เมื่อตอนช่วงเข้าพรรษาในปี 2540 ผมได้บวชเป็นพระอยู่วัดหนึ่งที่ตำบลเขาทราย จังหวัดพิจิตร ซึ่งในปีนั้นผมจำได้ว่ามีพระบวชใหม่จำนวน 5 รูป รวมทั้งตัวผมเองด้วย และเรื่องราวที่ผมจะเล่าต่อไปนี้ มันได้เกิดขึ้นในขณะที่ผมบวชเป็นพระนี่เอง
ผมยังจำได้ดีถึงวันเกิดเหตุสยองขวัญที่ทำให้ผมต้องจดจำไปตลอดชีวิต มันเป็นวันหนึ่งหลังจากที่ผมบวชได้ประมาณเดือนกว่าๆ วันนั้นได้มีโยมมานิมนต์พระที่วัด เพื่อให้ไปสวดบังสุกุลเป็นบังสุกุลตายหลายราย จนกระทั่งพระในวัดไม่มีใครอยู่แล้วนอกจากผมเพียงรูปเดียว และได้มีญาติของผู้ป่วยคนหนึ่งเดินทางมานิมนต์พระ พระที่วัดให้ไปช่วยสวดส่งวิญญาณให้กับผู้ป่วยด้วยโรคเอดส์ซึ่งคิดว่าไม่รอดแน่ๆ ในวันนั้น
แม้ว่าผมจะเป็นพระใหม่ แต่ในเมื่อญาติโยมมานิมนต์ผมจึงไม่อาจขัดได้ จึงจำเป็นต้องเดินทางไปทั้งที่ตอนนั้นยังไม่มีความรู้อะไรมากนัก ตอนนั้นก็เพียงสวดได้แค่บังสุกุลเท่านั้น และผมไม่คิดว่าจะต้องเจอกับศึกหนักดังที่จะเล่าต่อไปนี้
เมื่อผมเดินทางไปถึงบ้านของผู้ป่วย ได้พบว่าผู้ป่วยอยู่ในอาการหนักมากเป็นชายอายุประมาณ 25 ปี ซึ่งใครๆ ที่เห็นต่างก็รู้ว่าเขาคงไม่รอดพ้นไปจากคืนนี้แน่ ญาติจึงขอให้ผมช่วยสวดส่งวิญญาณเนื่องจากต้องการให้ผู้ป่วยจากไปในขณะที่พระสวดอยู่ข้างๆ เพื่อวิญญาณจะได้ไปอย่างสงบ
แล้วมันก็จริงดังว่า เพราะเพียงไม่นานนักผู้ป่วยรายนี้ก็สิ้นลมจากไปจริงๆ ไปโดยที่มีพระนั่งสวดอยู่ข้างๆ ท่ามกลางญาติพี่น้องที่ร้องไห้กันระงม ตอนนี้แหละครับที่ผมลำบากใจเป็นที่สุดเพราะหลังจากที่ผู้ป่วยสิ้นลมไปแล้ว ญาติๆ ได้ขอร้องให้ผมทำพิธีมัดตราสังพร้อมกับบรรจุศพใส่โลงซึ่งเตรียมไว้เรียบร้อย
ผมเองตอนนั้นก็ไม่มีความรู้ในเรื่องพิธีกรรมเหล่านี้เลย แต่เมื่อถูกขอร้องผมจึงจำเป็นต้องทำ อาศัยที่ผมเคยอ่านจากหนังสือเกี่ยวกับการจัดพิธีศพมาบ้าง ผมก็เลยจำต้องลงมือทำพิธีอย่างเสียไม่ได้ ทุกสิ่งทุกอย่างญาติผู้ตายจัดเตรียมไว้เรียบร้อยแล้ว ผมจึงจำเป็นต้องนำด้ายสายสิญจน์มามัดศพ สวดก็สวดไม่เป็น ได้แต่ท่องบทสวดเท่าที่สามารถสวดได้ไปพลางๆ ขณะทำพิธี
ผมเริ่มมัดศพที่บริเวณหัวแม่มือทั้งสองข้างแล้วลากไปมัดที่ข้อเท้า ตามไปด้วยเอวและข้อมือ จนกระทั่งไปจบด้วยการมัดที่บริเวณลำคอของศพ โดยขณะที่มัดนั้นผมก็พยายามสวดเท่าที่สวดได้ กระทำพิธีศพอย่างงูๆ ปลาๆ ทำเท่าที่จำได้จากในหนังสือที่เคยอ่าน แม้รู้อยู่แก่ใจว่ามันไม่ใช่วิธีที่ถูกต้องเลย แต่ก็จำเป็นต้องทำ และผมมัดศพแน่นมาก บางทีอาจแน่นเกินความจำเป็นก็ได้
