เมื่อประมาณปี พ.ศ.2554 ช่วงนั้นเราได้มีโอกาสทำงานเป็นเซลล์ให้กับบริษัทหนึ่ง เป็นบริษัทนำเข้าสินค้าอุปโภคบริโภคยักษ์ใหญ่ เชื่อว่าหลายๆ ท่านคงรู้จักกันเป็นอย่างดี ช่วงนั้นเรารู้จักคนขับรถเยอะมาก เพราะว่าเป็นหน่วยงานเดียวกัน จึงต้องพบปะพูดคุยกันอยู่เสมอ คนหนึ่งในนั้นคือ พี่นุ แกเป็นพนักงานขับรถร่วมให้กับบริษัททรานสปอร์ตแห่งหนึ่ง ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่ถนนเทพารักษ์ จังหวัดสมุทรปราการ
ทุกสองสามวัน พี่นุจะต้องมาขึ้นสินค้าที่คลังสินค้าแห่งนี้เสมอ สบโอกาสเหมาะๆ ก็จะได้เจอแก และพูดคุยกันสนุกสนานเฮฮาตามประสาคนรู้จักกัน มีอยู่ครั้งหนึ่งพี่นุแกหายหน้าหายตาไปเป็นอาทิตย์ ไม่ปรากฏว่าเห็นแกมาขึ้นงาน ไอ้เราก็แปลกใจอยู่เพราะปกติก็จะเจอแกอยู่เสมอ
เช้าตรู่ของอีกวัน เราเพิ่งเคลียร์บิลลูกค้าเสร็จ เราก็เห็นพี่นุแกยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าออฟฟิศ
อ้าวเฮีย! หายไปไหนมาเนี่ยหลายวันเชียว ไปติดใจสาวที่ไหนเข้า งานการไม่มาทำเลยนะ เราก็แซวแกไปเรื่อยตามประสาคนพูดมาก คิดว่าแกคงจะตอบแบบทะลึ่งตึงตังตามนิสัยขี้เล่นของแก แต่ครั้งนี้แกไม่ขำ แกทำหน้าตาขึงขังก่อนจะบอกว่า พี่มาส่งใบลา จะขอหยุดวิ่งงานซักสองถึงสามเที่ยว ว่าจะไปทำบุญน่ะ ช่วงนี้ซวยใหญ่ ไอ้เราก็อยากรู้อยากเห็นอยู่แล้ว ก็เลยถามแกไปว่า แล้วมันเรื่องอะไรล่ะพี่ เล่าให้ฟังหน่อยสิ แกก็เลยว่า ไป๊! ไปนั่งร้านเจ๊แอ๋ว เดี๋ยวพี่เล่าให้ฟัง เรื่องมันยาว
อีกครู่ใหญ่ๆ เรากับพี่นุ ก็พากันมานั่งร้านตามสั่งเจ๊แอ๋วเจ้าประจำ ก่อนจะสั่งโอเลี้ยงมากินกันคนละแก้ว
นี่จำได้ไหมเมื่ออาทิตย์ที่แล้ว ที่พี่ขึ้นงานไปภูเก็ตน่ะ
อ๋อ จำได้สิพี่
นั่นแหละ งานเที่ยวนั้นน่ะ พี่วิ่งสี่จังหวัด ลากตั้งแต่สุราษฎร์ฯ กระบี่ พังงา ไปยันภูเก็ตโน่น คือวันนั้นน่ะพี่ออกจากบ้านแต่เช้า มาถึงสุราษฎร์ฯ ก็ซักบ่ายสาม พี่ก็เลยแวะเข้าไปส่งห้างในตัวเมือง กะว่าไม่เกินห้าโมงคงเสร็จ แต่ที่ไหนได้วันนั้นรถเยอะมากกว่าจะเสร็จก็ปาไปหกโมงกว่า ตอนแรกพี่ว่าจะนอนที่ศูนย์สุราษฎร์ฯ แต่ไปๆ มาๆ เปลี่ยนใจ เลยว่าจะขับไปนอนที่กระบี่โน่น กะว่าเช้ามาจะได้รีบลงของแต่เช้า เสร็จแล้วจะได้ไปพังงาต่อ
