เมื่อประมาณปี พ.ศ.2522 ตอนนั้นเพิ่งปิดเทอมใหญ่ รอขึ้นชั้นมัธยมหนึ่ง ผมรู้สึกตัวเองโตมาก เมื่อถึงเทศกาลเช็งเม้งผมจึงไม่อยากไปร่วมด้วย ผมมองว่าเป็นเรื่องโบราณ ร้อนก็ร้อน อะไรๆ ที่ผู้ใหญ่ทำในตอนนั้น เด็กอย่างผมจะมองว่าล้าสมัย น่าเบื่อไปเสียหมด
ผมมักต่อต้านแอนตี้โดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว แต่ว่าพ่อผมดุมาก เจอบทลงโทษของพ่อ อาจจะถูกตัดเงินประจำสัปดาห์ไปเป็นเดือนๆ เหมือนพี่ชายคนโตของผมที่แอบไปดูดกัญชาแล้วพ่อทราบ เจอบทลงโทษหนึ่งเดือนเต็ม ต้องกินแต่ข้าวบ้านทุกมื้อ กินแต่ข้าวของที่มีแต่ในบ้าน ห้ามแม่หรือใครแอบให้เงิน หากรู้เจอเพิ่มอีกสิบเท่า พ่อทำจริงมาแล้ว ทุกคนจึงเกรงกลัวพ่อมาก
ผมไปเช็งเม้งปีนั้นอย่างต่อต้าน ขึ้นรถก็โอ้เอ้ นั่งในรถก็ฟังซาวด์อเบาต์ที่ยุคนั้นกำลังฮิต พอเบื่อก็เอาเกมกดขึ้นมาเล่น เมื่อไปถึงสุสาน มักจะมีพวกโต๊ะข้าวต้มจับเกี้ยมที่พ่อมักเลี้ยงจัดคนมาด้วย เพราะคนที่มาไม่เพียงมีแต่ญาติ แต่พ่อจัดรถบัสขนาดใหญ่ไปอีกสี่คัน จึงมีทั้งเพื่อน ญาติ และใครก็ไม่รู้มาด้วย
ทุกสุสานที่ไปจะมีการโยนเงินแจกทานอีก อาหารก็มีกิน ขนม แถมของชำร่วยที่แจกทุกสุสานอีก เทศกาลเช็งเม้งวันเดียวพ่อจะไปทุกสุสาน ทั้งอากงอาม่า อาแปะที่ตายไปแล้วและญาติคนอื่นๆ บางปีตอนเด็กไปกันถึงสิบแห่งก็มี ไปกันจนเหนื่อยเลย เหนื่อยขึ้นลงรถนี่แหละ ผมมักประชดให้แม่ได้ยิน
เช็งเม้งที่ชลบุรี เมืองที่มีฮวงซุ้ยเยอะมาก ปีนั้นไปถึงที่แรก ผมขี้เกียจจำหรอกว่าหลุมของญาติคนไหน พอลงผมก็เดินหลบไปนั่งในโถงศาลาซึ่งก็แปลกดี อากาศร้อนมากแต่โถงศาลาพวกนี้จะเย็นสบายอย่างที่สุด พอเห็นคนเดินเสิร์ฟน้ำเย็นก็กวักมือเรียกให้นำมาเสิร์ฟ แม่เห็นเข้าก็เดินมาว่าผม ไปกวักมือเรียกพี่เขาแบบนี้ได้ไง ไม่มีมารยาท
ผมทำท่ารำคาญแล้วลุกหนีไป จะอะไรกันนักกันหนาก็แค่เสิร์ฟน้ำ ผมเดินไปที่โต๊ะแล้วหยิบรินเอง ดื่มอึกๆ ก่อนจะหนีไปยังอีกศาลาใกล้กัน ดึงเก้าอี้เหล็กพับกางออกแล้วนั่ง เปิดเพลงในซาวด์อเบาต์ฟังต่อ
จนมีการตะโกนเรียกให้ขึ้นรถ ผมไม่ได้ยินหรอกแต่รู้เข้าใจจากการเดินของคนอื่นๆ ไปขึ้นรถ ผมไม่ได้เดินไปไหว้ฮวงซุ้ย คิดแล้วก็ชักเกรง พ่อไม่เห็น กลับบ้านอาจจะเจอพ่อคิดบัญชี แต่ก็ไม่แน่ พ่อมัวแต่ยุ่งกับคนมากมาย แม่ก็อาจจะแก้ตัวแทนให้ ผมเลยเดินไปขึ้นรถคันเก่าต่อ อ้อ ผมนั่งแยกมาจากครอบครัว ขี้เกียจขึ้นไปปนกับบรรดาญาติขี้โม้ทั้งหลาย นานๆ เจอทีชอบอวดโม้ลูกตัวเองเก่งนั่นเก่งนี่ ผมรำคาญมาก
