เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ผมได้ยินได้ฟังมาอีกทอดหนึ่ง โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านเรื่องต่อไปนี้ ขอขอบคุณครับ
เรื่องนี้เกิดขึ้นเมื่อ 40 กว่าปีที่แล้ว ที่โรงพยาบาลขนาดใหญ่แห่งหนึ่งในจังหวัดชลบุรี มีลูกสาวของคหบดีคนหนึ่งซึ่งเป็นคนมีฐานะ เกิดไม่สบายจึงเข้ามารักษาตัวที่โรงพยาบาลแห่งนี้ เธออายุไม่ถึง 20 ปีด้วยซ้ำ เป็นคนสวย อัธยาศัยดี มานอนรักษาตัวอยู่เป็นเวลาเกือบๆ เดือน เธอจึงเป็นที่รู้จักมักใคร่ของพนักงานเกือบทุกแผนกในโรงพยาบาลแห่งนั้น
อยู่มาวันหนึ่ง อาการของเธอทรุดหนักลงถึงขั้นโคม่า ซึ่งแต่ก่อนก็ไม่ทราบเหมือนกันว่าอาการแบบนี้เรียกว่าอะไร แต่ถ้าเป็นในสมัยนี้ก็คงคล้ายๆ กับการติดเชื้อในกระแสเลือด และเธอก็ได้เสียชีวิตลง ด้วยความที่สมัยตอนยังมีชีวิต ตัวเธอเป็นที่รักและหมายตาของใครหลายๆ คน รวมถึงพวกหนุ่มๆ พนักงานซึ่งอยู่ในวัยคะนอง
เรื่องมันมาเกิดขึ้นก็ตรงที่ว่า เธอได้เสียชีวิตในตอนกลางคืน และในสมัยนั้นการติดต่อสื่อสารไม่สะดวกสบายเท่ากับทุกวันนี้ โทรศัพท์ก็ยังเป็นโทรศัพท์บ้าน เมื่อญาติเธอรู้ข่าว จึงแจ้งกับโรงพยาบาลว่าสะดวกที่จะมารับศพในวันรุ่งขึ้น เมื่อทราบดังนั้น ขั้นตอนต่อไปคือการเก็บศพ ซึ่งห้องเก็บศพจะอยู่ด้านหลังของโรงพยาบาล
เป็นหน้าที่ของบุรุษพยาบาล 1 คน และพนักงานห้องดับจิต 1 คน ทั้งสองเข็นร่างไร้วิญญาณของเธอมา ซึ่งตึกหญิงกับห้องเก็บศพระยะทางค่อนข้างไกลกันพอสมควร ด้วยความคะนองหรืออย่างไรไม่ทราบ พวกเขาเอามือล้วงเข้าไปที่หว่างขาของศพ ทำการกระทำชำเราศพ เอามือไปจับ ไปบีบ ไปล้วง ซึ่งด้วยความที่ศพเพิ่งตายใหม่ๆ จึงยังคงสภาพและร่างกายก็ยังนิ่มๆ อยู่ ขณะที่กระทำการกันอยู่ก็ส่งเสียงเอิ้กอ้ากสนุกสนานเป็นที่สำราษบานใจ
นอกเหนือจากนั้น ยังมีอีก 3 คน ประกอบไปด้วย รปภ. 2 คน บุรุษพยาบาล 1 คน ที่ตามไปสมทบที่ห้องเก็บศพ รวมทั้งหมดเป็น 5 คน ด้วยความที่ผมเคยเห็นในห้องดับจิต ตอนที่คุณพ่อของผมเสียชีวิตจึงพอจะทราบว่า ซองเก็บศพจะมีทั้งหมด 4 ชั้น และสมัยนั้นยังไม่เจริญมากจึงมีเพียง 2 แถว มีตะแกรงเหล็กยกขึ้นมาสำหรับชันสูตรศพ และรางระบายน้ำเลือดน้ำหนอง ส่วนพื้นก็จะมีความกว้างไม่มากเพียงแค่ 2 เมตรเศษๆ หากวันไหนศพล้นช่องเก็บ ก็คงต้องใช้พื้นที่ตรงส่วนนี้ในการกองศพชั่วคราวเพื่อรอขั้นตอนต่อไป
เมื่อทั้งหมดมารวมตัวกันในห้องเก็บศพ ก็ได้ทำการอัปรีย์ โดยการนำศพเธอคนนั้นขึ้นตะแกรงแล้วทำการชำเราศพเป็นที่สนุกสนาน เมื่อเสร็จกิจทรามอย่างถ้วนหน้าแล้ว ก็จัดการเก็บร่างของเธอในซอง แล้วทยอยเดินออกมา โดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทั้งที่เพิ่งจะร่วมกันทำสิ่งเลวทรามที่มนุษย์ทั่วไปเขาไม่ทำกัน แล้วเรื่องก็เงียบไปจนรุ่งเช้าของวันใหม่
หลังจากนั้นผ่านไปเจ็ดวัน ความไม่ปกติก็เริ่มเกิดขึ้น เมื่อพยาบาลเวรดึกจะได้ยินเสียงคนเดินไปมา เมื่อออกไปดูก็เห็นหลังผู้หญิงแว้บๆ ในชุดคนไข้ และมีประโยคหนึ่งดังแว่วออกมา ซึ่งเป็นเสียงที่ฟังแล้วน่าขนลุกว่า
