ซอครวญ ตอนที่ 2
“แล้วสรุปนี่ครูจะกลับไปนอนที่บ้านพักหรือครับ หรือว่าอย่างไร?”
“ไม่หรอกครับยังไงซะ คืนนี้มันก็ยังเป็นเวรตรวจโรงเรียนของผมอยู่ คือผมว่าจะขนเอาพวกผ้าห่มพวกหมอนไปนอนกับลุงที่ป้อมนั่นแหละ เห็นมีแคร่ไม้ไผ่เล็กๆอยู่ติดกันตั้งสองตัวไม่ใช่เหรอครับ ผมว่าเวลานอนก็พอจะเบียดกันได้”
“โห.เอางั้นเลยเหรอครับครู? พับผ่าสิซื่อดีแท้ครูใหม่นี่ เอ้า!!ถ้าจะนอนที่ป้อมกับผมก็ไม่เป็นการขัดข้องครับเชิญตามสบาย แต่ตอนนี้ผมว่าครูรีบเก็บข้าวเก็บของปิดไฟแล้วล็อคห้องหมวดไว้ให้ดีก่อนเถอะครับ ไอ้เรื่องนอนที่ป้อมน่ะไม่มีปัญหาเลยสักนิดเดียว”
วีระรีบรับคำแล้วเร่งจัดแจงทำตามประสงค์ในทันที โดยไม่รีรอช้า ชั่วอึดใจเขาก็ย้ายที่นอนมาอยู่ที่ป้อมยามกับคนยามผู้อาวุโสได้ดั่งใจโดยไม่มีอะไรมารบกวนอีกเลยแม้แต่นิดเดียว
ส่วนลุงยามนั้นก็ทำหน้าที่ของแกไปอย่างเช่นเคยโดยปล่อยให้ครูวีระนอนหลับพักผ่อนอย่างตามสบายเข้านิทราไปแบบไม่ต้องกังวลอันใดจนตลอดคืน..
ในช่วงเวลาของวันหยุดอันเป็นวันเสาร์-อาทิตย์นั้น วีระเขาก็ยังได้มาปฏิบัติหน้าที่ที่โรงเรียนดังเดิมไม่ได้หยุดหย่อน เหตุเพราะเขาได้มีนัดหมายให้นักเรียนชมรมวงโปงลางนั้นมาทำการฝึกซ้อมกันทุกวันเสาร์และอาทิตย์รวมถึงช่วงเย็นนับตั้งแต่วันจันทร์หน้าเป็นต้นไป เพื่อที่จะนำขึ้นแสดงในงานสำคัญของโรงเรียนอันเป็นงานใหญ่พอสมควรในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า
ดังนั้นผู้ควบคุมดูแลวงก็จะเป็นใครไม่ได้เลยนอกจากเขา ถ้าไม่นับรวมครูนาฏศิลป์อีกสามท่านที่มาช่วยดูและปรับท่ารำให้นางรำเพื่อให้เข้ากับนักดนตรีซึ่งก็จะไม่ค่อยได้มาที่ห้องดนตรีบ่อยเท่ากับเขามากนักในฐานะครูผู้ควบคุม
ครั้นเมื่อถึงเวลาพักเที่ยงนั้นเอง ในขณะที่นักเรียนทุกคนออกจากห้องไปรับประทานอาหารในสถานที่รับรองกันหมด ห้องทั้งห้องก็เหลือเพียงความเงียบงันเข้ามาปกคลุมแทน  ครูวีระซึ่งไม่ได้ออกไปรับประทานอาหารกลางวันนอกห้องเช่นครูคนอื่นๆนั้น  ด้วยความเหนื่อยล้าสมองต้องการผ่อนคลายจิตใจบ้างเขาจึงเดินไปหยิบพิณโปร่งตัวหนึ่งขึ้นมาจากแท่นวางข้างๆโต๊ะที่ทำงาน แล้วนำมานั่งบรรเลงบนเก้าอี้ด้วยความสบายอารมณ์ ภายในท่วงทำนองสำเนียงอีสานที่ระรื่นหูไม่มีขัดโน้ต จากการสลับไล่เรียงนิ้วในช่องคอร์ดที่ชำนิชำนาญ
