สว่างพอที่จะทำให้ทุกคนเห็นสิ่งที่เกิดขึ้นตรงหน้า ร่างเงาดำขนาดใหญ่วิ่งเข้าฟัดกับเสือผีตัวนั้นอย่างบ้าครั่งอยู่พักใหญ่ แล้วอยู่ๆ เงานั้นก็หายไปซะเฉยๆ เลย
มีดหมอของพรานที่ปักไว้อยู่ๆ ก็ล้มไปซะอย่างนั้น โดยที่ไม่มีใครแตะเลย เหงื่อกาฬผุดออกมาเต็มใบหน้าของทั้งสาม ตอนนี้พวกเขาได้แต่จับปืนเล็งไปที่เสือที่กำลังเดินเข้ามา มันเข้ามาใกล้พอที่จะทำให้ยิงโดนเหมือนเสือตัวแรก ทั้งสามลั่นไกปืนเต็มเหนี่ยว แต่! ปืนกลับยิงไม่ออก มีแต่เสียงดังแช๊ะ! เหมือนแก๊ปมันชื้นทั้งที่ฝนยังไม่ตกเลยด้วยซ้ำ
พรานหยิบเขี้ยวหมูตันออกมาสองอัน แกยกมือไหว้แล้วบริกรรมคาถาเป็นภาษากะเหรี่ยง แล้วก็เอาเขี้ยวหมูตันใส่ลงไปพร้อมกับกระสุนตะกั่วสีดำ จากนั้นพรานก็เอาปืนประทับบ่าเตรียมยิงทันที โดยให้ตาทวดผมเป็นคนส่งปืนอีกกระบอกให้ หลังจากที่กระสุนจากกระบอกแรกลั่นออกไป แน่นอนเสือโคร่งลายพาดกลอนมันกระโจนเข้ามาจริงๆ แล้วพรานก็เหนี่ยวไกยิงออกไปหนึ่งนัด ปัง! เสือตัวนั้นร้องดังลั่นป่า แต่มันก็ยังเดินเข้ามาอีก
ตาทวดผมส่งปืนอีกระบอกให้ และพรานก็ยิงซ้ำไปอีกนัด กระสุนเข้าเต็มๆ ลำตัวเนื่องจากตัวมันใหญ่มากๆ ใหญ่พอที่จะทำให้ยิงโดนโดยง่ายในระยะแค่นั้น
สิ้นเสียงปืน เสือผีกระเสือกกระสนถอยร่นกลับไป แล้วหายเข้าไปในความมืด พร้อมเสียงร้องโฮก! บ่งบอกถึงความเจ็บปวดที่ดังก้องป่า
หลังจากผ่านคืนที่โหดร้าย ตาทวดผม พราน แล้วก็เพื่อน ก็อ้อมมาทางเชียงราย จนไปเจอกับหมู่บ้านกะเหรี่ยง ซึ่งพรานเองก็รู้ภาษากะเหรี่ยงดีอยู่แล้ว เลยเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดให้คนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านฟัง ผู้เฒ่าได้แต่ส่ายหัว แล้วพูดว่า เอาอีกแล้วเหรอ ไม่น่าเลย รอดมาได้ก็โชคดีอย่างเหลือเชื่อแล้ว!
ผู้เฒ่าชาวกะเหรี่ยงเล่าให้ฟังว่า เสือโคร่งลายพาดกลอนเขี้ยวยาวตัวนั้น เมื่อก่อนมันเคยเป็นพรานของหมู่บ้านแห่งนี้ มีวิชาเยอะที่สุดและเก่งกาจที่สุด ชอบล่าเสือโคร่ง จับเสือตัดหัวเอาหน้าผากมาทำเครื่องราง แต่เวรกรรมมันมีจริง พรานคนนั้นเสียท่า โดนเสือโคร่งตัวใหญ่สองตัวฟัดจนศพดูไม่ได้ และตั้งแต่นั้นมา เสือผีกะเหรี่ยงก็เกิดขึ้นมา
หลังจากวันนั้นเป็นต้นมา ตาทวดผมก็ไม่เคยเข้าไปล่าสัตว์ในป่าลึกอีกเลย
บทสรุป จากปากตาทวดผมและพราน

มันเป็นเรื่องที่ยายผมเล่าให้ผมฟังจริงๆ ถามว่าจริงไหม ท่านคงต้องใช้ดุลยพินิจและวิจารณญาณตัดสินกันเอาเอง แต่ถ้าถามผมในฐานะเป็นหลานยาย ผมเชื่อว่าตาทวดกับยายผมไม่ได้โกหก และผมยังเชื่อว่าปัจจุบันเสือผีกะเหรี่ยงก็ยังคงอยู่ในป่าลึกแห่งนั้น
ขอขอบคุณที่มา: ซอคเกอร์ซัคดอทคอม
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่ คลังสยอง

กดแชร์บทความ