เรื่องราวทั้งหมดเกิดขึ้นในสมัยที่ผมยังอยู่ต่างจังหวัด เมื่อประมาณสิบถึงสิบสองปีที่ผ่านมา ในสมัยนั้นผมยังเป็นแค่นักศึกษาธรรมดาๆ ทั่วไป ใช้ชีวิตแบบวัยรุ่นทั่วไป ที่มีกิจกรรมบ้าง เรียนบ้าง ผมมีเพื่อนที่สนิทอยู่คนหนึ่ง ชื่อจุ๊ เราสองคนเติบโตมาด้วยกัน เนื่องจากบ้านเราอยู่ใกล้กันมาก
จุ๊นั้นเป็นคนที่มีความกระตือรือร้นอยู่ตลอดเวลา มีเวลาว่างเป็นไม่ได้ ต้องหากิจกรรมนู่นนี่ทำตลอด เธอเป็นนักศึกษาตัวยงที่มีกิจกรรมทำอยู่ตลอดเวลา บางครั้งในช่วงปิดเทอมเธอมักจะชวนเพื่อนๆ ไปสกรีนเสื้อยืด แล้วก็นำไปวางขายที่ตลาดนัดคนเดิน จุ๊จะมีโปรเจคนู่นนี่นั่นอยู่บ่อยๆ เรื่องก็มาเกิดที่ตลาดนัดคนเดินนี่แหละครับ
ในช่วงท้ายๆ ของปีการศึกษา พวกเรามีวันหยุดยาว จุ๊จึงชวนผมกับเพื่อนอีกสองคน ไปทำสกรีนเสื้อ เพื่อจะนำไปวางขายที่ตลาดนัดคนเดิน เหมือนกับที่เคยทำผ่านมาอยู่บ่อยๆ เพื่อนผมอีกสองคน เป็นคนไปเดินหาแผง และแล้วพวกเราก็ได้แผงๆ หนึ่ง ซึ่งมีทำเลดีพอสมควร เพราะตรงนั้นมีคนเดินผ่านเยอะมาก
ฝั่งตรงข้ามแผงของเรา มีร้านขายน้ำหอมแบบแบ่งขายมาเปิดอีกหนึ่งแผง ซึ่งมีน้ำหอมกลิ่นต่างๆ มากมาย พร้อมกับขวดที่หลากหลายทั้งสวยงาม ทั้งแปลก ให้ได้เลือกซื้อกัน น้ำหอมบรรจุแบ่งขายเป็นซีซี ซีซีละแค่ไม่กี่บาทเท่านั้น พี่เจ้าของร้านอายุน่าจะไม่เกินสามสิบปี เป็นชายหนุ่มรูปร่างปกติและมีมนุษยสัมพันธ์ดี ในวันแรกๆ ที่เรามาตั้งแผงขายด้วยกันนั้น เราก็ทักทายกัน พูดคุยถึงสับเพเหระต่างๆ เท่าที่จำได้ พี่เขาชอบร่อนเร่ขายไปตามตลาดนัดต่างๆ ทั่วประเทศ แต่ที่ไปมาล่าสุด คือจังหวัดที่ติดกับชายแดนประเทศหนึ่ง เพื่อนบ้านเรานั่นเอง
หลังจากพวกเรา เปิดแผงขายได้ประมาณสิบวัน ก็มีเพื่อนฝูงต่างคณะที่อยู่มหาวิทยาลัยเดียวกัน แวะมาเดินเที่ยวที่ตลาดนัดคนเดิน แล้วก็แอบมาอุดหนุนเสื้อยืดของพวกเราที่สกรีนขายกันเอง มีอยู่หนึ่งคนในกลุ่มนั้น ชื่อเจน ตัวผมนั้นไม่ค่อยได้สนิทกับเธอนัก เคยเห็นหน้ากันอยู่บ่อยๆ แต่ก็เคยพูดจากันอยู่ไม่กี่ครั้งเท่านั้น
เจนหลังจากที่ดูแผงเสื้อผ้าของพวกเราแล้ว ก็มองไปที่ตรงข้าม ก็คือร้านขายน้ำหอมแบบแบ่งขายนั่นแหละ เธอเดินเข้าไปเลือกๆ อยู่สักพักหนึ่ง แล้วก็กลับออกมา พร้อมน้ำหอมสองขวด รูปร่างขวดนั้น ขวดนึงเป็นขวดแก้ว ที่เป่ามาเป็นรูปดอกไม้ สวยงามแปลกตาเลยทีเดียว ส่วนอีกขวดหนึ่ง เป็นขวดแก้วกลมๆ ใสๆ รูปทรงปกติทั่วไป