แต่ในขณะที่เขากำลังบรรเลงเล่นลายเพลงไปเพลินๆอยู่นั้น สายตาของเขาที่กวาดมองไปมาโดยไร้จุดหมายนั้นก็พลันมาสะดุดเพ่งเล็งอยู่กับสิ่งๆหนึ่งบนโต๊ะทำงานของตนเอง โดยโต๊ะตัวนี้นั้นเป็นเฟอร์นิเจอร์แบบโต๊ะทำงานของพนักงานหรือของพวกเจ้านายทั่วๆไป แต่มีกระจกบานใหญ่วางซ้อนทับอีกชั้นหนึ่งไว้ด้วย
และใต้กระจกบานนั้นเขามองเห็นปลายๆมุมของกระดาษหรือคาดว่าน่าจะเป็นแผ่นภาพถ่ายอะไรสักอย่างซึ่งถูกบดบังไว้ด้วยกองสมุดงานนักเรียนอีกทีหนึ่งอยู่ตรงนั้น  คงด้วยความไม่ได้สังเกตเห็นมาก่อนเลย เขาจึงนึกฉงนใจขึ้นในบัดนั้นนั่นเอง หยุดการเล่นพิณพร้อมกับนำไปวางไว้ที่เดิม แล้วจัดการย้ายกองสมุดนักเรียนเหล่านั้นมาไว้อีกด้านหนึ่งซึ่งเป็นด้านตรงข้าม และเมื่อเขาได้พบว่ากระดาษที่เห็นแค่มุมน้อยๆเมื่อครู่แผ่นนั้นมันคือภาพถ่ายของใครคนหนึ่ง ครูหนุ่มก็ยิ่งเริ่มมีความสนใจกับมันมากขึ้น
เขาจ้องมองมันอย่างพิจารณาก็พบว่า ในภาพถ่ายใบนั้นปรากฏเป็นภาพของชายผู้หนึ่งใส่ชุดนักดนตรีวงพื้นบ้านซึ่งน่าจะเป็นวงโปงลาง เป็นชุดไหมสีเหลืองทองงามตา มีสร้อยดอกรักคล้องไว้ที่คอ นุ่งผ้าโสร่งที่หลากสีสันดูสะอาดสะอ้าน ที่เอวก็ผูกมัดไว้ด้วยผ้าข้าวม้าอย่างเรียบร้อย
ชายในภาพถ่ายนั้นอยู่ในกิริยาอาการนั่งอยู่บนเก้าอี้พลาสติกตัวหนึ่ง ซึ่งมือทั้งสองของเขากำลังแสดงการบรรเลงซออีสานคันหนึ่งอย่างองอาจในมาดศิลปินและพร้อมกับสีหน้าที่ยิ้มแย้มแจ่มใส ชายผู้นี้ตัดผมรองทรง สีผิวน้ำตาลแดงใบหน้าคมสันแลดูเข้มและบวกกับรอยยิ้มบนใบหน้าที่ดูมีเสน่ห์อย่างไรพิลึกเมื่อได้คู่กับหน้าที่ที่เขาได้ทำ แก้มทั้งสองข้างถูกปาดเอาไว้ด้วยแป้งสีขาวอันเป็นรอยนิ้วมือปาดเป็นขีดไว้พองาม ซึ่งสิ่งแวดล้อมและฉากหลังของภาพนั้นก็คือเหล่านักดนตรีวงโปงลางทั้งหลายที่กิริยาในภาพก็กำลังทำการบรรเลงดนตรีอยู่
วีระมองภาพถ่ายที่อยู่ภายใต้บานกระจกบนโต๊ะใบนั้นด้วยอาการที่บอกไม่ถูก ทำไมกันหนอ..? ทั้งๆที่บุคคลในภาพถ่ายนั้นดูมีความสุขอยู่แท้ๆ แต่เหตุใดเล่าเขากลับสัมผัสได้ว่ามันยังมีความรู้สึกที่โศกเศร้าและรันทดในจิตใจแฝงไว้ลึกๆด้วย
