เรื่องเล่านี้ถูกถ่ายทอดมาจากลุงแดน ลุงของเพื่อนสนิทผมสมัยเรียน ปวช. เพื่อนผมชื่อว่า เบียร์
แกเล่าว่าหลังจากอกหักจากบัว สาวงามที่แกเฝ้ารอมานาน แกไปบวชอยู่วัดป่าพร้อมทั้งออกธุดงค์ไปตามป่าเขาลำเนาไพร เรียนทั้งคาถาอาคมสมุนไพรต่างๆ จากทั้งครูอาจารย์พระธุดงค์สายกรรมฐาน และฆราวาสที่เก่งกล้าอาคม แกสักยันต์หลายอย่างไว้กับตัว
ครั้งหนึ่งเป็นครั้งที่แกจำได้ไม่ลืม แกเล่าว่าเดินธุดงค์มาตามภูเขาที่เรียกว่าดงพญาไฟ ป่าไม้รกครึ้มเป็นเสมือนป่าดงดิบ ต้นไม้เถาวัลย์พันเกี่ยวคดเคี้ยวไปมาดูน่ากลัว เดินไปพบเจอหมู่บ้านหนึ่ง มีอยู่ประมาณ 10-20 หลังคาเรือน มองดูแล้วน่าอยู่มากทีเดียว เมื่อคนในหมู่บ้านนั้นเห็นพระภิกษุแปลกหน้าย่างกรายเข้ามา ทุกคนต่างดีใจ นิมนต์ท่านให้มาบิณฑบาตตอนเช้าได้ไหม แกพยักหน้ารับคำ
มีเพียงชายแก่คนหนึ่ง หนวดเครายาว มีผ้าโพกหัว คล้องลูกประคำสีดำเต็มคอ มองดูแกด้วยสายตาเย้ยหยัน และมีคำพูดคำนึงออกมาว่า
ท่านมาธุดงค์แถวนี้ไม่กลัวรึ ผีป่าผีเขา อาถรรพ์มันมากโขอยู่ ระวังไม่ได้กลับออกไปนะท่าน!
แกยิ้มให้ชายแก่คนนั้นเบาๆ ถามว่าแถวนี้มีวัดหรือที่สงบๆ บ้างไหม คิดว่าฝนน่าจะตกถ้าอยู่ในกลดคงต้องเปียกไม่ดีแน่ ชาวบ้านก็ต่างอาสาบอกให้ท่านมาพักบ้านตนบ้าง แนะนำบ้านนั้นบ้าง บ้านนี้บ้าง แล้วชายแก่คนเดิมก็หัวเราะแล้วพูดว่า
ท่านครับ! เดินขึ้นไปบนเขาสักพักจะเจอกระท่อมร้างหลังนึงตั้งอยู่ ถ้าไม่กลัวนะครับ คงจะพอกันแดดกันฝนได้อยู่
ตอนนั้นเป็นเวลาเกือบเที่ยงพอดี ชาวบ้านจึงเชิญท่านฉันเพล สำรับกับข้าวก็เป็นอาหารธรรมดานี่ล่ะครับ ปลาย่าง น้ำพริก ผักสด ข้าวเหนียวนึ่งในกระบอกไม้ไผ่ ลุงแกเริ่มฉันอาหารเหล่านั้น สักพักชายแก่คนนั้นถือขันที่ทำด้วยกะลามะพร้าวขัดจนมันเงา ใส่น้ำมาให้บอกว่า
น้ำฝน ผมเอาให้เผื่อท่านฉันข้าวแล้วติดคอ
แกรับมาแล้วเอาปลายนิ้วก้อยแตะนิดนึง หางตาหันไปดูเห็นเล็บกลายเป็นสีดำไหม้ รู้ทันทีว่าน้ำในขันนี้ใส่ยาสั่งตายมา ครั้นจะไม่ดื่มก็มีชาวบ้านคอยรอรับพรอยู่ อีกทั้งชายแก่คนนั้นก็ยืนมองยักไหล่ดู แกบริกรรมคาถาในใจแล้วดื่มน้ำในขันจนเกือบหมด เสร็จแล้วก็ลุกขึ้นยืนบอกกับชาวบ้านว่าจะไปจำวัดที่กระท่อมร้างบนเขานะ ชายแก่คนนั้นทำหน้าตกใจซึ่งแกดูออกทันที แล้วระหว่างนั้นตอนเดินขึ้นไปบนเขาแกเจอกะลาตาเดียววางอยู่ หยิบขึ้นมาใส่ไว้ในย่ามแล้วเดินขึ้นเขาต่อ