หลังจากเธอเดินกลับมารวมกลุ่มกับพวกเรา พวกเราก็ชวนกันขายเสื้อต่อไปจนมืดค่ำ จนกระทั่งตลาดนัดเลิก หลังจากเก็บร้านแล้ว พวกเรารวมกลุ่มกันได้แปดคน ก็ว่าจะแวะไปหานั่งทานอะไรกันก่อนที่จะแยกย้ายกันกลับบ้าน พวกเราทุกคนก็เลยยกโขยงกันไปนั่งที่ร้านอาหารร้านนึง ซึ่งเปิดถึงโต้รุ่ง เป็นร้านข้าวต้มข้างทางนี่แหละครับ
แต่สิ่งหนึ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจ นั่นก็คือเด็กเสิร์ฟของร้าน หลังจากจัดการต่อโต๊ะเรียบร้อย เด็กเสิร์ฟก็หยิบช้อน ชาม และตะเกียบ มาวางไว้ทั้งหมดนับได้เก้าชุด ซึ่งตอนแรก ผมเป็นคนที่อยู่ใกล้เด็กเสิร์ฟมากที่สุด เป็นคนส่งจานให้กับเพื่อนๆ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก คิดว่าเด็กเสิร์ฟคงหยิบผิด ในขณะที่กำลังสั่งอาหารกันอยู่นั้น เพื่อนคนนึงพูดขึ้นมากลางโต๊ะว่า
“เฮ้ย! เหม็นมากเลยว่ะ กลิ่นอะไรวะ…ใครเหยียบอะไรติดมาด้วยหรือเปล่าเนี่ย…”
ซึ่งแต่ละคน หลังจากได้ฟังแล้ว ก็เริ่มทำจมูกฟึดฟัด แล้วก็บอกว่า “เออ…จริงว่ะ อาจจะเป็นรถขยะ ที่เพิ่งมาเก็บขยะไปเมื่อกี้ก็ได้…”
หลังจากนั้นทุกคนก็ทานข้าวกัน โดยที่ลืมเรื่องกลิ่นนี้ไปแล้ว เมื่อกินกันจนอิ่ม ถึงช่วงที่กำลังจะแยกย้ายกันกลับนั้น เพื่อนกลุ่มที่มาจากต่างคณะ เอารถมาคันเดียวกันก็เลยจะกลับพร้อมกัน โดยที่จะเหลือแค่ผม จุ๊ และก็เพื่อนอีกคน กลับด้วยกันแค่สามคน เพื่อนอีกห้าคนนั้น ก็ลุกขึ้นจากโต๊ะ แล้วก็บอกว่า
“เออ…เดี๋ยวขอตัวกลับก่อน มีอะไรให้ช่วยก็โทรตามได้ตลอดนะ”
ระหว่างที่เพื่อนทั้งห้าคน กำลังเดินมุ่งหน้าไปที่รถ ผม จุ๊ และเพื่อนอีกหนึ่งคน ก็ยังคงนั่งคุยเล่นกันต่ออยู่ที่ร้าน ระหว่างนั้น จุ๊เอามือมาสะกิดที่ขาผม แล้วก็บอกว่า
“เฮ้ย! ไอ้เดช ดูกลุ่มพวกนั้นดิ” พลางใช้ปากทำท่าชี้ไปทางกลุ่มเพื่อนต่างคณะที่กำลังเดินมุ่งหน้าไปที่รถ
ในขณะนั้น ถนนบางส่วนถูกทำการชะล้างด้วยน้ำจากร้านต่างๆ ทำให้ถนนบางส่วนนั้นดูดำและมันควับเลยทีเดียว บวกกับแสงไฟสีส้มของข้างทางทำให้เกิดเงา เงาของทุกคนจึงพาดอยู่บนถนน ในช่วงที่ทุกคนกำลังเดินหันหลังให้กับเรา เพื่อนของพวกผมที่กำลังเดินมีกันห้าคน แต่เงาที่พาดผ่าน จุ๊เป็นคนชี้ให้นับ…มีถึงหกเงา ในขณะนั้นผมตกใจพอสมควร แต่เพื่อนอีกคนที่นั่งข้างๆ กันเห็นเหตุการณ์แบบเดียวกันก็เลยรีบตะโกนเรียกเพื่อนอีกห้าคนนั้นว่า
“เฮ้ย!”