หลังจากเสร็จสิ้นพิธี ผมจึงได้ลากลับมาจำวัดด้วยความรู้สึกที่ไม่ค่อยสบายใจนัก นั่นก็คือผมรู้สึกคล้ายกับมีคนเดินตามผมอยู่ตลอดเวลา พอจะก้าวขึ้นกุฏิก็รู้สึกเหมือนมีกระแสลมพัดวูบเข้ามาปะทะร่างจนจีวรปลิว และมันเป็นลมที่ผ่านวูบเข้ามาเพียงวูบเดียวแล้วก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ผมเริ่มรู้สึกกลัว แต่ก็พยายามข่มความกลัวเอาไว้ ทำจิตให้สงบแล้วเข้าจำวัดตามปกติ และขณะที่ผมกำลังเคลิ้มๆ จะหลับนั่นเอง ผมก็ได้กลิ่นเหม็นฟุ้งตลบไปทั่วมุ้ง มันชัดเจนมากจนผมต้องลืมตาขึ้นมองเพื่อหาที่มาของกลิ่นนั้น
จังหวะนั้นเอง ผมแทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเองเลย แต่สิ่งที่เห็นมันชัดเจนจนผมไม่อาจปฏิเสธเป็นอื่นไปได้ เพราะข้างๆ ผมในตอนนี้ มันปรากฏเป็นร่างของศพนอนเบียดอยู่ สภาพของศพที่ผมเห็นมันทำให้ผมแทบช็อค เพราะมันเป็นศพของผู้ตายที่ผมเพิ่งเดินทางไปทำพิธีสวดบังสุกุล และมัดตราสังกับมือตัวเองนั่นเอง ลักษณะศพที่ผมเห็นนั้นเขากำลังนอนตะแคงหันหน้ามาทางผม ตาของเขาประสานกับนัยน์ตาที่กำลังลุกโพลงด้วยความหวาดกลัวของผม ขณะที่ปากก็ขยับแล้วพูดว่า
มึงมัดกูแน่นเกินไป อยากลองดีกับกูเหรอ!
ผมแทบสิ้นสติ เมื่อได้ยินเสียงศพพูดออกมาอย่างนั้น ผมพยายามรวบรวมสมาธิแล้วสวดแผ่เมตตาออกไป แต่ร่างของผู้ตายก็ยังคงอยู่ข้างๆ ผมเหมือนเดิม ไม่ยอมไปไหนทั้งนั้น แถมทำท่าเหมือนกับจะพลิกตัวขึ้นมาทับตัวผมอีกต่างหาก
ช่วงนั้นเองที่ผมฉุกคิดขึ้นมาได้ว่า หลวงพ่อเคยบอกให้ใช้สังฆาฏิฟาดไป ถ้าหากวิญญาณมารบกวน ผมจึงทำตามคำที่หลวงพ่อเคยบอก ร่างของศพหรือวิญญาณนั้นจึงได้ค่อยๆ เลือนหายไป ผมลุกขึ้นมาได้ รีบออกจากกุฏิไปนอนห้องหลวงพี่ที่ผมรู้จักกัน บอกแกไปว่าผมกลัวผี แต่ยังไม่ได้เล่าอะไรให้แกฟัง
ผมนอนกระสับกระส่ายไปมา นอนไม่หลับ เสียงหมาในวัดมันพร้อมใจกันหอนตลอดคืนเลย ผมขนลุกซู่ไปทั้งตัวเลย!
รุ่งเช้าก็ได้เล่าให้หลวงพี่และหลวงพ่อฟัง แล้วกลับไปที่บ้านคนตายอีกครั้ง ขอร้องญาติให้ยกโลงศพลงมา เพื่อทำการแก้มัดตราสังที่ผมได้กระทำไปอย่างไม่ถูกต้องตามวิธีออก แล้วให้ลุงกลิ่นสัปเหร่อที่วัดทำพิธีมัดตราสังใหม่ เพราะวันนั้นลุงกลิ่นแกกลับบ้านต่างจังหวัดจึงไม่มีใครอยู่ ส่วนผมก็ทำการขออโหสิกรรมจากศพผู้ตาย เพื่อเขาจะได้ไม่มารบกวนอีก
ลุงกลิ่นแกมีคาถาอาคมกำกับวิญญาณ เวลาแกมัดตราสังแกจะท่องคาถาไปด้วย เฮี้ยนไม่เฮี้ยนก็คิดดูเอาเองแล้วกันนะครับ ลุงกลิ่นมัดตราสังถูกต้องแล้ว คนที่ไปร่วมงานศพหลายคนยังเจอวิญญาณของผู้ตายมาปรากฏตัวให้เห็น โดยเขาจะมานั่งที่หน้าบ้านขณะตั้งศพสวดอยู่ จนหลายคนเกิดอาการหวาดกลัวไปตามๆ กัน ลุงกลิ่นแกเป็นคนไม่กลัวผี แกเจอวิญญาณคนตายมายืนต่อหน้าต่อตา แกบอกกับวิญญาณไปว่า
อย่ามารบกวนกันเลย ผีอยู่ส่วนผี คนอยู่ส่วนคน แต่ถ้าไม่เชื่อฟังกัน แล้วอยากจะลองดีก็ได้นะ
แกพูดจบ แกหยิบมีดหมอลงอาคมออกมาจากกระเป๋าสะพายของแก เท่านั้นวิญญาณก็จางหายไป เสียงหมาหอนจากนั้นไม่นานมันก็เงียบลง
ขอขอบคุณที่มา จากผู้ใช้เฟซบุ๊กนามว่า Johnnie Walker

กดแชร์บทความ