พลันได้ยินเสียงคนเดินตามมา แกเดินหลบไปหลังต้นไม้ใหญ่ สักพักมีคนเดินผ่านหน้าไป เป็นชายแก่คนนั้นจริงๆ ได้ยินเสียงพึมพำว่า
กูใส่ยาสั่งตายแรงขนาดนั้นมันยังเฉยอยู่ได้ แปลว่าไอ้พระรูปนี้มันไม่ธรรมดาแล้ว ได้! คืนนี้เจอกูแน่
แล้วลุงแกก็เดินออกมาจากที่ซ่อน แต่แปลงเป็นคนในหมู่บ้านนั้นล่ะครับ ชายแก่นั้นเห็นหันมาเลยพูดว่า
อ้าว! ไอ้ลอย เอ็งขึ้นมาทำอะไรบนนี้? แล้วเจอพระธุดงค์ที่มาฉันเพลหมู่บ้านเรามั้ยวะ?!!
ฉันมาหาของป่าไง ยังไม่เห็นใครเดินขึ้นมาเลยสักคน
เออๆ งั้นดีแล้ว เดี๋ยวกูกลับก่อนละกัน ไปทำของใส่มันคืนนี้
แล้วชายคนนั้นก็หันหลังเดินลงเขาไป หลังจากนั้นแกก็คืนร่างกลายเป็นพระสงฆ์เหมือนเดิม
ผมถามว่า คาถาอะไรลุง มีด้วยหรือครับแปลงเป็นคนอื่น
แกยิ้มแล้วบอก มีสิ คาถานารายณ์แปลงรูปไง
ผมได้แต่คิดมีจริงหรือ แต่คิดว่าสมัยก่อนเมื่อ 30 ปีที่ผ่านมา คาถาอาคมยังเป็นเรื่องที่คนยังใช้กันอยู่ทุกที่ ตอนนั้นแกบอกว่ายาสั่งมันก็ทำงานนะ ตาแกพร่ามัวแต่ยังพอมองเห็น ในอกคือร้อนเหมือนโดนไฟเผา พยายามสวดมนต์ กลั้นใจเดินไปจนไปเจอกระท่อมร้างกลางป่าจริงๆ ขึ้นไปถึงชานก็รีบนั่งสมาธิท่องคาถาถอนของ สักพักก็สำรอกออกมากลายเป็นน้ำคร่ำดำๆ เหม็นๆ แกรู้สึกดีขึ้นมามาก เลยนั่งพักกำหนดลมหายใจใหม่
ฝนเริ่มจะลงเม็ดหนามากขึ้น แปลกใจที่ว่ากระท่อมนี้เอาใบจากมาทำเป็นหลังคามุงไว้ แต่ฝนไม่มีหยดไหลมาเลย ด้วยความอ่อนเพลียจึงเผลอหลับไป รู้สึกตัวตื่นมาตอนมืดแล้ว เพราะได้ยินเสียงร้องเรียก
หลวงพี่คะ หลวงพี่เจ้าขา!
แกลุกขึ้นมาดู เห็นเป็นหญิงสาวนางหนึ่ง หน้าตาสะสวยผิวพรรณผุดผ่อง ใส่เสื้อแขนกระบอกสีน้ำเงิน นุ่งผ้าซิ่น ยืนอยู่นอกบ้านกลางสายฝน
มีอะไรหรือสีกา? แล้วมาถึงที่นี่ได้อย่างไร
ฉันหาของป่ากับน้องสาวแล้วพลัดหลงมาเจ้าค่ะ ขอขึ้นไปหลบฝนได้ไหม หนาวเหลือเกินหลวงพี่
แกสงสารเลยบอกว่าขึ้นมาสิ แต่หลังจากที่แกบอกให้ขึ้นมา เธอกลับถอดเสื้อแขนกระบอกออกเหลือเพียงผ้าแถบสีขาวที่คาดอกไว้เท่านั้น กลิ่นกายลอยมาปะทะจมูกพระอย่างจัง
สีกาอยู่กับพระแบบนี้แต่งตัวให้ดีหน่อยสิ
ท่านไม่ชอบหรือเจ้าคะ?
