ก่อนอื่นต้องขอบอกก่อนนะคะว่า ขอสมมติชื่อบุคคล เพื่อเป็นการหลีกเลี่ยงการกล่าวถึงแบบเจาะจงรายบุคคล มาเริ่มเรื่องกันเลยค่ะ
เรื่องมีอยู่ว่า ในหมู่บ้านแห่งหนึ่งคนเฒ่าคนแก่ ผู้หลักผู้ใหญ่ มักจะบอกลูกบอกหลานตนเองว่า ยายทม นั้นเป็นกระสือ ห้ามไปใกล้ ห้ามไปพูดคุย ห้ามไปเล่นกับลูกหลานของยายทม เป็นอันว่าคนในหมู่บ้านพอจะรู้ดี เค เป็นเด็กที่ชอบเล่นวอลเลย์บอลมาก บี เองก็เช่นกัน
บีนั้นเป็นญาติของยายทม ปลูกบ้านอยู่บริเวณใกล้เคียงกัน บ้านของบีเป็นบ้านปูนสองชั้น บ้านของยายทมนั้นทำด้วยปล้องไม้ไผ่หยาบๆ คนนอกมองข้างในได้ คนจากข้างในก็มองเห็นคนข้างนอกด้วยเช่นกัน ส่วนครอบครัวบีจะไม่เข้าไปยุ่งกับยายทม นับตั้งแต่ชาวบ้านเค้าลือกัน
ยายทมมีลูกหรือหลานชื่อ ยายสำลี แกจะเป็นคนคอยเอาอาหารมาให้เป็นประจำ มีแค่ยายสำลีเท่านั้นที่ทำ บ้านยายสำสีปลูกถัดจากบ้านของบีไปหนึ่งหลังคาเรือน เคกับบีกลายมาเป็นเพื่อนสนิทกัน เพราะชอบเล่นวอลเลย์บอล ทุกๆ วันสองคนนี้จะเล่นที่โรงเรียนด้วยกันประจำ
เคไม่ได้บอกให้ทางบ้านรู้ว่าตนไปสนิทกับบี เพราะกลัวยายจะดุและห้ามเล่นวอลเลย์ เคมีลูกพี่ลูกน้องที่อยู่บ้านเดียวกันถึงสองคน นั่นคือ อ้อม ปุ้ย รวมเคด้วยเป็นสามคน ทุกคนอยู่โรงเรียนเดียวกัน แต่ก็ไม่มีใครปริปากเรื่องที่เคสนิทกับบีให้ยายฟังเพราะเด็กก็เล่นตามประสาเด็ก
มีอยู่วันหนึ่ง เคไปเล่นวอลเลย์บอลที่บ้านบี ช่วงเย็นๆ แล้วบังเอิญลูกบอลกลิ้งไปข้างๆ บ้านยายทม บีบอกให้เคไปเก็บเพราะบีกลัว เคเองเป็นเด็กซน อยากรู้อยากเห็น ในใจก็รู้ว่ายายทมเป็นอะไร แต่ไม่เคยเห็นเลยไม่เชื่อ เคจึงค่อยๆ ย่องไปแอบมองตรงช่องว่างที่ทำด้วยไม้ไผ่
ขณะที่ตาแนบติดฝาบ้านไม้ไผ่อยู่นั้น พลัน! เคก็เห็นสายตานึงจ้องกลับมาเหมือนกันในลักษณะ ตาประสานตา มันคือดวงตาของยายทมนั่นเอง เป็นดวงตาที่โตมากๆ ดุๆ จ้องมองมา พอเคกระพริบตา ยายทมก็กระพริบตาตาม เคร้องลั่นเสียงดัง ช่วยด้วยๆ ผีหลอก! แล้วก็วิ่งกลับบ้านไป บีก็รีบเข้าบ้านทันที
พอเคมาถึงบ้านก็เอาแต่ตัวสั่น พอยายถามเคก็ไม่กล้าตอบความจริง โกหกไปว่า หมาไล่กัด พอตกกลางคืน ที่บ้านของเคเป็นบ้านปูนชั้นเดียว มีห้องน้ำข้างนอกบ้านแต่ติดกับตัวบ้าน ยายของเคชอบนุ่งผ้าถุงและมักจะตากผ้าถุงไว้ในห้องน้ำทุกวัน ห้องน้ำจะเปิดไว้ตลอด ตามแบบวิถีคนชนบททั่วไป
ณ เวลานั้นเอง เคนอนไม่หลับเลยชวนอ้อมเล่นหมากหนีบ เล่นไปจนดึกมากแล้ว อ้อมให้เคไปห้องน้ำเป็นเพื่อน แต่ก่อนจะเปิดประตูจากตัวบ้านไปห้องน้ำ เคส่งสัญญาณให้อ้อมเงียบและตั้งใจดู มันมีแสงไฟแว้บไปแว้บมา
อยู่ในห้องน้ำ เป็นอยู่แบบนั้นพักใหญ่ อ้อมยืนตัวเกร็ง ส่วนเคก็ไม่แน่ใจว่ามันคืออะไร แต่ก็ไม่กล้าไปเข้าห้องน้ำแล้ว ทั้งสองจึงพากันกลับมานอน
รุ่งเช้า ยายตื่นมาจะทำกับข้าว หุงข้าว ซักผ้าตามประสา พอแกเข้าไปห้องน้ำกำลังจะหยิบผ้าถุงเปลี่ยน ยายก็ตะโกนถามหลานๆ
ใครมาเล่นอะไรสกปรกเนี่ย ห๊ะ! เอาขี้มาป้ายผ้าถุงกู หมดกันไอ้เด็กเปรตพวกนี้!