รถเลี้ยวออกวิ่งบนถนนใหญ่ อึดใจก็เลี้ยวเข้าสุสานอีก พอถึงผมก็ลงเดินไปโถงศาลาที่สุสานไหนก็มีเหมือนๆ กันหมด น้ำก็มาอีก หนนี้มีตั้งโต๊ะจีนแล้ว น่าจะเที่ยงมีการเลี้ยงอาหารกัน คงใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆ ปีนี้มาถึงช้าสุสานเดียวแล้วก็กินมื้อเที่ยงเลย หรือว่าพ่อวางโปรแกรมไว้แบบนี้
ผมก็คิดไปเรื่อยๆ แล้วก็เดินไปบริเวณที่เป็นโรงครัวทำอาหาร สั่งพนักงานจัดให้ผมชุดหนึ่ง ผมจะกินตรงนี้ พนักงานมองหน้าบอกทำให้ไม่ได้ ผมย้อนไป พ่อผมเป็นเจ้าภาพนะ
มีผู้ชายอีกคนมาถามว่ามีอะไร พอเขาเห็นท่าทางผม คนนี้คงมีอำนาจตัดสินใจ จึงสั่งเด็กจัดอาหารให้ผมชุดหนึ่ง ผมบอกเอาแค่ข้าวผัดสักจาน ปลาสักตัว พร้อมน้ำอัดลมก็พอ อย่างอื่นขี้เกียจกิน ผมว่าไปแล้วนั่งรอที่โต๊ะรอเสิร์ฟ
ลมเย็นนะตอนนั้น เย็นจนไม่รู้เผลอหลับไปตอนไหน เมื่อตื่นขึ้นมาผมตกใจมาก รอบตัวเงียบเชียบไม่มีเสียงใดๆ เลย แม้จะสว่างจ้าแต่ผู้คนหายไปหมด นี่ผมเผลอหลับแล้วรถออกไปแล้วหรือ ทำไมพวกพนักงานเสิร์ฟไม่ปลุกผม หรือว่าเขาไม่พอใจจนต้องกลั่นแกล้งกันขนาดนี้
ผมคิดแต่ไม่มีเวลาโมโหใคร จะต้องหาทางออกให้ได้ กำลังเหลียวขวาแลซ้ายอยู่ ก็ได้ยินเสียงโครมดังมาก คล้ายวัตถุอะไรสองอย่างชนกันกระแทกกัน เมื่อหันไปหาก็เจอเข้ากับภาพรถกระบะชนกับรถยนต์ สภาพบู้บี้เหมือนขยำเข้าหากัน
ไม่นานก็มีคนในรถทั้งสองคันเดินเขย่งบ้าง คลานบ้าง ตรงเข้าหาผมพร้อมกันถึงสี่คน ผมทั้งตกใจกลัวและทำอะไรไม่ถูก เพราะทั้งสี่มีเลือดท่วมตัว เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง บางคนก็ไม่มีแขน บางคนก็ไม่มีขา ไม่ต้องพูดถึงแผลเหวอะหวะตามตัว ที่ตกใจสุดขีดก็คือจู่ๆ ก็มีมือมาดึงผมให้หันจากด้านหลัง แม้จะไม่แรงเหมือนกระชากแต่ก็แรงพอให้เกือบหงายหลัง ใบหน้าเขาเต็มไปด้วยเลือด แล้วเขาก็พูดว่า
ช่วยต่อหัวให้ผมด้วย!
พูดจบก็ดึงหัวตัวเองออกให้ผมเห็นคอที่ขาดออกจากศีรษะพร้อมกับเลือดที่ฉีดพุ่งขึ้นฟ้าอย่างแรง ผมตกใจวิ่งหนีไม่คิดชีวิต ออกวิ่ง ยิ่งวิ่งก็เหมือนยิ่งไกล ประตูทางเข้าสุสานที่เห็นลิบๆ แต่วิ่งเท่าไหร่ก็ไม่ถึงเสียที สุดท้ายก็ล้มลงหมดสติ
ผมฟื้นขึ้นมาด้วยเสียงเรียกของแม่ ลุกๆ รถจะออกแล้ว
ผมมองรอบตัวอย่างงุนงง พนักงานเสิร์ฟพูดขึ้น ขอโทษด้วยพี่ ผมไม่กล้าเรียกพี่ เห็นหลับ แต่ผมใส่ถุงให้แล้ว พี่ไปกินบนรถได้
กลับบ้านเล่าให้แม่ฟัง แม่ไปสืบทราบจนได้ความว่า มีรถชนกันสองคันหน้าสุสาน ก่อนหน้าครอบครัวผมจะมาเช็งเม้งไม่กี่วันและตายกันหมดทุกคน!
ขอขอบคุณที่มา: สุขใจดอทคอม
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่
คลังสยอง

กดแชร์บทความ