และในขณะที่เขากำลังครุ่นคิดเกี่ยวกับภาพถ่ายไปอย่างเรื่อยเปื่อยอยู่นั้นเองพลัน!!! เขาก็ได้ยินเสียงแผ่วๆแหบเครือมาจากที่ใดที่หนึ่งของห้องอย่างน่าพิศวง  สุ้มเสียงนั้นบ่งบอกได้ว่าเจ้าของเสียงคนกำลังตกอยู่ในห้วงอาการเพ้อรำพันอย่างน่าเวทนาเป็นที่สุด มันเป็นเสียงแหบเครือปนสะอื้นของผู้ชายซึ่งคาดว่าดังมาจากทางด้านซ้ายมือของเขา เสียงรำพันนั้นพร่ำว่า
“จินดาจินดา..จินดาจินดา.” อยู่เช่นนี้ซ้ำไปซ้ำมา อย่างอาลัยอาวรณ์และเศร้าโศกและแฝงด้วยความน่าขนลุกเย็นยะเยือกจับขั้วหัวใจเป็นที่สุด
วีระตัวแข็งทื่อทำอะไรไม่ถูกไปในบัดนั้นเขาชะงักงันด้วยความฉงนเป็นเหลือคณา พยายามนิ่งเงี่ยหูฟังอย่างถี่ถ้วนเพื่อให้แน่ใจว่าเสียงรำพันที่เขากำลังได้ยินอยู่ในขณะนี้นั้นมันเป็นอุปาทานหรืออะไรกันแน่ และเมื่อยิ่งฟังนานเท่าใด เสียงรำพันอันน่าสะพรึงกลัวนั้นก็ยิ่งดังและชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ  ครูหนุ่มเริ่มมีอาการจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวไปเสียแล้ว เขาหันซ้ายแลขวาอย่างหวาดระแวงเพราะไม่รู้ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้นอีกบ้าง  สายตาทั้งคู่กวาดไปมารอบๆบริเวณในห้องอย่างประหวั่นใจเป็นที่สุด
“อะไรกันวะเนี่ย? เกิดเรื่องบ้าอะไรขึ้นมาอีก กลางวันแสกๆแท้ๆ? เขาโพล่งอยู่ในใจอย่างแสนที่จะอดความพิศวงไม่ได้
จนกระทั่งในขณะที่เขากำลังสอดส่ายสายตามองหาต้นเสียงอยู่รอบๆห้องนั้นเอง หางตาของเขาก็พลันไปประสบกับภาพเลือนรางของอะไรชนิดหนึ่งเข้า ในเสี้ยววินาทีแห่งการมองเห็นนั้น เขาพบกับร่างอันปรุโปร่งเบาบางเหมือนอากาศจนสามารถแทรกทะลุได้ของชายคนหนึ่ง ลักษณะนั้นเขาใส่ชุดข้าราชการครูแบบสีกากีแต่ตามเสื้อผ้านั้นมีรอยเลือดเปรอะเปื้อนไปทั่ว
ครูหนุ่มชะงักนิ่งไปอีกครั้ง ตาค้างเบิกโพลงเพราะความคาดไม่ถึง เขาตัดสินใจสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด แล้วค่อยๆหันไปมองภาพอันเลือนรางที่เห็นจากหางตาเมื่อครู่ทางด้ายซ้ายมืออย่างช้าๆ ในใจของเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความกลัวเหลือล้น และในที่สุดเมื่อทุกอย่างประจักษ์ต่อกันอย่างถนัดถนี่ที่สุด ครูวีระก็ต้องเกิดอาการหายใจไม่ทั่วท้องขึ้นในบัดดล เพราะภาพที่เห็นนั้นก็คือ
