เรื่องเล่าจากคุณแม่ของคุณต้น เล่าว่า
เรื่องราวและเหตุการณ์ทั้งหมดนั้นเกิดขึ้นที่จังหวัดบึงกาฬเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ซึ่งในสมัยนั้นยังเป็นจังหวัดหนองคายอยู่ อำเภอแห่งนี้อยู่ห่างจากอำเภอเมืองบึงกาฬ ในสมัยนั้นเป็นอำเภอบึงกาฬจังหวัดหนองคาย ช่วงเวลานั้นคุณแม่มีอายุ 10 ปีเศษๆ คุณแม่มีพี่น้องทั้งหมด 10 คน คุณแม่เป็นคนที่ 8
คุณตาและคุณยายของคุณต้นเป็นชาวนาและคุณยายของคุณต้นก็ปลูกหม่อนเลี้ยงไหมด้วย คุณแม่จึงต้องช่วยคุณยายทำเกี่ยวกับไหมหลายอย่าง คุณยายปลูกหม่อนเลี้ยงไหมไว้ที่นา ห่างจากตัวบ้านประมาณ 3 กิโลเมตรซึ่งนาที่ว่านั้นจะตั้งอยู่ข้างเนินของวัดป่าของหมู่บ้าน ซึ่งถูกแบ่งระหว่างนากับวัดด้วยถนนที่จะไปอีกหมู่บ้านหนึ่งได้ ในสมัยนั้นมีคุณยายคนหนึ่งชื่อว่า ยายจัน เป็นแม่ชีที่บวชอยู่วัดนี้ แล้วอยู่มาวันหนึ่ง ยายจันก็เสียชีวิตลงด้วยโรคชราของแกนั่นเอง
ขออธิบายลักษณะของวัดป่าสักหน่อย วัดป่าแห่งนี้มีต้นไม้เยอะมาก มีต้นฉำฉาต้นหนึ่งเอนออกมานอกกำแพงวัด มีกิ่งที่แข็งแรงพาดออกมาด้วย และทางนาของคุณตาคุณยายนั้นก็มีต้นประดู่ขนาดใหญ่ที่เอนกิ่งไปขนาบกันพอดีกับต้นฉำฉาต้นนั้น
เรื่องนี้เกิดขึ้นหลังจากที่ยายจันเสียชีวิตไปได้ประมาณ 1-2 เดือน วันนั้นคุณแม่ต้องไปช่วยงานคุณยายเก็บไหมเพื่อเอาไหมกลับมาต้มที่บ้าน คุณยายกับคุณแม่ออกจากบ้านไปประมาณสักสี่โมงเย็น ไปถึงก็เก็บไหมใส่กระบุงได้สัก 3-4 กระบุง กว่าจะเสร็จก็เย็นมากแล้ว สมัยก่อนท้องฟ้ามืดเร็วกว่าปัจจุบัน เนื่องจากยังมีป่าอยู่เยอะ
หลังจากทำธุระเสร็จคุณแม่กับคุณยายก็ถือกระบุงเพื่อที่จะเดินทางกลับบ้าน เดินจากเนินวัดป่าเลาะไปตามกำแพงวัดลงมาตามถนน ระหว่างเดินเลาะกำแพงวัดลงมาตามทางนั้น คุณแม่ได้ยินเสียงคล้ายกับคนกำลังใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดลานวัดอยู่ แม่ก็คิดว่าคงเป็นพระหรือไม่ก็แม่ชีกำลังกวาดลานวัดกันตามปกติ แต่เพราะว่าเวลานั้นมันเกือบหกโมงเย็นแล้ว แม่ก็เลยฉุกคิดขึ้นมาว่า ควรจะเป็นเวลาที่พระต้องไปทำวัตรเย็น แล้วจะมีพระว่างมากวาดลานวัดได้ยังไง
คุณแม่กับคุณยายก็เดินลงมาตามทางเรื่อยๆ จนกระทั่งเดินลงมาในทางระดับปกติ เมื่อเดินผ่านประตูวัดคุณแม่ก็เลยมองเข้าไปด้านใน ก็เห็นแม่ชีคนหนึ่งกำลังกวาดลานวัดอยู่ที่ใกล้ๆ ประตูนั้น เห็นหน้าชัดเจนว่าคนที่กวาดอยู่คือแม่ชีจันที่เสียชีวิตไปแล้ว คุณแม่ก็เลยมองไปที่หน้าคุณยาย แต่ว่าคุณยายก็ยังคงมองตรง แล้วก็เดินไปข้างหน้าเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