ทั้งห้าคนนั้น หันกลับมามองพวกผมที่โต๊ะ แต่ว่าจังหวะที่ทุกคนหันกลับมานั้น เงากลับเหลือเพียงห้าเงา จุ๊จึงบอกไปว่า
“เอ่อ…ไม่มีอะไรหรอก…กลับกันดีๆ นะเว้ย”
คืนนั้นพวกเราก็เลยไม่แน่ใจว่า ตาฝาดเห็นกันไปเองหรือเปล่า อย่างที่เคยบอกไปว่าผมกับจุ๊นั้น บ้านเราอยู่ใกล้กัน ก็เลยเดินกลับมาด้วยกัน ระหว่างนั้นจุ๊ก็บอกว่า
“เออ…แผงเช่าน่ะ เหลืออีกสี่วัน ถ้าเป็นไปได้ พรุ่งนี้ไปให้เร็วหน่อยก็ดีนะ”
แล้วเราก็แยกย้ายกัน วันรุ่งขึ้นประมาณช่วงบ่ายๆ จุ๊วิ่งมาปลุกผมที่บ้าน พร้อมกับท่าทีลุกลน หน้าตาดูไม่ค่อยจะสู้ดีนักพร้อมกับบอกว่า
“เฮ้ยเดช ไปดูไอ้เจนกัน เพื่อนบอกว่าอาการหนักมาก ตอนนี้อยู่โรงบาล ไปด่วน ไปด่วน!”
ผมโดนลากมาแต่งตัว โดยที่ได้แค่ล้างหน้าแปรงฟันเท่านั้น น้ำก็ยังไม่ได้อาบ เราสองคนมุ่งหน้าไปที่โรงพยาบาล เจอเพื่อนที่มารออยู่แล้วสามถึงสี่คน หลังจากที่พวกเราเปิดประตูห้องเข้าไป ผมตกใจมาก ร่างของเจนที่นอนอยู่บนเตียงของโรงพยาบาลนั้น ไม่เหลือความเป็นเจนให้เห็นอีกเลย ร่างกายทุกส่วนที่ตอนนี้เริ่มบวม ใบหน้ามีรอยช้ำ ดวงตาปูดโปน
“ใครทำอะไรเธอเนี่ย!”
ผมอุทานออกมาได้แค่นั้น แล้วก็หันไปถามคุณพ่อคุณแม่ของเจน ว่าใครทำอะไรกับเพื่อนของพวกเรา คุณแม่รีบบอกออกมาว่า…ไม่รู้เหมือนกัน รู้แต่ว่าเมื่อเช้ามืดที่ผ่านมา คนในบ้านได้ยินเสียงเจน ส่งเสียงกรีดร้องขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง พอทุกคนรีบขึ้นไปดูที่ห้องของเจน ก็เห็นเจนนอนสลบอยู่ที่ปลายเตียง ที่ข้างตัวมีน้ำหอมตกอยู่สองขวด จากนั้นทุกคนก็รีบนำตัวเจนส่งโรงพยาบาลให้คุณหมอดูอาการ คุณหมอบอกว่าเจนไม่ได้เป็นอะไร แต่ก็ให้นอนที่โรงพยาบาลเพื่อคอยสังเกตอาการอีกที แต่ว่าพอตกบ่าย ร่างกายของเจนกลับบวมขึ้น ตามลำตัวเขียวช้ำ แล้วก็นอนไม่ได้สติอย่างที่เห็นนี่แหละ
จุ๊รีบดึงแขนผมแล้วบอกว่า จำเรื่องเมื่อคืนนี้ได้ไหม ตอนที่เห็นเงาคนเกินมาหนึ่งคน หรือว่าจะมีอะไรเกี่ยวกับน้ำหอมที่เจนซื้อมาเมื่อคืนนี้หรือเปล่า เราสองคนจึงเริ่มเล่าเรื่องทั้งหมดให้คุณพ่อคุณแม่ของเจนฟัง ผมและจุ๊จึงตัดสินใจ กลับไปรอคุณพี่เจ้าของร้านน้ำหอมที่ตลาดนัดคนเดิน เพื่อรอถามเรื่องราวทั้งหมด เผื่อพี่แกจะรู้ความจริงอะไรขึ้นมาบ้าง
จนกระทั่งตกเย็น พี่เค้าก็มาตั้งร้าน ผมและจุ๊จึงปรี่เข้าไปหาเพื่อถามความจริง พร้อมกับเล่าเรื่องราวทั้งหมด เพราะในใจอยากช่วยเพื่อนมาก พี่เจ้าของร้านทำหน้าตกใจ แล้วก็รีบบอกออกมาว่า
“เฮ้ย! หรือจะเป็นจริงอย่างที่ไอ้เด็กส่งขวดมันบอกมา มันบอกว่า…บางขวดระวังนะพี่ เขาเคยใช้ใส่น้ำมันพรายมาแล้ว!”