เคกับอ้อมวิ่งไปดู เห็นผ้าถุงยายเลอะขี้ เหม็นมากๆ มันเหมือนมีคนมาป้ายไว้ ทั้งสองบอกปฏิเสธไปว่าไม่ได้ทำ ยายก็เหมือนจะรู้ว่าคงไม่ใช่ฝีมือของเด็กแน่ๆ ต่างคนก็ต่างงุนงงว่ามันเป็นแบบนี้ไปได้ยังไง
ทุกๆ วันเสาร์ – อาทิตย์ เคจะไปเล่นที่บ้านบีเป็นประจำ บางทีก็นึกจำเรื่องที่เค้าลือ บางทีก็ลืมไปบ้าง
จนมีอยู่วันหนึ่ง ฝนตกหนัก เคเข้าไปหลบฝนบ้านบี แต่บีไปอาบน้ำ ตอนนั้นประมาณหกโมงเย็นได้ เคเห็นยายทมเปิดประตูแง้มๆ ไว้ แล้วแกก็ยืนกวักมือเรียกเคให้ไปหา พร้อมเอาลูกบอลอุ้มไว้ในมือ (จำได้ไหมค่ะ) เคก็ยิ้มให้แล้วส่ายหัวแบบแหยงๆ ยายทมกวักมือเรียกอยู่แบบนั้น จนกระทั่งยายสำลีมาส่งข้าว ยายสำลีถาม มีอะไรกัน เคได้ยินแค่นั้น แล้วก็ไม่ได้สนใจอะไร
หลังจากวันนั้น ยายลำสีไปหายายของเค บอกว่าทำข้าวต้มมัดมาฝากหลาน อย่าลืมให้นะ แต่ยายได้เอาไปทิ้ง เพราะไม่อยากให้หลานรับของจากญาติยายทม เพราะว่ายายกลัว ตกกลางคืนเคได้ยินเสียงคนแก่ๆ มาเรียกชื่อ
เค เค เปิดประตูให้ยายหน่อย เคนึกว่าเป็นยายจึงลุกพรวดไป จังหวะที่เคลุกไปนั้น ยายตื่นพอดีเลยถามเคว่า
จะไปไหน
อ้าว ยายเข้ามาเมื่อไหร่ กำลังไปเปิดประตูให้
จะไปเปิดให้ใคร ดึกดื่นป่านนี้ ไปนอนซะ ยายตวาดกลับ
หลังจากนั้น ยายรู้สึกว่าเคมีอะไรแปลกๆ ชอบลุกขึ้นตอนดึกๆ เหมือนได้ยินคนเรียก ประกอบกับยายสำลีมาที่บ้าน ปกติแกไม่เคยมาแวะคุยด้วย ยายจึงให้หลานทั้งสองเป็นหูเป็นตาคอยดูว่าเคไปไหน ทำอะไร ซึ่งหลานทั้งสองบอกว่า เคชอบไปเล่นบ้านบี ยายรู้จึงโกรธมาก เพราะเตือนแล้วไม่ฟัง ยายจึงไปหาเพื่อนพร้อมกับหิ้วถุงพลาสติกเหมือนใส่อะไรสักอย่าง บังคับให้เคตามไปด้วย ยายบอกกับเคว่า
อีทมมันเป็นกระสือ เดี๋ยวคอยดู กูเอาผ้าถุงต้มน้ำเดือด คนที่มันมาป้ายขี้ไว้จะปรากฎตัว
ยายและพวกๆ ก็ก่อไฟ ต้มผ้าถุงอันนั้นแหละ ไม่เกิน 1 ชม เสียงคนแก่ร้องครวญครางด้วยความปวดแสบปวดร้อน
โอ้ย! โอ้ย! กูเอง กูทำเอง กูมาแล้ว กูจะไม่ไปยุ่งกับบ้านแล้ว เป็นยายทมนั่นเอง ที่มาปรากฎตัวจริงๆ ปากของยายทมนั้นบวมแดงฉึ่งอย่างเห็นได้ชัด ยายทมเอามือกุมปากพรางขอร้องให้หยุดต้มผ้า
มึงต้องรับปากว่าต่างคนต่างอยู่ อย่ามาทำให้คนเดือดร้อนโดยเฉพาะลูกหลานกู!
