สมัยเด็กผมอยู่แถวคลองแสนแสบ ไม่ว่ามีนบุรี หนองจอก หัวตะเข้ ลาดกระบัง คลองหลวงแพ่ง สมัยก่อนยังเป็นเรือกสวนไร่นา ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยวผมเจอเรื่องขนหัวลุกเข้าที่คลองแสนแสบนี่เอง!
ตอนเย็น ๆ ใครนั่งเรือผ่านไปมาจะรู้สึกเยือกเย็นวังเวงใจชอบกล ต้นไม้ใหญ่ ๆ ยืนทะมึนอยู่สองฟากฝั่ง กอไผ่โน้มลงมาเรี่ยผิวน้ำ ต้นไทรที่มีผ้าเหลืองผ้าแดงเก่า ๆ ขาดวิ่นพันอยู่โคนต้น ห้อยลงมาตามกิ่งก้านสาขาร่มครึ้ม โดยเฉพาะรากห้อยระย้าลงมาเกือบถึงพื้น แกว่งไกวไปมาตามสายลมที่หวีดหวิวคร่ำครวญไม่หยุดหย่อน
มองเผิน ๆ เหมือนมีใครกำลังจ้องมองมาจากหลังม่านไทรย้อยก็ไม่รู้
ยิ่งยามพลบค่ำ ท้องฟ้าสีหมากสุกสะท้อนเงาอยู่ในสายน้ำ หันไปมองข้าง ๆ ก็เห็นพงอ้อกอหญ้าค่อนข้างสูงมืดครึ้ม ไหนจะมีศาลเพียงตาโย้เย้ เอียงกระเท่เร่จะล้มมิล้มแหล่มาลัยแห้ง ๆ หลุดล่อนเกือบหมดทุกพวง แถมศาลที่ว่านี่ยังค่อนข้างหนาตาอีกต่างหาก
เขาว่ามีคนตายโหงก็ตั้งศาลเพียงตาที ให้วิญญาณอยู่ที่นั่นซีครับ! เท่านั้นยังไม่พอผ่านไปอีกหน่อยยิ่งน่าวังเวงใจสุด ๆ เพราะจะถึงป่าช้าเก่าที่ทิ้งร้างมาหลายสิบปีแล้ว
พวกผู้ใหญ่หลายคนเล่าว่าเคยถูกผีหลอกตอนพายเรือคดเคี้ยวไปตามลำคลอง ถ้าเป็นหน้าน้ำบางแห่งจะมองเห็นรวงข้าวเหลืองอร่ามไปสุดลูกหูลูกตา แต่เย็น ๆ ค่ำ ๆ อย่าได้ริอ่านไปพายเรือเล่นกินลมเข้าเชียว มีหวังโดนผีหลอกไม่รู้ตัว
ตามุด อายุเกือบหกสิบเล่าว่าเคยโดนผีหลอกสาหัส ไม่รู้ว่ารอดตายมาได้ยังไง?
เย็นนั้นตอนปลายปี ตามุดได้ข่าวว่าลูกสาวเจ็บท้องจะคลอดลูก อารามดีใจที่จะได้หลานก็ลงเรืออีแปะพายอ้าวไปทันทีปรากฏว่าได้หลานชายน่า รักน่าชัง ตามุดก็เชยชมหลานแกจนเลยค่ำถึงได้พายเรือ กลับบ้าน ขณะที่ผ่านป่าช้าเก่านั่นเอง เรื่องสยองก็อุบัติพลัน!
สรรพสิ่งตกอยู่ในความเงียบเชียบ ท่ามกลางสายหมอกจาง ๆ นอกจากเสียงสายลมพัดลู่ไปตามสุมทุมพุ่มไม้กับเสียงระลอกคลื่นกระทบฝั่ง ก็คือเสียงพายกระทบน้ำดังจ๋อม ๆ แต่ตามุดชักเอะใจ ตอนที่แกชักพายขึ้นมาแล้ว แต่ยังไม่ทันจ้วงลงไปก็มีเสียง จ๋อม ๆ มากระทบหู
มีอะไรบางอย่างที่ดึงดูดใจอยู่ข้างหลัง ชายชราหันไปมองก็เห็นเรือลำหนึ่งพายตามมา ร่างขาว ๆ ที่ท้ายเรือดูเหมือนจะเร่งจ้วงพายเร็วขึ้น ขณะที่ตามุดถือพายราน้ำอย่างลืมตัว
เรือลำนั้นพายขึ้นมาตีคู่ ห่างกันไม่ถึงสองวาแต่มันไม่ใช่เรือธรรมดา สิ่งนั้นคือโลงผีชัด ๆ ร่างขาว ๆ ที่อยู่ท้ายเรือก็คือโครงกระดูกล้วน ๆ หัวกะโหลกเจ้ากรรมนั่นหันมายิ้มกว้างกับแกมาแข่งเรือกันมั้ยวะ?