“อยู่ไหน…อยู่ไหน…”
หลังจากนั้นก็พบศพ รปภ. เป็นศพแรก ซึ่งสาเหตุการตายคือ การเดินลงทะเล ตำรวจสันนิษฐานว่าคงจะเมาและเป็นที่มาของการตายในครั้งนี้
พยาบาลเวรดึกก็จะยังได้ยินเสียงพูดว่า “อยู่ไหน…อยู่ไหน…” ดังแว่วมาในกลางดึกอยู่เสมอ โดยที่ในตอนนั้น คนที่อยู่ในเหตุการณ์เลวทรามในคืนก่อนก็ยังคงนิ่งนอนใจกันอยู่ แต่ไม่ทันไรศพที่สองก็ตามมา เป็นพนักงานห้องเก็บศพที่ออกเวรไปแล้วไปโดนรถชนตาย กลิ่นเริ่มไม่ดี สามคนที่เหลือเริ่มรู้สึกถึงความไม่ปกติของสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้
“อยู่ไหน…อยู่ไหน…” เสียงนี้ยังคงแว่วลอยมาในกลางดึก ไม่มีใครได้พบเห็นที่มาของเสียงเลยสักคน เมื่อได้ยินเสียงแล้วออกมาดูก็จะเห็นเป็นร่างในชุดคนไข้ แว้บหายไปที่มุมตึกบ้าง ตามทางแยกอาคารบ้าง เมื่ออยู่ด้านล่างเสียงก็แว่วมาจากด้านบน อยู่ด้านบนก็จะได้ยินเสียงแว่วอยู่ด้านล่าง “อยู่ไหน…อยู่ไหน…” มักจะเป็นแบบนี้อยู่เสมอ
แล้วศพที่สามก็ตามมา ศพนี้เสียชีวิตที่ห้องพักในสภาพนั่งคอพับอยู่ข้างเตียง จากการชันสูตรสรุปว่า การตายเกิดจากการกินยานอนหลับเกินขนาดนั่นเอง
ถึงในตอนนี้ อีกสองคนที่เหลือไม่สามารถที่จะนิ่งนอนใจได้อีกต่อไป ศพที่สี่คือบุรุษพยาบาล วันนั้นนั่งกินเหล้ากันอยู่ดีๆ ก็ขอตัวกลับ แล้วเหมือนมีอะไรดลใจให้ไปนอนพาดกับรางรถไฟจนโดนรถไฟทับ ร่างขาดครึ่ง ตับไตไส้พุงกระจายเกลื่อนกลาด ตายอนาถอย่างน่าสยดสยอง กู้ภัยสมัยนั้นก็ยังไม่มีเหมือนในสมัยนี้ ผู้พบเห็นเหตุการณ์จึงทำได้เพียงเก็บชิ้นส่วนร่างรวมถึงอวัยวะภายในใส่ถุงปุ๋ย นั่นคือสิ่งที่สามารถทำได้ในตอนนั้น
“พี่โย่ง” (นามสมมติ) คือหนึ่งใน รปภ. ผู้เหลือรอดมาเล่าเรื่องราวทั้งหมดให้ผมฟัง ในตอนนั้นแกยังบอกว่า แกไม่สามารถอยู่คนเดียวได้ เพราะเสียง “อยู่ไหน…อยู่ไหน…” จะคอยแว่วมาให้ได้ยินอยู่เสมอ น่าแปลกที่ตอนแกเล่าให้ผมฟัง มีลมวูบใหญ่พัดเข้ามา ซึ่งตอนนั้นเป็นช่วงหน้าหนาว มันก็ยิ่งทำให้สะท้านเข้าไปอีก
แกบอกว่า ด้วยความกลัวแกเคยหนีไปบวช แต่ตอนบวชนั้นไม่เจอเหตุการณ์อะไรผิดปกติ จึงคิดว่าเรื่องมันคงจบแล้วจึงสึกออกมา แต่หลังจากสึกออกมา พี่โย่งก็บ้านแตกสาแหรกขาด ลูกเมียหนีหาย ครอบครัวล่มจมจนอยู่ไม่ได้ แกเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังตอนมาอาศัยอยู่กับผม
เวลาผ่านไปหลายปีที่แกหายไป มาเจออีกที แกเดินอยู่ข้างถนน กลายเป็นคนวิกลจริต บ้าๆ บอๆ และแกก็หายสาปสูญไป ไม่มีใครพบเห็นแกอีกเลย
จากการตายของสี่ศพที่เล่ามาไม่ว่าจะเป็น จมน้ำตาย รถชนตาย กินยาตาย รถไฟทับตาย ผมเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าก่อนที่เขาจะตาย เขาได้พบกับวิญญาณของเธอผู้นั้นหรือไม่ แต่มันก็คงเป็นเรื่องบังเอิญจนเกินไปที่ผู้ก่อเหตุในค่ำคืนนั้นจะมาตายติดๆ กันแบบนี้ ส่วนพี่โย่งก็หนีไม่พ้น แกได้รับผลกรรมที่ได้ทำลงไปในค่ำคืนที่แสนหดหู่นั้นไปเรียบร้อยแล้ว
ถอดความจาก The Shock เรื่อง ทำไปได้ยังไง

กดแชร์บทความ