เหตุการณ์ทั้งหมดเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้วระหว่างไปเที่ยวต่างจังหวัด ผมและเพื่อนอีก 3 คน มีชื่อว่า ไผ่ อีก 2 คนเป็นพี่น้องฝาแฝดกันชื่อว่า เขต กับ แดน พวกเราทั้งหมดได้ไปเที่ยวที่ต่างจังหวัดด้วยกัน แต่ก่อนที่พวกเราจะออกไปเที่ยวนั้น ก็ได้ทำการนัดกันไปไหว้พระขอพรที่วัดประจำหมู่บ้าน ก็มีเพียงแค่ผม เขตและแดนเท่านั้นที่ไปไหว้พระ สวนไผ่นั้นไม่ได้ไปเนื่องจากตื่นสายก็เลยยุ่งอยู่กับการเตรียมตัว
หลังจากที่พวกเราทุกคนได้ออกไปเที่ยวกันทั้งวันจนเหน็ดเหนื่อยแล้ว แต่พวกผมไม่ได้จองที่พักกันเอาไว้ จึงต้องขับรถไปหากันเอาเอง ระหว่างทางก็ตกลงกันว่าจะซื้ออาหารและเครื่องดื่มเข้าไปในที่พักด้วยเลย เพราะเวลาตอนนั้นก็ดึกแล้ว และอีกอย่างทุกคนก็เหนื่อยจากการเดินทาง
เราขับรถมุ่งหน้าไปได้สักพักก็เจอกับที่พักแห่งหนึ่ง เป็นรีสอร์ทซึ่งอ่านจากป้ายดู ทั้งเครื่องอำนวยความสะดวกและค่าเช่าก็ดูจะเหมาะสมกัน ทุกคนจึงตกลงเลือกรีสอร์ทแห่งนี้เป็นที่พักในที่สุด
พวกเราเปิดห้อง 2 ห้องแยกกันพักเป็นคู่ พอเจ้าของรีสอร์ทพาทุกคนไปเดินดูที่พัก ทุกคนก็รู้สึกพอใจเพราะห้องของรีสอร์ทนั้นเพิ่งจะสร้างขึ้นมาใหม่เมื่อไม่กี่ปีนี้เอง หลังจากทุกคนจัดการเรื่องค่าเช่าแล้วก็จัดแจงเรื่องของกินกันแล้วก็แยกย้ายกันไป ในตอนนั้นผมก็รู้สึกแปลกๆ กับบรรยากาศบริเวณนั้นยังไงก็ไม่รู้ มันเงียบมาก ไม่มีแม้กระทั่งเสียงจิ้งหรีดร้อง หรือเสียงแมลง เรียกได้ว่าเงียบจริงๆ
หลังจากนั้นก็แยกย้ายกันเข้าห้อง ผมไปนอนกับไผ่ ส่วนฝาแฝดก็นอนกันอีกห้องหนึ่ง หลังจากผมเข้าห้องไปแล้วก็ได้นั่งคุยกับไผ่ ผลัดกันอาบน้ำแล้วออกมานั่งกินข้าว และหลังจากนั้นก็เตรียมดับไฟเข้านอน ก่อนที่จะนอนผมก็ได้ไหว้พระสวดมนต์ แต่ว่าไผ่เมื่อล้มตัวลงได้ก็นอนไปเลย ผมจึงหันไปบอกกับไผ่ว่า
“เมื่อเช้าก็ไม่ได้ไปไหว้พระ ก่อนนอนมานอนต่างที่ต่างถิ่นก็ไม่คิดจะไหว้ขอเจ้าที่เจ้าทางก่อนเลยเหรอ”
เมื่อไผ่ได้ยินคำพูดของผม จากที่นอนหงายจึงเปลี่ยนมานอนตะแคงหันหลังให้ผม แล้วก็พูดออกมาว่า “มันดึกแล้ว กูง่วง พรุ่งนี้ค่อยไหว้ก็ได้” ผมได้ยินแบบนั้นก็เลยไม่พูดอะไรต่อ หลังจากสวดมนต์เสร็จก็ล้มตัวลงนอน