พี่เจ้าของร้านก็เล่าให้ฟัง ถึงตอนที่ไปขายที่ตลาดนัดที่อยู่ติดกับชายแดนของประเทศประเทศนึง ในตอนนั้นมีเด็กส่งขวดเปล่า พี่แกก็ซื้อกลับมาเพื่อเอาไว้แบ่งขายน้ำหอมนั่นแหละ แล้วเด็กคนที่ส่งขวดก็เคยพูดติดตลกกับแกมาแบบนี้ แต่แกก็ไม่ได้คิดอะไร เพราะคิดว่าอำกันเล่นๆ เท่านั้น หลังจากที่ผมกับจุ๊รู้เรื่องราวทั้งหมด ก็ตกใจหน้าซีดกันเลยทีเดียวและรีบกลับไปบอกคุณพ่อคุณแม่ของเจน
ช่วงระหว่างนั้นห้าถึงหกวัน คุณพ่อคุณแม่ของเจนได้พาเจนตระเวนรักษา ทั้งทางวิทยาศาสตร์และทางไสยศาสตร์ ทั้งพามาหาหมอและพาไปหาพระ จนกระทั่งอาการของเจนนั้น ค่อยๆ ดีขึ้น เริ่มได้สติและพูดคุยกับเพื่อนๆ ได้ ร่างกายก็ค่อยๆ ลดอาการบวมลง
เจนเล่าให้ฟังว่า ในช่วงที่ทุกคนเห็นเจนหมดสติอยู่นั้น เจนบอกว่า เจนรู้สึกตัวอยู่ตลอดเวลา พร้อมกันนั้นก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง ยืนอยู่กลางกลุ่มพวกเรา ยืนอยู่ทุกที่ที่เธอโดนพาตัวไป ไม่ว่าจะเป็นที่โรงพยาบาลหรือที่วัด คอยเรียกชื่อเธออยู่ตลอดเวลา ลักษณะของผู้หญิงคนนั้น ใส่ผ้าถุงสีดำ เสื้อสีดำ ตัวผอมแห้งเกร็ง ผมยาวประบ่า คอยเรียกชื่อเธออยู่ตลอด แต่คำพูดประโยคที่เหลือนั้นฟังไม่ออก เพราะมันไม่ใช่ภาษาไทย และทุกครั้งที่พ่อกับแม่พาไปพรมน้ำมนต์ ผู้หญิงคนนี้จะลงไปนอนดิ้น ปวดแสบปวดร้อน ทำท่าอยู่แบบนี้ทุกครั้ง!
ในท้ายที่สุด พวกเราก็เลยเล่าเรื่องทั้งหมด ที่ได้รับรู้มาจากพี่เจ้าของร้านขายน้ำหอมให้เจนฟัง ทุกคนก็เลยลงความเห็นว่า ขวดน้ำหอมหนึ่งในสองขวดนั้น อาจเคยถูกใช้บรรจุน้ำมันพรายมาแล้วจริงๆ จนทุกวันนี้เจนก็หายกลับมาเป็นปกติแล้วครับ เรื่องราวทั้งหมดก็มีประมาณนี้ ขอบคุณครับ
ขอขอบคุณที่มา: THE SHOCK 13

กดแชร์บทความ