ตามุดเย็นวาบไปทั้งตัว เดี๋ยวหนาวเดี๋ยวร้อนเหมือนจะเป็นไข้ ใกล้จะสติแตกโดดลงน้ำอยู่รอมร่อ แต่รวบรวมความกล้าหาญจ้วงพายลงน้ำไม่คิดชีวิต โลงอุบาทว์นั่นก็แล่นอ้าวจนน้ำบานตีคู่ไปกับแก พร้อมกับส่งเสียงฮ้าไฮ้ๆๆๆ อย่างสนุกสนาน
ถ้าเรือล่มข้าคงขาดใจตายไปแล้ว ตามุดเล่าในวันรุ่งขึ้น โอยผีอะไรมันจะดุฉิบหายวายวอดขนาดนี้ก็ไม่รู้
ชาวบ้านเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ที่แน่ ๆ คือตามุดไม่ยอมไปไหนมาไหนค่ำ ๆ มืด ๆ อีกเลยจนกระทั่งวันดีคืนดีผมกับพ่อก็ไปตกปลากันสองคน เห็นเรือเพื่อนบ้านหลายลำจอดเรียงรายกันไปเรื่อย ๆ เราพายหลบไปแถวป่าช้าเก่าเพราะที่นั่นปลอดคนดี
สรรพสิ่งเงียบเชียบเป็นปกติ เสียแต่เหยื่อตัวอ้วน ๆ ไม่รู้ว่าหายไปไหนหมด นาน ๆ จะวัดขึ้นมาได้ซักที แถมหลุดลงน้ำไปอีกครึ่งต่อครึ่งจนกระทั่งมืดค่ำเมื่อไหร่ไม่รู้ตัว
พ่อเก็บเบ็ด เหลียวซ้ายแลขวาพลางพึมพำว่าเอาล่ะวะ แค่นี้ก็พอหม้อแกงแล้ว!
ขากลับอากาศค่อนข้างเยือกเย็น ดาวสะพรั่งฟ้า สายลมพัดหวีดหวิวไม่หยุดหย่อนมีหมอกบาง ๆ ลอยเรี่ยผิวน้ำ ทำให้ผมนึกถึงเรื่องที่ตามุดเล่าขณะนั้นเอง เสียงพายกินน้ำดังจ๋อม ๆ ค่อนข้างหนักหน่วงก็ดังมาจากเบื้องหลัง
ผมเหลียวมองไม่หยุดหย่อน ใจเต้นโครมครามจนแน่ใจว่าสิ่งที่ตามหลังเรามาเป็นเรือจริง ๆ ไม่ใช่โลงผีอย่างที่ตามุดเคยเจอจนมันพุ่งขึ้นมาตีคู่กับเรา
นรกเป็นพยาน! เรือบดน้ำนั้นสีดำสนิท พอ ๆ กับร่างที่นั่งอยู่กลางลำเรือ หน้าตาที่หันมามองดำเมื่อม ส่งกลิ่นเหม็นเน่าคละคลุ้งท่ามกลางเสียงหมาหอนโหยหวนมาจากสองฟากฝั่ง พ่อร้องขึ้นว่ารีบจ้ำโว้ย!
ผมพายหัว พ่อพายท้าย เราจ้วงกันน้ำบานไม่คิดชีวิต เสียงภูตนรกหัวเราะเย้ยหยันเขย่าขวัญจนผมแทบจะขาดใจตายในพริบตานั้นเอง
ตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา ถ้าเราจะออกไปตกปลาก็มักแวะหัวเรือเข้าไปในพงหญ้าไม่ห่างจากบ้านนัก ถึงจะได้ปลาน้อยก็ยังดีกว่าขนหัวลุกล่ะครับ!