พี่ออกจากสุราษฎร์ซักประมาณหกโมงเกือบๆ ทุ่มเห็นจะได้ พี่ก็เลี้ยวซ้ายวิ่งไปเส้น อ.อ่าวลึก นั่นแหละ ความที่ว่าทางมันเปลี่ยวแต่มันก็ใกล้ (หากใครเคยไปทางเส้นนี้ก็จะทราบดีนะคะว่าทางเปลี่ยวมาก สองข้างทางมีแต่สวนยาง นานๆ ทีถึงจะมีรถสวนมา บ้านคนก็ห่างกันมาก เรียกได้ว่าแทบจะไม่มีบ้านคน) พี่ก็ขับของพี่ไปเรื่อยๆ อยู่ดีๆ คันเร่งก็ค้าง เครื่องกระตุก แล้วรถก็ดับไปเฉยๆ (รถที่พี่แกขับเป็นรถปิคอัพตู้เย็นเก่าๆ แบบที่วิ่งส่งของตามเซเว่นนั่นแหละค่ะ)
ตัวพี่ก็ไม่มีความรู้ด้านเครื่องยนต์อะไรเลย เจอแบบนี้พี่ก็ต้องโทรหาช่างอย่างเดียว พี่โทรหาช่าง ช่างเค้าก็ถามว่าอาการเป็นไง รถเสียอยู่ที่ไหน พี่ก็บอกเขาไปว่าเส้นอ่าวลึกขาไปกระบี่ แล้วจะมาดูรถให้ตอนไหน ช่างเค้าก็เงียบไปพัก ได้ยินเค้าคุยกันกับลูกน้องว่าเส้นอ่าวลึกใครจะไปบ้าง ลูกน้องเค้าต่างก็ปฏิเสธไม่มีใครไปซักคน
ช่างแกก็เลยบอกพี่ว่า คงต้องลาก แต่จะไปลากให้พรุ่งนี้เช้านะ ตอนนี้ไม่มีใครไปแล้ว อ้อนวอนยังไงช่างก็ไม่มา พี่โทรหาออฟฟิศเขาก็บอกให้พี่รอช่าง เฝ้ารถไว้ อย่าไปไหน พี่นี้เซ็งมาก หิวก็หิว มีแค่ข้าวเหลือจากตอนเที่ยงนิดเดียวไว้กินกันตาย น้ำท่าก็ยังไม่ได้อาบ รถก็มาเสียตรงถนนเปลี่ยวๆ ไม่มีบ้านคนพออาศัยได้เลย ซวยจริงๆ
แกบอกว่าตอนนั้นสองทุ่มเห็นจะได้ ไม่มีรถผ่านมาเลยซักคัน แกก็นั่งสูบบุหรี่ของแกไป ตาก็มองอะไรไปเรื่อย แกว่าน่ากลัวมาก ถนนตอนนั้นยังสร้างไม่เสร็จดี กลางคืนไม่ค่อยมีคนสัญจร สองข้างทางมีแต่ป่ายางมืดครึ้มสุดลูกหูลูกตา นั่งเล่นซักพักแกก็จัดแจงล็อกประตูตู้หลังรถ ล็อกหน้ารถเรียบร้อย แกก็เอาผ้าปิดตา นอนพาดยาวตรงเบาะหน้ารถนั่นแหละ
หลับไปนานเท่าไหร่ไม่รู้ แกรู้สึกตัวเพราะท้ายรถมันยุบวูบลงไปเหมือนมีคนขึ้นมาเหยียบกันชนท้าย แกว่าตอนนั้นใจเต้นตึกๆ กลัวจะเป็นโขมย อาวุธอะไรแกก็ไม่มีติดตัว มีแต่มีดทำครัวเล่มเล็กที่แกห่อไว้ใต้เบาะรถพกไปไหนมาไหนด้วย แกควานหามีดมากระชับในมือไว้ กะว่าถ้าจะตายยังไงก็ขอสู้ตายก่อนล่ะวะ
แกนอนฟังอยู่เงียบๆ ว่าทางนั้นกำลังทำอะไร แกว่ารถมันวูบขึ้นวูบลงเหมือนมีคนขึ้น ซักพักก็ได้ยินเสียง ตุ๊บ ตุ๊บ เหมือนมีคนขึ้นไปวิ่งบนหลังตู้ แกค่อยๆ แอบมองที่กระจกข้างรถ อาศัยแสงจันทร์สาดส่องให้พอมองเห็น แกเห็นเป็นผู้ชายวัยรุ่นกำลังปีนขึ้นลงท้ายรถแก ปีนเสร็จก็ขึ้นไปวิ่งบนหลังคา