ชายในชุดครูสีกากีนั้นกำลังยืนก้มหน้าก้มตาร้องไห้อยู่ น้ำตาที่หลั่งออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างนั้นหาใช่น้ำตาที่ใสสดบริสุทธิ์ไม่ แต่กลับเป็นเลือดสีแดงฉานที่ไหลรินออกมาเป็นทาง พลางก็หยดติ๋งๆลงบนพื้นแลเห็นเปื้อนที่ ณ ตรงนั้นเป็นจุดๆหย่อมๆ
ร่างกายของชายผู้นั้นเขียวคล้ำคล้ายศพกำลังจะเน่า พร้อมกันนั้นก็โชยกลิ่นเหม็นตลบอบอวลไปทั่วทั้งห้องจนวีระแทบจะอาเจียน วิญญาณของบุคคลปริศนานั้นยืนก้มหน้าร้องไห้รำพันพลางสะอื้นดั่งโศกเศร้าเสียใจอาลัยอาวรณ์เป็นที่สุด ปากก็พร่ำบ่นเพ้อครวญถึงแต่คำว่า “จินดาจินดา.จินดา” อยู่เช่นนั้น
และที่ซ้ำร้ายไปอีกก็คือวีระเพิ่งจะสังเกตเอาได้เดี๋ยวนี้เองว่าลักษณะของสิ่งที่เขาแน่ใจว่าเป็นผีที่กำลังเห็นอยู่ในขณะนี้นั้น มันตรงกับชายผู้ที่นั่งสีซออยู่ในภาพที่เขากำลังนั่งดูมันอยู่เมื่อครู่นี้ไม่มีผิด!!!
ครูหนุ่มแทบจะบ้าคลั่งอยากร้องด้วยความตกใจเหลือล้นให้สุดเสียง แต่ก็ทำได้เพียงอ้าปากค้างเท่านั้นมิได้มีสิ่งใดจะสามารถเล็ดลอดผ่านลำคอของเขาออกมาเพื่อที่จะส่งสำเนียงได้ทั้งสิ้น  เหงื่อแตกพลั่กๆราวกับอากาศในครานั้นจะร้อนอบอ้าวซึ่งขัดกับความรู้สึกภายในที่เย็นเฉียบเลือดแทบไม่เดินประดุจแช่แข็งอยู่แล้ว
เขาเผชิญอยู่กับภาพอันน่าอกสั่นขวัญแขวนนี้อยู่ประมาณสามนาทีได้ หลังจากนั้นภาพของชายในชุดข้าราชการครูผู้น่าสะพรึงคนนั้นก็ค่อยๆเลือนหายไป พร้อมกับเลือดที่แดงฉานไปทั่วพื้นซึ่งเป็นน้ำตาแห่งความโศกเศร้า เหลือเพียงบริเวณที่เป็นปกติของมันอย่างกับว่าไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้นมาก่อนเลย
วีระสะดุ้งตื่นขึ้นมาด้วยอาการขวัญหนีดีฝ่อ แต่เมื่อปรับอารมณ์ความรู้สึกได้เขาก็ค่อยๆมองไปรอบๆห้องและบริเวณที่เขาคิดว่าเจอกับสิ่งเร้นลับไปอย่างถี่ถ้วนแต่ก็ไม่พบอะไร และเมื่อเห็นว่าพิณและกองสมุดยังอยู่ที่เดิม อันเป็นที่ประจำของมันโดยมิได้มีการโยกย้ายหรือเปลี่ยนแปลงอะไรนั้น เขาก็ได้แต่รำพึงกับตนเองและครุ่นคิดอย่างแคลงใจขนาดหนักเป็นที่สุด
“หือ..อะไรกันเนี่ย? นี่เมื่อกี้นี้เราฝันไปอย่างนั้นเหรอ? แต่.แต่ทำไมมันถึงได้เหมือนเหตุการณ์จริงเอาซะขนาดนั้นล่ะ?โอ้ย..!!เป็นไปได้ยังไงกันเนี่ย!!?? ” ครูหนุ่มพูดอะไรไม่ออกได้แต่นิ่งงันคิดหาสาเหตุและรำพึงอยู่ในใจคนเดียวเช่นนั้น  พลันสายตาก็ดันไปสะดุดกับมุมแผ่นภาพถ่ายใต้กองสมุดเข้า เขาถึงกับหนาวลึกๆขนลุกซู่ขึ้นมาในบัดนั้นเมื่อคิดไปได้ว่าภาพถ่ายใบนั้นในขณะที่กำลังจ้องมองมันอยู่เคยเกิดอะไรขึ้นมาบ้างในฝัน ด้วยเหตุกลัวความฝันจะเป็น