เธอหันมาพร้อมกับท่อนบนที่เปลือยเปล่าเสียแล้ว แกเพ่งมองแล้วจึงรู้ว่าเป็นภูติพิศวาสที่คนมีวิชาส่งมา เพื่อทำลายและให้ขาดจากการเป็นพระ จะได้ดูดกินพลังชีวิตด้วย แกท่องคาถาบทหนึ่ง ภูติสาวนั้นถึงกับกรีดร้องเสียงโหยหวน ดวงตาเธอแดงก่ำมีเลือดไหลออกมาจากตา สักพักก็กระเด็นออกไปนอกกระท่อมกลายเป็นดวงไฟสีแดงลอยหายไปบนท้องฟ้า เมื่อมองตามดวงไฟนั้น เห็นเปรตชายหญิงคู่หนึ่งยืนอยู่ ทั้งสองตนพยายามเอามือพนมยกมือไหว้แก ราวกับจะขอส่วนบุญ
แกหลับตาแล้วได้ยินเสียงมาในจิตว่า กระท่อมนี้ เป็นของแกสองคน ผู้ชายชื่อลุงพร ผู้หญิงชื่อป้าแวว แต่ก่อนหมู่บ้านข้างล่างเขานั้นมีสำนักสงฆ์กับพระอยู่ เวลาที่ใครมาถวายอะไรดีๆ ให้ แกทั้งสองคนก็จะแอบขโมยมา มีคนเอาปลานิลเผาตัวโตๆ มา ผลไม้ดีๆ ก็ขโมยกลับมากินที่บ้านกันหมด เหมือนวงล้อแห่งกรรมหมุนตาม แกเป็นไข้ป่าลงมารักษาไม่ทันตายในกระท่อมนี้ทั้งสองคน เมื่อดวงจิตออกจากร่างก็กลายเป็นเปรตทันทีจนถึงตอนนี้ ทรมานเหลือเกิน แกจึงบอกงั้นจะสวดมนต์อุทิศให้ทุกวันเพื่อให้หลุดพ้นจากที่เป็นอยู่ เริ่มตั้งแต่คืนนี้เลยแล้วกัน
หลังจากที่สวดมนต์อุทิศให้แล้ว แกลืมตาเห็นลุงกับป้ากลายเป็นคนธรรมดา ก้มลงกราบด้วยความสุขใจ แล้วป้าบอกว่าได้รับบุญแล้ว แต่ยังไงกรรมก็ยังไม่หมดเดี๋ยวคงต้องไปเป็นเปรตทั้งคู่อีก
แล้วแกก็บอกว่ากะลาตาเดียวที่เก็บมานั้น หากเอาไปทำเป็นของขลังและกำกับคาถาใส่จะดีมากเลย แกเลยเอาไปทำเป็นกำไลห่วงเล็กๆ ร้อยติดกันผูกด้วยด้ายแดงจากอาจารย์ที่แกนับถือ หลังจากนั้นแกก็ยังอยู่ที่นั่น โปรดเปรตทั้งสองนานร่วมเดือน ซึ่งแปลกที่ตอนเช้าจะมีสำรับกับข้าวมาวางตรงบันไดให้ทุกวัน เมื่อเห็นสมควรแก่เวลา แกจึงออกธุดงค์ต่อโดยเดินข้ามไปยังอีกฝั่งของดงพญาไฟ ส่วนชายแก่ที่ทำของใส่พระ มาทราบภายหลังว่าโดนของตีกลับเข้าตัว จนกลายเป็นอัมพาตไปในที่สุด เรื่องราวทั้งหมดก็มีเพียงเท่านี้ครับ
ขอขอบคุณที่มา: คุณหาญ ใจสิงห์
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่ คลังสยอง

กดแชร์บทความ