แสงจันทร์สาดส่องให้เห็นใบหน้าของผู้บุกรุกยามวิกาล ชายหนุ่มใส่เสื้อผ้าขาดรุ่งริ่ง ร่างกายซูบผอมจนเห็นเส้นเลือดปูนโปน ตาแดงกล่ำ ตามเนื้อตัวมีแต่แผลพุพองเป็นหนองเยิ้มไปทั่ว ยืนอยู่บนหลังคารถ กำลังสอดส่ายส่ายตามองไปทางโน้นที ทางนี้ที
แกสั่นเลยตอนนั้น ขวัญกระเจิงดีนะไม่ช็อกตาย คิดว่าเป็นโจรมาโขมยรถ ไหงมากลายเป็นผีไปได้ แกนั่งอยู่ในรถกำหลวงพ่อที่คอสวดมนต์ผิดๆ ถูกๆ สวดไปแกก็มองไปเรื่อย คอยมองกระจกข้างว่าไอ้ตัวที่อยู่บนหลังรถแกน่ะหายไปรึยัง
กำลังมองกระจกข้าง พอหันหน้ามาเจอมันจังๆ เลย! แกว่ามันแสยะยิ้มเอาหน้าแนบกระจกหัวเราะ แฮ่ะ แฮ่ะ เลือดสดๆ ไหลย้อยออกจากปาก กลิ่นน้ำเลือดน้ำหนองคลุ้งไปหมด กลิ่นสาปสางเหม็นทะลุเข้ามาในรถ แกกำพระไว้แน่น ด้วยความกลัวจนเหงื่อออกชุ่มมือ หลับตาภาวนาไปเรื่อย กลัวก็กลัว ขนาดว่าแกเคยบวชพระมา แกยังตั้งสติไม่ได้ แกเลยอาราธนาคุณพระศรีรัตนตรัยขอสติสตังกลับมาอยู่กับเนื้อกับตัว
อยู่ดีๆ แกก็นึกขึ้นได้ว่า ตอนบวชเรียนหลวงตาที่อุปัชฌาย์แกย้ำหนักย้ำหนาว่า คำสอนของพระพุทธเจ้าล้วนแต่ศักดิ์สิทธิ์
แกกำพระยืนมือไปข้างหน้า แล้วสวดพระคาถาชินบัญชร แกสวดแล้วสวดอีกแกว่า ปากคอสั่นไปหมด สวดจนจบไปหลายรอบ ตั้งจิตบอกมันด้วยว่า อย่าทำอะไรแกเลย อยากได้บุญพรุ่งนี้แกจะทำบุญไปให้ แกบอกว่าลืมตามาอีกทีก็ไม่เห็นมันแล้ว
แกคว้ามือถือได้ แกโทรหา 191 ในทันที แกโกหกตำรวจว่ารถเสีย แล้วมีโจรมาด้อมๆ มองๆ เหมือนจะปล้นแก ไม่นานตำรวจไทยก็มา มาสำรวจพื้นที่อยู่พักหนึ่ง ก็เห็นว่าไม่มีอะไร เขาก็เลยมาดูรถให้
พี่นุว่า จ่าคนนั้นแกสตาร์ทรถทีเดียวติด จ่าถามว่า ที่เห็นน่ะโจรแน่นะ ไม่ใช่ผีนะคุณ แถวนี้น่ะมีคนตายยังไม่ถึงอาทิตย์เลย เป็นวัยรุ่นโดนยิงตายมาจากที่อื่น น่าจะเป็นพวกค้ายาเสพติดหักหลังกัน เขาเอาศพมาโยนทิ้งไว้สวนยางนี่ กว่าจะมีคนมาเจอ ศพก็ขึ้นอืดหนอนไชยุ่บยั่บเต็มไปหมด
พี่นุมองหน้าจ่าแล้วกลืนน้ำลายดังเอื้อก! คืนนั้นแกขับรถไปนอนกับตำรวจที่ป้อม นอนกับตำรวจยังไงก็ดีว่าอยู่กับผีล่ะวะ
ขอขอบคุณเรื่องเล่าจากคุณ Bee Sirinthip