หลังจากหลับไปได้สักพักหนึ่ง ผมก็สะดุ้งตื่นขึ้นมาตอนกลางดึก เนื่องจากได้ยินเสียงเคาะประตูห้องดัง ปัง ๆ ๆ เสียงเคาะที่ว่านั้นเป็นการเคาะแค่สามครั้ง เคาะช้าๆ ไม่รัว ผมกำลังจะลุกขึ้นไปส่องที่ตาแมวว่าใครกันมาเคาะประตูกลางดึกแบบนี้ คิดในใจตอนแรกว่าอาจจะเป็นเขตกับแดนหรือเปล่า พอกำลังจะลุกขึ้นเท่านั้น จู่ๆ ไผ่ก็พูดขึ้นมาว่า
“ไม่ต้องไปส่องหรอก ไอ้เขตกับไอ้แดนคงมาเคาะแกล้งเรา เมื่อกี้มันก็มาเคาะแบบนี้แหละ พอกูลุกขึ้นไปส่องก็ไม่เห็นมีใครเลย นอนต่อเถอะ”
ผมได้ยินไผ่บอกแบบนั้น ก็เลยคิดขึ้นได้ว่า เขตกับแดน ฝาแฝดคู่นี้ก็เป็นคนที่ชอบแกล้งเพื่อนด้วยวิธีที่แผลงๆ เสมอ จึงเลิกสนใจและล้มตัวลงนอนอีกครั้งหนึ่ง
คราวนี้ก็หลับไปได้สักพัก แต่ก็ต้องสะดุ้งตื่นขึ้นมาอีกครั้ง เพราะได้ยินเสียงเคาะประตูอีกแล้ว แต่ว่าคราวนี้เสียงที่เคาะไม่ได้เหมือนกับตอนที่ตื่นครั้งแรก มันเป็นเสียงเคาะแบบรัวๆ แต่พอผมลืมตาตื่นขึ้น เสียงมันก็เงียบหายไป แต่ว่าผมก็ไม่ได้ลุกขึ้นไปส่องดู คิดแค่ว่าถ้าไอ้สองคนนั้นยังแกล้งกันไม่เลิก พรุ่งนี้จะไปด่าให้กระจุยเลย
แล้วผมก็นอนพลิกตัวหยิบมือถือขึ้นมาดูและก็สงสัย เนื่องจากว่าเวลาตอนนั้นตีสามแล้ว ทำไมพี่น้องคู่นั้นยังไม่ยอมนอนกันอีก ระหว่างที่กำลังคิดอยู่นั้น เสียงเคาะที่หน้าประตูก็ดังขึ้นมาอีก คราวนี้เคาะดังมากแล้วก็ถี่ด้วย ผมทนไม่ไหวเลยตัดสินใจลุกขึ้นไปเปิดประตู
พอเปิดประตูออก ผมก็ต้องแปลกใจกับภาพที่อยู่เบื้องหน้า เพราะมันไม่มีใครเลย มีแต่ความมืดและก็ความเงียบ ผมได้แต่ยืนงงและก็ตัดสินใจพูดออกมาว่า
“ดึกแล้วจะมาแกล้งกันทำไมวะ คนจะหลับจะนอน!”
พูดจบผมก็ปิดประตูเดินกลับไปที่เตียง แต่ก็ยังงงๆ กับเหตุการณ์ เพราะตอนที่ผมกำลังจะเปิดประตูห้องออกไปนั้น เสียงเคาะประตูยังดังอยู่ แต่พอเปิดออกไปกลับไม่เจอใคร ถ้าเป็นคนจะวิ่งไปซ่อนได้ยังไงไวขนาดนั้น และรอบด้านก็มีแต่ป่า ทั้งมืดทั้งน่ากลัว
ระหว่างนั้นไผ่ก็ลุกขึ้นมาแล้วพูดว่า “ถ้าเกิดคราวนี้มันดังขึ้นมาอีก มึงไม่ต้องลุกขึ้นไปเลยนะ นอนต่อเลย ถ้าเกิดมีคนมาเคาะประตูอีก เดี๋ยวกูจะไปจัดการเอง” ผมจึงตัดสินใจนอนต่อ
แต่ยังไม่ทันที่ผมกับไผ่จะได้หลับตานอน เสียงเคาะประตูแบบรัวๆ ก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ผมกับไผ่ลุกขึ้นมาพร้อมกัน แต่ว่าไผ่นั้นยกนิ้วชี้ขึ้นมาจุ๊ปาก แล้วก็หันมาพูดเบาๆ กับผมว่า “เงียบไว้” แล้วมันก็ลุกไปส่องตาแมวตรงประตู ผมก็ลุกขึ้นมาแอบอยู่ข้างหลังของไผ่ มือซ้ายจับลูกบิดประตูเอาไว้ เตรียมพร้อมที่จะเปิด แต่ว่ายังไม่ทันที่จะได้บิดลูกบิดประตู จู่ๆ ไผ่ก็เอามือมาจับมือของผมไว้ ผมถึงกับสะดุ้งและหันไปมองหน้ามัน