จริงขึ้นมาเขาจึงเกิดขยาดเสือกกายลุกขึ้นถอยกรูดออกมาจากที่แห่งนั้นไปยืนทำตาปริบๆอยู่ฝั่งตรงข้ามใกล้ๆกับประตูของห้องทันที
“นี่.วีระ..” ครูหนุ่มสะดุ้งเล็กน้อยเพราะความตกใจ และเมื่อหันกลับไปพบต้นเสียงเข้าก็พลันโล่งอกเพราะ เจ้าของเสียงทักเมื่อตะกี้นี้คือ “ครูมะนาว” ครูนาฏศิลป์สาวสวยอายุรุ่นราวคราวเดียวกันกับเขาซึ่งเป็นครูมาช่วยควบคุมในเรื่องของนางรำให้กับวง กำลังยืนเกาะขอบประตูห้องชะโงกหน้ามายิ้มให้กับเขาอยู่
“เอ่อ.มีอะไรเหรอครับครูมะนาว..?” วีระระล่ำระลักยิ้มแหยๆตอบกลับไป
“ก็.ฉันเห็นวีระไม่ออกไปทานข้าวกับพวกครูคนอื่นๆข้างนอกก็เลยมาตามน่ะจ้ะ..”
“อ๋อ..คือผมไม่หิวเท่าไหร่น่ะครับพอดีเหนื่อยๆเลยเผลอหลับไปนิดหน่อย นี่ก็ว่ารู้สึกตัวตื่นแล้วก็จะเดินออกไปดูพวกนักดนตรีสักหน่อย”
“อ๋ออย่างนี้เองหรือจ๊ะ? นี่..ถ้าหิวก็อย่าฝืนนะมาทานด้วยกันบ้าง”
“เอ่อครับ..ครู”
“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วก็ตามไปละกันนะ ฉันไปก่อนล่ะเดี๋ยวพวกครูท่านอื่นๆเขาจะรอ เธอเองก็รีบๆมานะกับข้าวยังเหลืออื้อเลย..” ครูสาวยิ้มพลางหัวเราะน้อยๆแล้วก็เดินผละจากเขาไป
วีระแอบยิ้มเล็กน้อยตามหลังไปโดยที่เขาเองก็ไม่รู้ตัว แต่เมื่อหันกลับมามองที่โต๊ะก็แทบหุบยิ้มโดยไม่ต้องบอกกล่าว กระเดือกน้ำลายลงคออย่างฝืดๆ ขนทั่วกายตั้งเป็นใบหญ้าคา เกิดอาการปอดแหกขึ้นมาอีกครั้ง ในใจบอกกับตัวเองว่าไม่ขออยู่คนเดียวในห้องนี้อีกแล้วควรรีบออกไปเสียตอนนี้ดีกว่า เมื่อคิดได้ดังนั้นก็เผ่นพรวดไปจากที่ตรงนั้นราวกับติดเกียร์หมาทันที
เมื่อวันเวลาของการซักซ้อมผ่านไปโดยไม่มีอะไรขัดข้องเกี่ยวกับวง ทุกอย่างสำหรับครูวีระก็เหมือนจะเป็นปกติ แต่ที่ไหนได้ในใจเขากลับต้องมาหมกมุ่นคิดแต่เรื่องที่เขาเจอมาอยู่คนเดียวไม่กล้าที่จะเอ่ยปากบอกกับใครได้ เพราะเขากลัวว่าผู้คนที่ได้ฟังเรื่องเหล่านี้กับเขานั้นจะหาว่าเขาบ้าหรือคิดไปเอง ซ้ำไม่เชื่อถือเหมือนกับลุงยามอีก
อ่านต่อ ซอครวญ ตอนที่ 4

กดแชร์บทความ