ยายทมหยักหน้า แล้วเดินหมดแรงกลับบ้านไป ส่วนเคนะเหรอ ก็โดนยายสั่งสอนไปตามระเบียบ และด้วยความที่เห็นแบบนั้นกับตา เคจึงไม่กล้าไปเล่นที่บ้านบีอีก แต่ยังคบบีเป็นเพื่อนเสมอมา เคถามบีว่า บีไม่กลัวเหรอ ยายทมเป็นกระสือ บีบอกว่ากลัว กลางคืนก็มักจะได้ยินเสียงยายทมร้องให้ช่วย แต่ก็ไม่มีใครไปช่วย กลัวยายทมหาทายาท
เคจึงถามต่อ แล้วยายสำลีเป็นกระสือไหม บีบอกว่าไม่เป็น เพราะยายสำลีไม่ได้ชอบเก็บตัว แกยังปั่นจักรยานไปนู่นไปนี่ ต่างจากยายทมที่อยู่แต่ในบ้าน (เรียกว่ากระท่อมดีกว่านะ) ไม่ออกมาเจอผู้คนเลย อายุของยายทมนั้นน่าจะเกือบร้อยแล้ว
มีอยู่วันหนึ่งช่วงนั้นหมาบ้าชุม คนไม่ค่อยออกนอกบ้าน เคอยากปั่นจักรยานมาก แอบเข็นจักรยานออกมาตอนหกโมงเช้า เพราะรู้ว่ายายตนเองยุ่งไม่ทันสังเกต เข็นจนไปถึงศาลาที่รอรถ แต่ก็ต้องตกใจเพราะบังเอิญยายทมออกมาเดินเล่นเจอเข้ากับเคพอดี
ยายทมมองเคอย่างพิจารณา ส่วนเคเองก็จ้องมองยายทมเช่นกัน ในปากนั้นเคี้ยวหมาก มีคราบหมาก รอบๆ ลำคอยายทมมีรอยแดงๆ รอบคอ สายตาของยายทมจ้องมองเคอย่างไม่ลดละ เคพยายามเลี่ยงไปทางอื่น ยายทมจึงร้องทัก
ไปนั่งเล่นบ้านยายไหม ยายมีขนมเยอะแยะเลย
ไม่ไปหรอกครับ เดี๋ยวยายตี
ยายมึงไม่ออกมาหรอก หมาบ้ามันชุม แล้วยายทมก็เดินเข้ามาใกล้เคมากขึ้นเรื่อยๆ ลูกบอลอยู่บ้านยาย จะไปเอาเมื่อไหร่ก็ได้นะ หึหึหึ!..
จากนั้นเคก็รีบเข้าบ้าน แล้วเล่าให้ยายฟัง ยายก็บอกให้เคระวังตัว อย่าไปยุ่ง เคก็เชื่อฟังตั้งแต่นั้นมา
เคมีเหตุต้องจากยาย เพราะต้องตามพ่อแม่ไปอยู่ต่างจังหวัด และเพื่อเรียนต่อเป็นเวลาหกปี แต่จะกลับมาเยี่ยมยายปีละสามถึงสี่ครั้ง จนปีล่าสุดยายเล่าว่า ยายทมตายแล้ว หลังจากยายทมตาย ก็ไม่มีใครเคยเห็นยายสำลีออกมานอกบ้านเหมือนอย่างเคย แต่แกยังมีชีวิตอยู่
เคจึงถามบี ได้ความว่า ยายสำลีเก็บตัว ไม่สุงสิงกับใคร ใครเข้าไปในอาณาเขตบ้านของแก แกจะด่ากราด จนไม่มีใครไปยุ่งด้วย ทุกวันนี้ยายสำลียังคงมีชีวิตอยู่ และมีลูกจาก กทม. กลับมาดูแลจนถึงปัจจุบันนี้
เรื่องราวนี้ไม่รู้ว่ายายสำลีเป็นทายาทต่อจากยายทมหรือไม่ หรือถ้าเป็น เพื่อนๆ คงเดาออกใช่ไหม ว่าใครจะเป็นคนต่อไป
ขอจบเรื่องราวแต่เพียงเท่านี้นะคะ ขอบคุณที่เข้ามาอ่านค่ะ ขอบคุณค่ะ
ขอขอบคุณที่มา: พันทิปดอทคอม
ติดตามอ่านเรื่องสยองขวัญต่อได้ที่
คลังสยอง

กดแชร์บทความ