ไผ่ค่อยๆ หันมามองหน้าผมช้าๆ ทันทีที่สบตากัน ผมก็ตกใจกับใบหน้าของไผ่ในตอนนี้ เนื่องจากใบหน้าของไผ่เหมือนคนกำลังอึ้งกับอะไรสักอย่าง ไผ่พูดด้วยน้ำเสียงเหมือนคนที่กำลังทำอะไรไม่ถูกว่า
“มะมึงอย่าเปิดนะ”
พร้อมกับค่อยๆ ถอยออกมาจากประตู ผมก็ยังไม่ได้เปิดประตูออกไป และก็สงสัยว่าไผ่เห็นอะไรที่ตาแมว พอไผ่ถอยพ้นประตูไปแล้ว ผมก็เลยคิดว่าจะไปส่องดูบ้าง แต่ว่ายังไม่ทันที่จะได้ดู ไผ่ก็เอามือมาจับที่ไหล่ของผม ก่อนจะส่ายหัว แล้วพูดด้วยน้ำเสียงสั่นเครือสั้นๆ ว่า
“ยะอย่าส่องเลย มะมันไม่มีอะไรหรอก กลับไปนอนกันเถอะ” พูดจบไผ่ก็เดินกลับไปที่เตียงอย่างช้าๆ แล้วก็หยิบผ้าห่มขึ้นมานอนคลุมโปง นอนตัวสั่นเหมือนกับคนกำลังกลัวอะไรสักอย่าง
ผมเห็นท่าทีของไผ่แบบนั้นก็เริ่มมีอาการขนลุกขึ้นมาบ้าง มือซ้ายก็ค่อยๆ ปล่อยจากลูกบิดประตู ตอนนี้เริ่มรู้สึกไม่ดีแล้ว ทำไมไผ่ถึงมีอาการแบบนี้ ผมจึงรวบรวมสติและความกล้าทั้งหมด ค่อยๆ เลื่อนสายตาไปส่องที่ตาแมวประตู
และภาพที่ปรากฏก็คือ เป็นผู้หญิงคนหนึ่ง นุ่งผ้าถุง ใส่เสื้อกล้ามสีแดง สวมรองเท้าแตะ เธอคนนั้นกำลังจ้องมองมาที่ผม ร่างกายและใบหน้าของเธอนั้นขาวซีด ไม่มีตาดำ ดวงตากลมโตและแดงก่ำ เส้นผมของเธอสยายออกเหมือนแผงขนบนคอสิงโต เธอยืนลอยตัวเท้าไม่ติดพื้น เธอกำลังจ้องมาที่ผม แล้วก็ค่อยๆ ยิ้ม และยิ้มกว้างขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งมองเห็นฟันแหลมๆ ของเธอโผล่ออกมาพร้อมกับรอยยิ้มนั้น
ผมตกใจและทำอะไรไม่ถูก เหมือนถูกสะกดให้จ้องมองอยู่อย่างนั้น เธอค่อยๆ ลอยใกล้เข้ามาที่ประตูอย่างช้าๆ ผมได้แต่ยืนช็อคทำอะไรไม่ได้ จะขยับก็ไม่ได้จะหลับตาก็ไม่ได้ ได้แต่ยืนมองเธอนั้นลอยเข้ามาใกล้ที่ประตู ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนตอนนี้เธอลอยมาอยู่ตรงหน้าของผมแล้ว!
ผมนึกถึงพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ได้ไปไหว้มาก่อนหน้านี้ ขออย่างเดียว ถ้าเกิดยังขยับตัวไม่ได้ก็ขอแค่ให้หลับตาได้ก่อนก็ยังดี แล้วผมก็ค่อยๆ ขยับเปลือกตาปิดลงมาได้ทีละนิด แล้วในขณะที่หลับตาอยู่นั้นก็ยังรู้สึกได้ว่าผู้หญิงคนนั้นยังคงยืนอยู่ที่หน้าประตู ทันใดนั้น! เสียงเคาะประตูก็ดังขึ้นอีกครั้งหนึ่ง ครั้งนี้เสียงเคาะประตูดังขึ้นต่อหน้าต่อตาของผมแล้ว!