แม่จึงสะกิดคุณยาย แต่ว่าคุณยายก็ไม่มีท่าทีอะไรตอบกลับ มีแค่เพียงคำพูดว่า ถือของหนักปวดหลัง รีบๆเดินกลับบ้านจะได้ถึงบ้านเร็วๆ ในตอนนั้นคุณแม่ก็ไม่ได้เชื่อว่าสิ่งที่ตัวเองเจอคือผียายจันใช่หรือไม่ ก็เลยหันกลับไปมองอีกที สิ่งที่คุณแม่เห็นคราวนี้ก็คือ คุณยายจันคนนั้น ถือไม้กวาดมองมาทางคุณแม่ ดวงตาเริ่มเปลี่ยนเป็นสีแดงสว่างเหมือนมีไฟออกมา แล้วก็เริ่มแลบลิ้นออกมายาว ยาวถึงยาวมาก ยาวประมาณเอว แล้วก็เริ่มตวัดลิ้นแกว่งไปแกว่งมา แม่เห็นดังนั้นจึงรีบหันกลับแล้วรีบเดินต่อไป
จนกระทั่งถึงบ้านก็เล่าให้คุณยายฟังว่าแม่เจออะไรมาบ้าง คุณยายก็บอกว่า ยายเห็นตั้งแต่เดินลงมาจากเนินแล้วว่านั่นคือแม่ชียายจัน เนื่องจากตัวคุณยายเองสูงกว่าคุณแม่และก็เพราะว่าอยู่บนเนินจึงสามารถมองเห็นข้ามกำแพงวัดเข้าไปได้ ซึ่งในสมัยนั้นกำแพงวัดก็ไม่ได้สูงมาก
หลังจากนั้นเวลาคุณแม่ไปนากับคุณตาหรือว่าคุณยาย แม่จะไม่ยอมเดินกลับที่เส้นทางข้างวัดในช่วงพระอาทิตย์ตกดินอีกเด็ดขาด ถ้าพระอาทิตย์ตกดินไปแล้วจะขอเลือกเดินไปอีกทาง ยอมเดินลัดทุ่งนาซึ่งหนทางลำบากมากกว่า
เวลาผ่านไปอีกสมัยหนึ่ง เป็นช่วงที่คุณแม่เพิ่งจะเรียนจบมหาลัย แล้วก็กลับมาเป็นครูที่โรงเรียนในหมู่บ้าน สมัยนั้นมีรถมอเตอร์ไซค์กันแล้ว และเนื่องจากเวลาผ่านมานาน คุณแม่จึงลืมเรื่องของแม่ชียายจันไปจนหมดสิ้น
จนกระทั่งวันหนึ่งคุณแม่จะต้องไปรับคุณตากับคุณลุงที่นา เนื่องจากคุณตากับคุณลุงไปขุดบ่อน้ำกัน ช่วงนั้นเป็นเวลาเย็นแล้ว เมื่อไปถึงนาคุณตาก็ขึ้นมาจากบ่อ ล้างตัวเก็บของกว่าจะทำอะไรเสร็จก็พระอาทิตย์ตกดินเป็นที่เรียบร้อย ส่วนคุณลุงนั้นไม่ยอมกลับบ้านจะนอนที่กระท่อมบริเวณนา เนื่องจากว่าคืนนั้นคุณลุงกะว่าจะไปหายิงหนูนาแถวทุ่งนานั่นเอง คุณแม่กับคุณตาก็ขี่มอเตอร์ไซค์ลงมาเพื่อที่จะกลับบ้าน โดยมีคุณตาเป็นคนขับแล้วคุณแม่เป็นคนซ้อน
พอขี่ไปถึงเนินวัดป่านั้น ท่านผู้อ่านยังจำกิ่งไม้ประดู่กับไม้ฉำฉาที่มันมาผสานกันได้ไหมครับ เมื่อทั้งคู่ขี่รถผ่านกิ่งไม้นั้นมา คุณแม่ก็เริ่มได้ยินเสียงคล้ายๆ กับคนกำลังใช้ไม้กวาดทางมะพร้าวกวาดพื้นอยู่ แต่ทว่าเสียงที่ได้ยินนั้นมันดังกว่าปกติมาก ดังมาจากด้านหลัง คุณแม่ก็เลยหันกลับไปดู เห็นเป็นเปรตตัวใหญ่มากๆ กำลังใช้ขาพับบริเวณหัวเข่า หนีบห้อยอยู่กับกิ่งไม้ที่พูดถึงก่อนหน้านั้น หัวและแขนห้อยลงมา แขนนั้นสั้นผิดรูป ตัวโต ตาถลนมีสีแดงก่ำ บริเวณปากมีหนองไหลออกมาตลอดเวลา ใช้เส้นผมที่ยาวกวาดถนนโดยการโยกตัวไปมา คล้ายๆ กำลังเล่นชิงช้าแต่ว่ากลับหัว เห็นแบบนั้นคุณแม่เลยรีบหันกลับมาซบหลังคุณตาแล้วก็เริ่มร้องไห้
จนเมื่อมาถึงบ้านจึงได้เล่าเหตุการณ์ทั้งหมดให้คุณตาฟังว่าเกิดอะไรขึ้น คุณตาจึงพูดว่า จำไม่ได้เหรอ นั่นแหละคือเปรตของแม่ชียายจัน แกน่าจะทำผิดอะไรเอาไว้ตอนที่บวชสมัยเมื่อยังมีชีวิตอยู่ หลังจากที่แกตายไปก็ต้องกลับมาเกิดเป็นเปรต ชดใช้กรรมอยู่ในวัดมาหลายสิบปีเข้าไปแล้ว
สุดท้ายนี้ก็ขอให้ผู้อ่านทุกท่านทำกรรมดีไว้ในสมัยที่ยังมีชีวิตอยู่นะครับ
ที่มา: เดอะช็อคสตอรี่ เรื่อง เปรตแม่ชี

กดแชร์บทความ