ผมไม่สามารถขยับตัวออกจากประตู ได้แต่ยืนหลับตานิ่งๆ จนสักพักหนึ่งเสียงเคาะประตูก็เงียบลง ผมก็ยืนอยู่นิ่งๆ จนรู้สึกว่ามีใครเอาอะไรมาคล้องที่คอของผม แล้วกระซิบที่ข้างหูผมว่า
“ขอโทษนะ”
พอสิ้นเสียง ผมเหมือนถูกฉุดออกมาจากตรงหน้าประตูและล้มลงที่พื้นอย่างแรง ร่างกายของผมก็เกิดอาการเกร็ง เหงื่อไหลท่วมตัวไปหมด พอเริ่มตั้งสติได้ก็มองกลับไปที่เตียง ผมเห็นไผ่กำลังนั่งหายใจหอบ เหมือนคนที่กำลังเหนื่อย ผมก็ได้แต่มองหน้ามัน แล้วไม่ได้พูดอะไรกันต่อ รีบลุกขึ้นไปเปิดไฟจนสว่างโร่ แล้วล้มตัวลงบนที่นอน
ตอนรุ่งเช้า เราทั้งคู่รีบลุกออกจากห้องแล้วขับรถออกไป คิดได้อย่างเดียวคือ ต้องรีบไปใส่บาตร หลังจากนั้นก็ค่อยกลับไปที่รีสอร์ท เพื่อที่จะถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ แล้วพวกผมสองคนก็ได้รู้ความจริงว่า
คนที่มาเฝ้ารีสอร์ทนั้น ลุงแกไม่ใช่เจ้าของรีสอร์ท แกแค่รับจ้างมาเฝ้าคนเดียว เจ้าของรีสอร์ทนี้จะมาก็ต่อเมื่อถึงเวลาจ่ายค่าน้ำค่าไฟเท่านั้น
แล้วแกก็ยังเล่าอีกว่า เมื่อก่อนตรงที่ผมพักมันเป็นศาลปูนเล็กๆ ที่เขาสร้างให้กับสาวชาวพม่าคนหนึ่ง รูปร่างหน้าตาดี เธอเคยมาสมัครเป็นคนงานก่อสร้าง แต่ว่าถูกล่อลวงไปทำมิดีมิร้ายก่อนที่จะถูกฆ่าปิดปากด้วยการบีบคอจนขาดใจตาย และมีคนไปพบศพของเธอตรงบริเวณที่ผมกับไผ่นอนเมื่อคืนนี้
หลังจากที่พิธีศพของเธอเสร็จสิ้น ชาวบ้านก็ช่วยกันตั้งศาลขึ้นมาให้กับหญิงพม่าคนนั้น ก่อนที่เวลาต่อมาจะถูกทุบเพื่อสร้างเป็นที่พัก แล้วลุงก็ถามพวกผมสองคนว่า
“ที่ผ่านมาก็ไม่เคยมีใครเจอ พวกคุณไปทำผิดอะไรกันมาหรือเปล่า?”
ผมก็ได้คุยกับไผ่ถึงเรื่องตอนก่อนจะนอนเมื่อคืนนี้ ตอนที่ผมชวนมันสวดมนต์และขอเจ้าที่เจ้าทาง แต่มันกลับบอกว่ามันดึกแล้ว กูง่วง พรุ่งนี้ค่อยไหว้ก็ได้’ เพราะเหตุนี้หรือเปล่าที่ทำให้เจ้าของที่นั้นโกรธ และมาปรากฏให้เห็นที่หน้าห้อง ไผ่จึงบอกกับผมว่า น่าจะเป็นความผิดของตัวเอง อย่าเอาเรื่องนี้ไปเล่าให้ใครฟังเลยนะ
หลังจากที่ได้ถามไถ่เขตกับแดน มันก็บอกว่า ก็นอนหลับสบายดีทำไมเหรอ? ได้ยินแบบนั้น ผมกับไผ่ก็ได้แต่มองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรต่อ และไม่ต้องรอให้ถึงเวลาเช็คเอาท์ พวกเราก็รีบออกมาจากรีสอร์ทนั้น โดยไม่หันหลังกลับไปมองอีกเลย
ขอขอบคุณที่มา: Shock Time Story ล้อมวง เล่า เรื่อง ผี

กดแชร์บทความ